เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 108 กลิ่นนี้ไม่ถูกต้อง
ตอนที่ 108 กลิ่นนี้ไม่ถูกต้อง
ทุกคนในครัวล้วนตะลึงงัน พวกเขายุ่งอยู่กับการทำอาหารอยู่แล้ว โจวเผิงเข้ามาก็ด่ากราด ใครจะไปรับไหวกัน
เจิ้งฮุยลุกขึ้นเป็นคนแรก “โจวเผิง คุณอารมณ์เสียมาจากไหนเนี่ย แม่งเอ๊ย โมโหก็ไประบายข้างนอกสิวะ ถ้าแหกปากอีกล่ะก็ข้าจะทุบเข้าให้!”
“แก…ได้ เจิ้งฮุย แกเจอดีแน่ กล้าลองดีกับฉันใช่ไหม ฟังนะ ถ้าวันนี้เสิร์ฟข้าวผัดจักรพรรดิไม่ได้ มันก็คือความรับผิดชอบของหัวหน้าเชฟอย่างแก!”
“บัดซบ ไม่เกี่ยวบ้าอะไรกับข้าเลยสักนิด นายไม่รู้เหรอว่าคนเขาลาออก ทำไมนายแม่งยังเป็นผู้จัดการได้อีกล่ะ ไอ้อ่อน ออกไปให้พ้นหน้าข้าแล้วไปเคลียร์กับลูกค้าข้างนอกเอาเอง!”
โจวเผิงคับแค้นใจ กำหมัดแน่นและพยักหน้าอย่างแรง “เดี๋ยวได้เห็นดีกัน!”
เมื่อเดินกลับไปที่ห้องโถง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วพึมพำกับตัวเอง “ไอ้เด็กส้นตีน แกแกล้งฉันใช่ไหม ได้ อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกไปทำงานที่ไหน ข้าจะไปรังควานแกให้สาแก่ใจ!”
ในวงการอาหาร โจวเผิงยังพอมีเส้นสายอยู่บ้าง เมื่อก่อนมีเถ้าแก่คอยปกป้องซ่งจื่อเซวียนอยู่ที่ต้าสือไต้ เขาจึงทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเขาไปที่อื่นก็ยังมีวิธีอยู่!
หลังจากออกจากต้าสือไต้ พวกซ่งจื่อเซวียนสามคนก็ตรงไปที่ร้านอาหารร่ำรวย ตามที่เสี่ยเฉิงปาบอก ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมพรักขาดแต่เพียงวายุบูรพา[1]
เป็นอย่างที่คาดไว้ ตอนที่พวกเขามาถึง เสี่ยเฉิงปาก็อยู่ที่ร้านอาหารร่ำรวยแล้ว
ขณะนี้เสี่ยเฉิงปากำลังนั่งดื่มเหล้าและกินกับแกล้มอยู่ในห้องโถง เนื่องจากร้านยังไม่เปิดกิจการจึงเห็นได้ชัดว่ากับแกล้มพวกนี้ซื้อมาจากข้างนอก
พวกจางเปียวและเหลยจื่อกำลังขนย้ายกล่องจากด้านนอกเข้ามาด้านใน นั่นคือวัตถุดิบแช่แข็ง
“เสี่ยปา ดูเหมือนว่าจะเปิดตัวกิจการตอนไหนก็ได้เลยนะ” ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปในร้านอาหารแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ว่าไง น้องชาย แกมาไม่ให้สุ้มให้เสียง มาๆๆ เราสองพี่น้องมาดื่มกันหน่อย” เสี่ยเฉิงปากำลังอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าเรื่องนี้อาจไปล่วงเกินเสี่ยหวง แต่เสี่ยเฉิงปาก็ทุ่มสุดตัวและจับตาดูเพียงเรื่องเงิน ร้านอาหารร่ำรวยเปิดตัวเมื่อไรก็คือวันที่เงินหลั่งไหลเข้ามาเมื่อนั้น
“เสี่ยปา จานนี้รสชาติใช้ได้เลย ซื้อมาจากไหนครับ”
“เหอะๆ ทางฝั่งตะวันตกของฉันมีร้านอาหารเล็กๆ อยู่ร้านหนึ่ง เชฟก็ดี แกลองนี่สิ หมูสองไฟเป็นเมนูที่เขาถนัด”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “เชฟคนนี้ได้เงินเดือนเจ็ดถึงแปดพันหยวนไหมนะครับ”
“ฮ่าๆๆ น้องชายคิดเยอะไป สี่พันห้าต่อเดือนต่างหาก!”
