เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 106 เป็นมังกรตัวหนึ่ง
ตอนที่ 106 เป็นมังกรตัวหนึ่ง
แต่ซ่งจื่อเซวียนรู้ดี ไม่ว่าหลินเทียนหนานจะมาไม้ไหน การเลือกของเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
หากต้องการหลุดพ้นจากจ้งอันและไปเริ่มต้นใหม่ ตอนนี้เขาจำเป็นต้องไปจากต้าสือไต้
มิฉะนั้น ในวันข้างหน้าสิ่งที่เขาจะได้รับก็คือการถูกคนอื่นควบคุม การเริ่มทำร้านอาหารร่ำรวยนั้นต่างหากคือความคิดริเริ่มที่แท้จริง
และจุดเริ่มต้นทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความช่วยเหลือของเสี่ยเฉิงปา ในจุดนี้ หลินเทียนหนานนั้นทำไม่ได้
“ประธานหลิน คุณให้เกียรติเกินไปแล้วครับ เชิญผมมาในเวลาอาหารมื้อดึกขนาดนี้เลยเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา
หลินเทียนหนานยืนขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เห็นต้องเกรงใจขนาดนั้นเลย ตอนประชุมที่ปักกิ่งฉันได้ยินพวกเขาพูดว่าอาหารร้านนี้อร่อยเหาะสุดๆ ก็เลยให้คนไปซื้อมาสักหน่อย ยังร้อนๆ ถ้านายไม่รังเกียจก็โอเค”
“เหอะๆ คุณบอกว่าไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น ผมจะพูดอะไรได้อีกล่ะครับ” ซ่งจื่อเซวียนนั่งตรงข้ามหลินเทียนหนาน และมองไปที่ไวน์แดงอีกครั้ง “ประธานหลิน ไวน์แดงนี่…”
“เหอะๆ มันไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น ฉันไม่รู้ว่าอะไรถูกปากนาย ก็แค่วางมันไว้เฉยๆ เท่านั้น”
ซางเทียนซั่วคลี่ยิ้มและพูด “นี่แค่วางไว้เฉยๆ เหรอ ไม่ต้องพูดถึงไวน์หมักเบอร์กันดีขวดนี้เลย แค่ลาฟิตขวดใหม่นี้ราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ แล้วนะ”
แม้ว่าซางเทียนซั่วจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ด้วยพื้นเพของครอบครัว สินค้าหรูหราทั่วไปเขาจึงรู้จักหมด
เมื่อโดนพูดแบบนี้ หลินเทียนหนานก็ยิ้มอย่างเขินอาย “น้องชายสายตาเฉียบแหลมนัก แต่ไวน์แบบไหนก็คู่ควรกับคนแบบนั้น น้องซ่งมาแล้ว งั้นเอาของธรรมดาทั่วไปดีไหม”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัวแล้วยิ้ม “ผมทำให้คุณถูกหัวเราะเยาะแล้ว ผมยังแย่กว่านิดหน่อยจริงๆ รุ่ยจื่อ ไปซื้อเอ้อร์กัวโถวให้ฉันหนึ่งขวด เอาขวดสีขาวนะ”
“ครับ นายท่านรอง!”