“เงินน้อยขนาดนี้เขาก็ยอมทำงานเหรอ” ช่วงไม่กี่วันนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ศึกษาเงินเดือนพื้นฐานของวงการอาหารด้วยเช่นกัน เงินเดือนนี้ถ้าเป็นพนักงานเสิร์ฟหรือคนส่งอาหารในครัวยังพอได้ สำหรับพ่อครัวนั้น…ก็เหลือทนจริงๆ
เงินเดือนพื้นฐานของพ่อครัวในเมืองตู้เหมินคือสี่พันถึงห้าพันหยวนขึ้นไป ระดับสูงกว่านี้เล็กน้อยก็คือเจ็ดพันถึงแปดพันหยวน เงินเดือนพ่อครัวในร้านอาหารขนาดใหญ่ได้สองหมื่นถึงสามหมื่นหยวน ดังนั้นเขาจึงพูดไปโดยกดเงินเดือนลง ไม่คิดว่าที่พูดไปยังคงสูงอยู่…
“จะไม่ทำได้เหรอ ถ้ามันกล้า ฉันจะไปรื้อบ้านพวกมัน!”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็กระตุกยิ้ม มันก็จริง หากคนอื่นไม่โอเคเสี่ยเฉิงปาจำต้องยอมด้วยเหรอ ใครจะไปกล้ากับเขากัน…
“แต่บอกตามตรงนะน้องชาย แกมั่นใจหรือเปล่า ค่าเช่าของเราที่นี่ไม่สูงเท่าไร ฉันอดทนไม่กี่เดือนน่ะไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ถ้าโด่งดังไม่ได้ล่ะก็ พี่ชายอาจจะอดทนไม่ไหวนะ”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ตอบโต้ แต่คีบอาหารอีกคำหนึ่ง “เสี่ยปา เห็ดหูหนูนี้ก็ไม่เลวเลย เชฟคนนี้…คุ้มค่าครับ”
“คุ้มไม่คุ้มอะไรกัน ฉันถามหน่อยน้องชาย แกคิดว่าเมื่อไรจะดัง”
“เหอะๆ ผมก็ไม่รู้”
“หา? แกอย่าไม่รู้สิ ครึ่งชีวิตนี้ของพี่ชายรัดอยู่กับเข็มขัดแกแล้วนะ” เสี่ยเฉิงปากล่าวพร้อมกับเกาหัวล้านของตัวเอง
ซ่งจื่อเซวียนวางตะเกียบลง เอนหลังพิงเก้าอี้แล้วเอ่ย “เอาอย่างนี้แล้วกันเสี่ยปา ช่วงแรกเราทำได้แค่อาศัยการโฆษณาเท่านั้น ขอเพียงคุณมั่นใจในข้าวผัดจักรพรรดิ มันจะดังขึ้นได้แน่นอน คุณว่าไหมล่ะ”
“มันก็จริง แต่…เราจะโฆษณายังไงล่ะ”
“ติดตั้งหน้าจอเคลื่อนไหวไว้ใต้ป้ายร้าน มีป้ายโฆษณาที่หน้าประตู มีแถบไฟแอลอีดีที่หน้าต่าง แล้วเราก็อาศัยคนเล่าปากต่อปาก สรุปสั้นๆ โฆษณาทั้งหมดต้องมีไว้เพื่อข้าวผัดจักรพรรดิ ส่วนเมนูอื่นๆ ต้องรอให้ข้าวผัดจักรพรรดิดังขึ้นมาก่อนครับ”
“ไม่มีปัญหา พูดได้ดี ฉันจะไปจัดการให้คืนนี้เลย” เสี่ยปากล่าว
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเบาๆ “เทียนซั่ว แล้วก็ต้องรบกวนนายด้วย”
“อาจารย์พูดอะไรอย่างนั้น มีเรื่องอะไรก็สั่งผมมาได้เลย” ซางเทียนซั่วเอ่ย
“อืม สองสามวันนี้ฉันเล่นโทรศัพท์อยู่ตลอด เห็นว่าบัญชีทางการในโซเชียลมีเดียดูเจ๋งมากๆ เลยอยากสร้างสักบัญชีน่ะ”