“เดี๋ยวก่อน ให้โส่วเหวินไปเถอะ น้องซ่ง ตอนนี้ร้านปิดหมดแล้วเพื่อนนายไปคงไม่สะดวก”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ไม่คัดค้านแต่อย่างใด
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้มและจิบไวน์หนึ่งอึก พูดตามตรงเขาไม่รู้เรื่องไวน์แดง แต่ไวน์นี้อ่อนนุ่มในปาก ในความขมมีความหวาน และรสชาติที่ยังติดอยู่ที่ปลายลิ้นก็ทำให้ยิ่งเพลิดเพลินมากขึ้น แตกต่างจากไวน์แดงราคาถูกที่เขาเคยดื่มมาก่อนจริงๆ
“ไวน์ไม่เลวเลย” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
พูดจบ เขาก็ชิมอาหารอีกครั้ง อาหารคำนี้น่าทึ่งจริงๆ
แม้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะไม่เคยกินอาหารรสเลิศใดๆ เลย แต่อาหารจานนี้ก็สุดยอดจริงๆ ส่วนผสมก็เรียบง่าย ไม่ได้ล้ำค่าราคาแพง รสชาติมีระดับสูงกว่าของพวกจางขุย เจิ้งฮุย และหลี่เทาอย่างแน่นอน
“ประธานหลิน จานนี้…”
“เป็นยังไงบ้างล่ะ ถ้าไม่ถูกปากทางเราจะเปลี่ยนให้ คนอื่นเขาแนะนำมาน่ะ ร้านอาหารชื่อ…อ้อใช่แล้ว ชื่อร้านอาหารของราชวงศ์”
“ราชวงศ์เหรอครับ ในเขตของปักกิ่ง ชื่อนี้ค่อนข้างโด่งดังเลยนะครับ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
หลินเทียนหนานกระตุกยิ้ม “ก็ไม่เชิง น้องชาย ปัจจุบันในวงการนี้คือโลกของพวกนายวัยหนุ่มสาว พวกเราผู้ถือหางเสืออีกเดี๋ยวก็เกษียณแล้ว เกรงว่าพวกนายจะต้องรับช่วงต่อไป คนหนุ่มสาวใจกล้าและมีความคิด ดังนั้นชื่อของกิจการหลายแห่งเลยฟังดูค่อนข้างเย่อหยิ่งอวดดี แต่ได้ยินมาเยอะแล้ว…ฮ่าๆ ฉันก็ชินกับมันบ้างแล้วจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้ฟังคำพูดของหลินเทียนหนาน และยังคงชิมอาหารจานอื่นต่อไป รสชาตินี้…สุดยอด
รสชาติของแต่ละจานไม่ใช่แค่ผิวเผินเท่านั้น แต่ยังให้ความรู้สึกที่ล้ำลึกมากเหมือนกับความรู้สึกของข้าวผัดจักรพรรดิ ถึงแม้ส่วนผสมจะเรียบง่ายแต่ก็มีรสชาติที่ยังติดลิ้นอยู่อย่างไม่สิ้นสุด
ราชวงศ์…แม้จะดูเด่น แต่กลับเป็นชื่อที่น่าเกรงขาม
“อ้อน้องนาย อาหารรสชาติถูกปากนายหรือเปล่า” หลินเทียนหนานถาม
“ไม่เลวเลย เหอะๆ สมแล้วที่เป็นร้านอาหารในปักกิ่ง รสชาติดีถึงใจจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดตามใจปาก จากนั้นก็จุดบุหรี่ทันที
“เอ่อ…น้องชาย ฉันอยากถามนายว่าช่วงนี้ที่ต้าสือไต้ยังโอเคอยู่ใช่ไหม ถ้ารู้สึกว่ามีปัญหาก็บอกฉันได้เสมอเลยนะ ฉันจะพยายามช่วยนายแก้ไขอย่างเต็มที่”
ซ่งจื่อเซวียนแอบครุ่นคิด ‘นี่หลินเทียนหนานกำลังพยายามเอาใจฉัน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน’
เขายังจำสิ่งที่หลินเทียนหนานพูดกับเขาเมื่อครั้งที่แล้วได้ชัดเจน ‘ถ้าอยากให้ช่วย นายต้องเตรียมข้าวผัดไม่จำกัดจำนวน’ แต่วันนี้…
จะช่วยฉันแก้ไขอย่างเต็มที่ เหอะๆ เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“ไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ”
“งั้นก็ดี เยี่ยมเลย ฉันกังวลเรื่องนี้มาสักพักแล้ว อันที่จริงร้านอาหารเป็นสถานที่ที่ยุ่งยากซับซ้อน ไม่ว่าการทำงานหรือเรื่องส่วนตัวก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีอารมณ์หรือความขัดแย้ง ถ้ามีล่ะก็นายต้องบอกฉันนะ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัวอีกครั้ง “ไม่มีครับ”
“น้องชาย ฉันเตรียมจะขึ้นเงินเดือนให้นาย นายมีเงื่อนไขอื่นอีกไหม”
“ขึ้นเงินเดือนเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนอึ้งไป
“ใช่แล้ว กำไรต่อเดือนของข้าวผัดจักรพรรดิสูงถึงห้าแสนสี่หมื่นหยวน ต้นทุนก็คือค่าข้าวไม่กี่กระสอบซึ่งแทบไม่ต้องสนใจมันเลย น้องชาย เงินเดือนอยู่ที่สองแสนหยวน เงินเดือนต่อปีสองล้านสี่แสนหยวนบวกเงินเดือนสิ้นปีสองเท่า นายจะว่ายังไง”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยก็ตกตะลึง
ไม่ต้องพูดถึงฟางรุ่ยแม้แต่ซางเทียนซั่วก็ยังเป็นเหมือนกัน แม้ว่าครอบครัวเขาจะร่ำรวยจากการทำธุรกิจ แต่จะมีสักกี่คนที่ได้รับเงินเดือนต่อปีเกือบสามล้านกันล่ะ
อีกทั้งเมื่อมองดูคนทั้งประเทศแล้ว คนทำงานที่สามารถได้เงินเดือนต่อปีหนึ่งล้านขึ้นไปก็เป็นผู้บริหารในบริษัทใหญ่แล้วทั้งนั้น เงินเดือนของซ่งจื่อเซวียนโดยพื้นฐานแล้วมากพอๆ กับรายได้ต่อปีของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
แต่ถึงอย่างไรสีหน้าของซ่งจื่อเซวียนยังคงสงบนิ่งอย่างมาก “ทำไมจู่ๆ คุณถึงขึ้นเงินเดือนให้ผมมากขนาดนั้นล่ะครับ กำไรห้าแสนกว่าหยวน คุณแบ่งมาให้ผมเกือบครึ่งหนึ่งเลยนะ นี่ไม่ใช่สไตล์ของคุณ ประธานหลิน”
“เหอะๆ การใช้ข้าวผัดจักรพรรดิเป็นเมนูซิกเนเจอร์ทำให้ยอดขายอาหารโดยรวมของร้านเพิ่มขึ้น น้องชาย ราคาที่ฉันเสนอให้นายไม่ได้มากมายเลยนะ วางใจเถอะ ขอแค่อนาคตของต้าสือไต้ไปได้สวย ฉันก็เพิ่มให้นายได้อีก!”
ซ่งจื่อเซวียนเงียบไปนานแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ประธานหลิน ผม…เกรงว่าจะทำให้คุณผิดหวัง”
หลินเทียนหนานชะงักทันที มือไม้อ่อนเกือบจะทำแก้วในมือร่วงหล่น เขาฝืนยิ้มแล้วพูด “เหอะๆ น้องชาย นาย…นายว่าไงนะ”
“ผมอยากลาออก!”
สี่คำนั้นทำให้ซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยต่างก็อึ้งค้าง แม้แต่ซุนโส่วเหวินที่เพิ่งเข้ามาก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าควรจะก้าวฝีเท้าอย่างไร
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ห้างสรรพสินค้าจ้งอันอยู่ในสภาพคงที่แล้ว และแนวโน้มขาขึ้นเริ่มชะงักอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นหลินเทียนหนานจึงมุ่งเน้นไปที่ตลาดอาหารแทน
เพราะเหตุนี้ ซุนโส่วเหวินจึงเข้าใจที่ซ่งจื่อเซวียนมีความสำคัญสำหรับเขา
ถ้าซ่งจื่อเซวียนออกไป ต้าสือไต้จะกลายเป็นร้านอาหารธรรมดาทั่วไป การหาเลี้ยงชีพหรือหาเงินนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเฉิดฉาย
ห้องทำงานตกอยู่ในความเงียบไปครู่หนึ่ง หลินเทียนหนานก้มหน้าลงช้าๆ เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่ใครที่มีสายตาเฉียบแหลมจะรู้เลยว่าเขารู้สึกอับอายขายหน้า
เมื่อแสดงความหวังดีต่อใครบางคน กลับทำให้คนคนนั้นขอลาออก เรื่องนี้ถ้าเกิดกับคนอื่นก็แล้วไป แต่เป็นเขา ประธานหลินทนไม่ไหวที่ต้องขายขี้หน้า!
ในที่สุด ซุนโส่วเหวินรีบสาวเท้าเดินไปและกล่าว “คุณซ่ง เอ้อร์กัวโถวครับ แหะๆ อากาศมันหนาว เหล้าเลยเย็นนิดหน่อย ผมจะไปอุ่นให้นะครับ”
“รุ่ยจื่อ ไปสิ คุณซุนเพิ่งเข้ามาให้เขาพักสักหน่อย”
“ได้เลยนายท่านรอง”
จากนั้น ฟางรุ่ยก็หยิบเหล้าแล้วออกไป
“คุณซ่ง จริงๆ แล้ว…เราอาจทำไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก แต่ประธานหลินก็เป็นคนที่มองเห็นความสามารถของคุณถูกไหมครับ” ซุนโส่วเหวินพูดตรงประเด็น
สุดท้ายแล้ว หลังจากติดตามหลินเทียนหนานมาหลายปี สังเกตทั้งสีหน้าและคำพูด จึงรู้ว่าเวลาไหนควรพูดอย่างไร และยืนอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ซุนโส่วเหวินก็ยังคงไม่มีปัญหา
แต่สิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนกำลังรอคอยคือคำพูดนี้เช่นกัน หากไม่มีการเริ่มประเด็นนี้ตัวเองคงไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน เขาคงรู้สึกผิดที่จะออกจากต้าสือไต้
“ถูกต้องแล้วครับ ดังนั้นผมต้องขอบคุณประธานหลิน แม้ว่าผลกำไรสองเดือนนี้ที่ต้าสือไต้ได้จากผมจะเทียบไม่ได้กับจ้งอัน แต่เมื่อพิจารณาจากขนาดของร้านอาหารก็ต้องไม่น้อยอยู่แล้ว”
หลินเทียนหนานยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ซุนโส่วเหวินหยุดพูด ก่อนกล่าวเองว่า “น้องชาย ฉันเคารพการตัดสินใจของนาย แต่ฉันอยากถามว่าไม่เหลือทางให้ช้าลงกว่านี้แล้วเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มและไม่เอ่ยอะไร เห็นได้ชัดว่ายอมรับโดยปริยาย
“มันเกี่ยวกับที่ฉันไม่เลือกช่วยนายเมื่อครั้งที่แล้วหรือเปล่า” หลินเทียนหนานถาม
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเขาเห็นรุ่ยจื่อเดินเข้ามา เขาก็หยิบเอ้อร์กัวโถวมารินใส่สองแก้ว “ท่านประธาน คุณชิมสักหน่อยสิ แม้เกรดจะต่ำ แต่คือรสชาติที่ถูกต้อง”
ดูเหมือนว่าหลินเทียนหนานจะเข้าใจความหมายของซ่งจื่อเซวียนในทันที โดยเฉพาะคำว่ามันคือรสชาติที่ถูกต้อง!