“ทำง่ายจะตาย ผมทำให้ได้ รอสร้างเสร็จแล้วผมจะให้พวกเพื่อนๆมาช่วยดันช่วยแชร์นะ หนึ่งเดือนกว่าๆ ก็ดังขึ้นมาได้แล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “งั้นก็ถือว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว จากนั้น…ผมเองก็จะใช้ทุนทรัพย์บางส่วนด้วยเหมือนกัน แต่เสี่ยปา ทุนทรัพย์ของผมต้องใช้หลังจากของคุณ คุณต้องโฆษณาก่อน”
“ไม่ต้องกังวลน้องชาย ฉัน เสี่ยปามีกำลังมากเท่าไร แน่นอนว่าจะทำอย่างสุดกำลังมากเท่านั้น”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้ายิ้ม และจุดบุหรี่ในทันที “เสี่ยปา สรุปแล้วคุณต้องจำไว้ประโยคหนึ่ง จัดการตามที่ซ่งจื่อเซวียนบอก แล้วในตู้เหมินนี้…จะไม่มีใครกดขี่คุณได้!”
ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนพูด รอยยิ้มก็หายไป สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเอาจริงเอาจังสุดขีด ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
เสี่ยเฉิงปาได้ยินแล้วก็แอบสะดุ้ง ต้องบอกว่า ครึ่งชีวิตของเขาไม่เคยเห็นใครที่มีรัศมีแบบซ่งจื่อเซวียนมาก่อนเลย
คำพูดของเขาเสี่ยเฉิงปาก็เข้าใจความหมายเช่นกัน ที่บอกว่าไม่มีใครกดขี่เขาได้ก็คือหมายถึงเสี่ยหวง!
หากเป็นคนอื่นที่พูดแบบนี้ เขาคงคิดว่าคนคนนั้นเป็นคนบ้าน้ำลายอย่างแน่นอน แต่เมื่อออกมาจากปากของซ่งจื่อเซวียน เขาก็รู้สึกถึงสองคำในใจทันที ‘โล่งอก!’
เสี่ยเฉิงปายกแก้วขึ้น “ได้เลย งั้นฉันจะฟังแกน้องชาย ฉันเชื่อในตัวแก!”
“เสี่ยปา คุณวางแผนจะเปิดตัวกิจการเมื่อไรครับ” ซ่งจื่อเซวียนจิบเหล้าอึกหนึ่งแล้วถาม
“ตอนไหนก็ได้น้องชาย เพียงแค่แกเอ่ยปากจะเปิดพรุ่งนี้เลยก็ได้!” เสี่ยเฉิงปากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เหอะๆ ในเมื่อเสี่ยปาฟังคำพูดผม งั้นเราเอาแบบนี้แล้วกัน ให้เวลาผมสักหนึ่งวันแล้วเปิดตัวกิจการวันมะรืนนี้ได้ไหมครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสี่ยเฉิงปาก็เลิกคิ้วเล็กน้อย “มะรืนนี้งั้นเหรอ น้องชาย ว่ากันตามจริงจะเปิดวันนี้เลยก็ได้ หรือว่าวันนี้แกผัดข้าวไม่ได้เหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “เสี่ยปาวางใจเถอะ ผม ซ่งจื่อเซวียนรับปากคุณแล้วทำได้แน่นอน และผมบอกเสี่ยปาอย่างชัดเจนได้แล้วว่าผมน่ะลาออกจากต้าสือไต้แล้ว ผมรับประกันได้ว่าร้านอาหารร่ำรวยจะทำข้าวผัดวันละยี่สิบที่!”
“หา? จริงเหรอ”
“จริงๆ ครับ!”