ซ่งจื่อเซวียนจะไม่มีวันยอมเพราะใครผ่อนปรนให้ และจะไม่มีทางเปลี่ยนใจ เนื่องจากเขาเป็นคนเช่นนี้
เช่นเดียวกับการดื่มเหล้า แม้ว่าจะมีไวน์แดงหนึ่งขวดมูลค่าหลายพันหลายหมื่นหยวนวางอยู่บนโต๊ะ เขาก็คงจะจำแต่รสชาตินี้ นั่นคือเอ้อร์กัวโถวขวดสีขาว
“เอาล่ะ ฉันยังคงบอกว่าฉันเคารพการตัดสินใจของนาย แต่…น้องจื่อเซวียน ฉัน หลินเทียนหนาน อยากบอกนายสักหน่อย บางอย่างที่มาจากก้นบึ้งหัวใจ”
ซ่งจื่อเซวียนเงยหน้าขึ้นมองหลินเทียนหนาน บางทีนี่อาจเป็นความแตกต่าง ถ้าเสี่ยเฉิงปาพูดแบบนี้ เขาคงจะประสานหมัดคารวะตัวเองแน่นอน แต่คำพูดนั้นอาจเป็นคำโกหก ส่วนหลินเทียนหนานนั้นแม้ว่าจะไม่สมเหตุสมผล แต่ไม่แน่ว่าอาจจะพูดจริงก็ได้…
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็แอบยิ้ม วงการนี้…น่าสนใจดี ทีเล่นทีจริง
“คุณพูดมาเลย”
“ถ้าไม่มีนายต้าสือไต้นี้คงโด่งดังขึ้นมาไม่ได้ ตอนนี้ต้าสือไต้กำลังขาขึ้นนายก็จากไป อันที่จริงเป็นนายที่ฉุดดึงร้านขึ้นมาได้”
“ประธานหลิน คุณเกรงใจไปแล้ว”
“ไม่ได้เกรงใจสักหน่อย มันคือความจริง วันนี้นายก็ดื่มเป็นเพื่อนพี่ชายคนนี้สักพักสิ ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรก็มาหาฉันหลินเทียนหนาน ขอแค่ฉันสามารถทำได้ ไม่เปลี่ยนคำพูดแน่นอน!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกอุ่นใจ เขายกแก้วขึ้นแล้วกล่าว “ในเมื่อคุณพูดแล้ว งั้นมาดื่มกันต่อ!”
หลินเทียนหนานระบายยิ้มพลางดื่มเหล้าในแก้ว
การดื่มครั้งนี้กินเวลาจนถึงประมาณตีสองกว่า ไม่เพียงแต่หลินเทียนหนานและซ่งจื่อเซวียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงฟางรุ่ยและซางเทียนซั่วที่ดื่มเยอะไปหน่อย
ในระหว่างที่ดื่ม ซ่งจื่อเซวียนยังกล่าวด้วยว่าถ้ามีโอกาสก็ยินดีที่จะร่วมมือกับหลินเทียนหนานต่อไป และต่อจากนี้ทั้งสองจะถือว่าเป็นเพื่อนกัน
หลังจากทุกคนแยกย้าย ซุนโส่วเหวินก็รินชาให้หลินเทียนหนานหนึ่งถ้วย “ท่านประธานครับ คุณดื่มเยอะเกินไปแล้ว ดื่มชาสักถ้วยหน่อยเถอะครับ”
หลินเทียนหนานโบกมือ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และดวงตาของเขาก็สร่างอีกครั้งเหมือนก่อนที่จะดื่ม
“โส่วเหวิน อยู่กับฉันมานานแล้ว นายเคยเห็นฉันดื่มมากเกินไปหรือเปล่า”
“เอ่อ…”
“แต่มีบางคำที่ถ้าไม่เมาก็พูดไม่ได้” พูดแล้วหลินเทียนหนานก็จิบชาจากถ้วยหนึ่งอึก “ตอนแรกฉันมองคนถูก แต่กลับมองพลาดไป”
“ท่านประธาน คำพูดนี้ คุณหมายถึงอะไร…”
“เดิมทีฉันคิดว่าซ่งจื่อเซวียนเป็นม้าพันลี้ ไม่คิดว่า…เขาจะเป็นมังกรตัวหนึ่ง ก็แค่นั้นแหละ อยากไปก็ไป มันเป็นความผิดของฉันเอง!”
หลินเทียนหนานถอนหายใจ ซุนโส่วเหวินเดินไปที่หน้าต่างแล้วมองดูเหล่าคนหนุ่มหน้าประตูห้างจ้งอัน เขาพยักหน้าอย่างเชื่องช้า ท่านประธานพูดถูก…
ในขณะนี้ที่หน้าประตูห้างจ้งอัน ซ่งจื่อเซวียนกำลังประคองซางเทียนซั่วด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างก็ประคองฟางรุ่ย พยายามเรียกรถแท็กซี่ข้างถนนอย่างทุลักทุเล
ในวงดื่มเหล้านี้ มีเพียงสองคนที่ไม่เมาก็คือหลินเทียนหนานและซ่งจื่อเซวียน!
…………………………………………