ได้ยินซ่งจื่อเซวียนพูดเช่นนี้ เสี่ยเฉิงปาก็รู้สึกว่าได้ยกภูเขาออกจากอก ที่จริงแล้ว นอกจากร้านอาหารร่ำรวยจะขายข้าวผัดได้หรือไม่ สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือผลกระทบจากการทำงานที่ต้าสือไต้ของซ่งจื่อเซวียน
ตอนนี้ค่อยยังชั่ว ความกังวลทั้งหมดหายไปแล้ว
“แต่ว่าเสี่ยปา ผมมีคำขออีกอย่างหนึ่ง”
“บอกมาน้องชาย ฉันรับปากทั้งนั้น!” เสี่ยเฉิงปากล่าวอย่างตื่นเต้น
“ตั้งแต่วันนี้ ประตูร้านจะปิดจนถึงคืนวันพรุ่งนี้ ในครัวด้านหลังจะเตรียมจัดของ ในเวลานี้ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าร้านครับ!”
“นั่นไม่มีปัญหา แต่…ทำไมกันล่ะ” เสี่ยเฉิงปาถาม
ซ่งจื่อเซวียนระบายยิ้ม “เอ่อ…น่าจะถือว่าเป็นความลับ สรุปว่าเสี่ยปาทำได้ เราจะเปิดตัวในเช้าวันมะรืนนี้นะครับ!”
“ได้เลย ทำตามที่แกบอก!”
เหตุผลที่ซ่งจื่อเซวียนพูดเช่นนี้ เพราะเขาลาออกจากต้าสือไต้แล้ว และเขาต้องการสถานที่สำหรับเก็บตัว
จุดประสงค์ของการเก็บตัวคือเพื่อศึกษาน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย เมื่อมีอาหารจานนี้ เขากล้ารับประกันได้ว่าร้านอาหารร่ำรวยจะกลายเป็นร้านอาหารโด่งดังที่สุดในตู้เหมิน
หลังจากดื่มไปสักพัก พวกเสี่ยเฉิงปาก็จากไป ซ่งจื่อเซวียนสั่งให้ซางเทียนซั่วปิดและล็อกประตู ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวด้านหลัง
จางเปียวได้ซื้อวัตถุดิบที่ใช้ประจำตามที่สั่งแล้ว รวมถึงบางอย่างที่ซ่งจื่อเซวียนเสนอไป ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย
ซ่งจื่อเซวียนจึงเริ่มลองทำอาหารอีกครั้งตามลำดับเหมือนครั้งที่แล้ว
ยาจีนปรุงในหม้อดินและวัตถุดิบต่างๆ ปรุงในกระทะพร้อมกันจนสุกครึ่งหนึ่ง บวกกับเวลาทำไข่ฝอยก็ได้เวลานำยาจีนออกจากหม้อพอดี
เนื่องจากซ่งจื่อเซวียนเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาจึงรู้สึกชินมืออยู่บ้าง
และตอนนี้ก็มาถึงจุดที่ได้ทำผิดไปครั้งที่แล้ว
จะต้องไม่ใส่ยาจีนลงในกระทะโดยตรง ปฏิกิริยาแรกของซ่งจื่อเซวียนคือการเอาไปล้างผ่านน้ำ นั่นคือผ่านน้ำเย็น
เนื่องจากมีเพียงน้ำเย็นเท่านั้นที่สามารถดูดซับกลิ่นยากลับไปได้ แบบนี้ก็จะไม่มีกลิ่นยาจีนอยู่ในน้ำแกง
แต่หลังจากทำไปรอบหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนก็สับสนอีกครั้ง แบบนี้ไม่เพียงแต่มีกลิ่นยาจีนเท่านั้น กลิ่นยังแรงกว่าครั้งที่แล้วอีกด้วย
ซางเทียนซั่วที่อยู่ในห้องโถงได้กลิ่นก็พูดว่า “อาจารย์ กลิ่นยาจีนแรงมาก กำลังต้มยาอยู่งั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนเมินเฉย หยิบตะหลิวขึ้นมาแล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง
หม้อแล้วหม้อเล่าก็ยังใช้ไม่ได้ ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจและทรุดตัวลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ หาสาเหตุไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง
เขาอยากร้องขอความช่วยเหลือจากชายชรา แต่เพราะรู้จักชายชราดีจึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางสอนเขา
นอกจากนี้ทั้งสองยังเดิมพันกันด้วยว่าหากซ่งจื่อเซวียนเข้าใจน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายแล้ว ชายชราจะมอบตะหลิวลายฟีนิกซ์ให้แก่เขา ตอนนี้จะสอนเขาทำด้วยตัวเองได้อย่างไรกัน
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็ถอนหายใจ ลุกขึ้นยืนและพยายามลองทำต่อไป
ลองทำวิธีแล้ววิธีเล่า แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม กลิ่นของยาแทบจะกลบรสชาติของอาหาร เหมือนกับซ่งจื่อเซวียนพิจารณาตัวเองด้วยน้ำแกงยาจีนหนึ่งหม้อ
จนกระทั่งรอบที่เจ็ด เมื่อได้กลิ่นหอมของน้ำแกง ซ่งจื่อเซวียนก็เผยยิ้มอย่างพึงพอใจในที่สุด
เขาหยิบกล่องอาหารมาใส่น้ำแกง สั่งซางเทียนซั่วและรุ่ยจื่อให้ดูแลร้าน จากนั้นก็นั่งรถแท็กซี่ไปที่บ้านของตาเฒ่าฟาง
ช่วงบ่ายไม่นับว่ามีรถบนถนนมากนักจึงขับไปได้เรื่อยๆ ตลอดทาง น้ำแกงก็ยังรักษาความอุ่นได้อยู่
ทันทีที่ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปในลานบ้านก็สาวเท้าวิ่ง เมื่อเห็นตาเฒ่าฟางกำลังพักผ่อนอยู่ เขาก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น ตรงไปสะกิดอีกฝ่ายเบาๆ สองสามที
“ตาเฒ่า เร็ว รีบชิมเร็วเข้า!”
ฟางจิ่งจือลืมตาขึ้นเล็กน้อย “ไอ้หลานตัวดี แกรนหาที่ตาย ปู่กำลังหลับอยู่ยังกล้าจะมาปลุก”
ซ่งจื่อเซวียนกระหืดกระหอบและชี้ไปที่กล่องอาหารในมือ “นะ น้ำแกงห้าสาย ปู่…ปู่ลองชิมสักคำว่าถูกหรือเปล่า”
ฟางจิ่งจือชะงักเมื่อได้ยิน จากนั้นจึงหันไปดูกล่องอาหารในมือของซ่งจื่อเซวียน อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไอ้หนู กล่องแย่ๆ ใบนี้คู่ควรที่จะใส่น้ำแกงห้าสายหรือไง แกทำรสชาติเสียหมดแล้ว”
“โธ่ปู่ ไม่ต้องสนใจแล้ว ผมทำออกมาได้ก็รีบมาส่งให้ปู่เลย รีบดูเร็วว่าใช้ได้หรือเปล่า”
ฟางจิ่งจือค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งและเอนกายบนตั่ง ซ่งจื่อเซวียนพลางรีบดึงโต๊ะเล็กๆ มาวางด้านหน้าเขา เปิดฝากล่องแล้วยังไม่ลืมที่จะพัดมือเพื่อไล่กลิ่นไปที่จมูกของตาเฒ่าแล้วรีบถาม “เป็นยังไงปู่ แหะๆ ได้หรือเปล่า”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฟางจิ่งจือที่เพิ่งคิดจะขยับตะเกียบ ก็วางตะเกียบลงทันทีและทิ้งตัวกลับไปด้านหลัง
“ไอ้หนู กลิ่นนี้ไม่ถูกต้อง!”
………………………………………………..
[1] ทุกอย่างพร้อมพรักขาดแต่เพียงวายุบูรพา (万事俱备只欠东风) เป็นคำกล่าวของขงเบ้ง หมายถึงทุกอย่างได้ตระเตรียมพร้อมแล้ว ขาดแต่สิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว