เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 102 ละทิ้ง
ตอนที่ 102 ละทิ้ง
เห็นซ่งอวิ๋นฮั่นกระอักเลือดออกมากะทันหัน ซ่งจื่อเซวียนก็ผงะไป เมื่อครู่ยังรักษาความสุขุมได้ตลอด เดี๋ยวเดียวก็ร้อนใจขึ้นมา
เขายืดตัวขึ้นเข้าไปประคองซ่งอวิ๋นฮั่นทันที “คุณเป็นยังไงบ้าง”
ซ่งอวิ๋นฮั่นสูดลมหายใจลึก ฝืนยิ้มออกมา โบกมือ
“ไม่ ไม่เป็นไร แกดูสิ ฉันทำเสื้อผ้าแกเลอะหมดแล้ว”
ซ่งอวิ๋นฮั่นชี้รอยเลือดที่เพิ่งกระอักออกมาเมื่อครู่บนตัวซ่งจื่อเซวียนด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ทำไมคุณถึงไอเป็นเลือดล่ะ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นในตอนนี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง ถึงปรับการหายใจให้มั่นคงได้ “ช่วงนี้เป็นแบบนี้บ่อยๆ น่ะ โธ่เอ๊ย แกนั่งเถอะ อย่ามัวแต่ยืนอยู่”
แม้ซ่งจื่อเซวียนจะรู้สึกไม่ค่อยวางใจ แต่เห็นลมหายใจซ่งอวิ๋นฮั่นสงบแล้วจึงนั่งลง
ซ่งอวิ๋นฮั่นลุกขึ้นหยิบผ้าขนหนูมาจากบนโต๊ะคอมพ์ เช็ดรอยเลือดบนโต๊ะน้ำชา บางจุดก็ยังเช็ดซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ มองออกได้ว่าเขารักความสะอาดมาก
ความจริงมองจากเสื้อสะอาดสะอ้านที่เขาสวมอยู่ก็รู้แล้ว
อีกทั้งซ่งจื่อเซวียนก็เดาว่าตอนที่ตนเองเข้ามาเมื่อครู่ ตอนที่ซ่งอวิ๋นฮั่นเดินออกมาจากห้อง เขาน่าจะได้ยินว่าตนเองมา จึงรีบไปยืนหน้ากระจกจัดเสื้อผ้า หวีผม เห็นได้ชัดว่าเขาใส่ใจภาพลักษณ์ของตนต่อหน้าลูกชายมาก
“จื่อเซวียน ความจริงแล้วฉันไม่คิดว่าแกจะมาจริงๆ ฉันดีใจมาก”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็พยักหน้า “ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน”
“ช่วงนี้ฉันรู้อาการป่วยของตัวเองแล้ว ก็ไม่ค่อยอยากจะไปดูแลเรื่องงานเท่าไร บางเรื่อง…ต้องรอจนบั้นปลายชีวิตถึงจะเข้าใจ”
“เหอะๆ ถ้าคุณเข้าใจเร็วกว่านี้ ทำไมถึงทิ้งลูกทิ้งเมียเพื่องานพวกนั้นล่ะ”
พูดจบประโยคนี้ ซ่งอวิ๋นฮั่นก็เงียบไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย เส้นผมค่อยๆ ลู่ลง ดูเหงาหงอยอย่างเห็นได้ชัด
ที่จริงซ่งจื่อเซวียนเคยคิดว่าถ้าได้เห็นซ่งอวิ๋นฮั่นเป็นอย่างนี้จะมีความสุข นี่เป็นส่วนหนึ่งของการทำชั่วได้ชั่วจากทัศนคติของเขา
แต่พอเขาได้เห็นจริงกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย กลับกันในใจยังรู้สึกแย่มาก
“ขอโทษด้วย ผมพูดแรงไป” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ซ่งอวิ๋นฮั่นส่ายหน้าเบาๆ “แกไม่ได้ผิดหรอก จื่อเซวียน ที่แกพูดก็ถูก ไม่ว่ายังไง…ฉันก็เป็นคนที่ทิ้งลูกทิ้งเมีย”
ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้จะไปต่อยังไง มองรอบห้องอย่างไร้จุดหมาย “ห้องนี่คงราคาไม่ใช่ถูกๆ มั้ง ห้องใหญ่ขนาดนี้”
“ไม่รู้สิ โรงแรมนี้ที่บริษัทก็มีหุ้นส่วนด้วยเหมือนกันน่ะ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ชะงักไป ตั้งแต่เล็กเขาไม่เคยเข้าใจพ่อตนเอง รู้แค่ว่าตอนแรกเขาเอาเรื่องงานมาอ้างแล้วทิ้งแม่ไป กลับไม่รู้ว่า…งานจะใหญ่เกินคาดไปขนาดนี้
ถึงไม่ค่อยเข้าใจเทรนด์และความหรูหราเท่าไร แต่เขาก็รู้ว่าโรงแรมข่ายอ้อคือหนึ่งในโรงแรมห้าดาวที่เก่าแก่ที่สุดของตู้เหมิน
อีกทั้งข่ายอ้อในอ่าวชิงหลง ก็มีเงินทองไหลมาเทมาทุกวัน
“เหอะๆ งั้นก็สุดยอดเลย มิน่าถึงได้ทิ้งแม่ผมไป เงินเยอะขนาดนี้เชียว…” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเบาๆ พลางยักไหล่ “ภรรยาของคุณตอนนี้ล่ะ ไม่ได้มีลูกอีกสองสามคนเหรอ”
มองออกว่าซ่งจื่อเซวียนตอนนี้โกรธแล้ว และที่มาของความโกรธย่อมเป็นเพราะซ่งอวิ๋นฮั่นประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแลกกับการทิ้งลูกทิ้งเมีย!
ซ่งอวิ๋นฮั่นค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ถึงอายุจะถึงวัยกลางคนแล้ว แต่องคาพยพที่ยังคงเรียกได้ว่าหล่อเหลาและละเอียดลออกลับปกปิดริ้วรอยของกาลเวลาและอาการป่วยไม่ได้เลย
“ฉันไม่ได้แต่งงานใหม่ กระทั่งหลายปีมานี้…จื่อเซวียน แกก็โตแล้ว เรื่องพวกนี้ฉันพูดกับแกได้ ฉันไม่ได้แตะต้องผู้หญิงอีกเลย”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “งั้นก็ยินดีกับคุณด้วย นี่นับว่าเป็นความซื่อสัตย์ที่มีต่อแม่ผมแล้วล่ะมั้ง”
ซ่งอวิ๋นฮั่นส่ายหน้า “ฉันรู้ว่าฉันชดเชยความผิดของฉันไม่ได้อีกแล้ว ฉันก็ไม่ได้ตั้งตารอให้พวกแกยกโทษให้ แต่ฉันก็รู้จักพอแล้ว”
“เหอะๆ รู้จักพออยู่แล้วล่ะ ธุรกิจครอบครัวใหญ่โตขนาดนี้ ถ้าเป็นผม ผมก็รู้จักพอเหมือนกัน” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ไม่หรอก เป็นเพราะได้เจอแกต่างหาก แกไม่รู้หรอก ตอนที่แกยังเด็กฉันทำได้แค่มองแกจากที่ไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ จนกระทั่ง…เมื่อไม่นานมานี้ ร่างกายฉันก็แย่ลงเรื่อยๆ กลัวกระทั่งลม ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีสักวันที่เราสองพ่อลูกจะได้มานั่งเผชิญหน้ากัน นี่ราวกับเป็นความฝันมาโดยตลอด”
ได้ยินประโยคนี้ ในใจซ่งจื่อเซวียนก็ปวดร้าว เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ เขาก็รู้สึกสงสารชายวัยกลางคนตรงหน้าอยู่เล็กน้อย
สงสาร…บางทีอาจจะเป็นเพราะตอนนี้ใบหน้าของเขาซีดเผือด หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาอายุถึงวัยกลางคนแล้วแต่ยังรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว
“จื่อเซวียน แกรู้ไหม จนอายุปูนนี้แล้วฉันถึงเข้าใจ ฉันอยากจะยกทุกอย่างที่ฉันมีให้แก แต่ฉันกลับให้สิ่งที่สมควรให้ที่สุดไม่ได้ ความรักของพ่อ ฉันรู้ไม่มีทางชดเชยปมด้อยนี้ได้เลย หรือก็คือทำร้ายพวกแกอย่างร้ายแรงที่สุด…”
“ความรักของพ่อ? ไม่คุ้นเกินไปแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าแล้วพิงกับพนักเก้าอี้ “บางคนเขาอาจจะมี แต่ผมไม่มีความคิดเรื่องนี้เลย หรือก็คือไม่ได้มีปมด้อย”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ถึงที่จริงจะเตรียมตัวว่าซ่งจื่อเซวียนจะพูดถ้อยคำเสียดแทงใส่ไว้ตั้งนานแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคำพูดพวกนี้เป็นเหมือนกับมีด ทุกๆ ถ้อยคำเสียดแทงใจตนอย่างล้ำลึก
ซ่งอวิ๋นฮั่นสูดลมหายใจลึก ฝืนยิ้มออกมาอีกครั้ง “จื่อเซวียน แกอาจจะจำไม่ได้ ความจริงแล้วตอนที่แกยังเด็ก…ฉันยังเคยพาแกเล่นด้วยนะ เพียงแต่หลังจากแม่แกมาแล้ว ฉันก็หลบออกไป”
“ไม่เห็นจำได้เลย”
“ตอนที่แกอยู่ชั้นประถม ฉันมองแกเดินออกมาที่หน้าประตูโรงเรียน จากนั้นก็ซื้อสายไหมให้แก แล้วก็ซื้อลูกบอลให้ด้วย”
พูดถึงตรงนี้ ในสมองของซ่งจื่อเซวียนส่งเสียงหวึ่งๆ จู่ๆ เขาก็นึกอะไรออก…
เหมือนว่าจะมีอยู่ครั้งหนึ่งจริงๆ ตอนนั้นเขาดีใจมาก เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่มีคนมอบของขวัญให้ ลูกบอล เขาเห็นเพื่อนตัวน้อยคนอื่นๆ กอดลูกบอลอยู่ทุกวัน แต่ตนเองกลับไม่มี ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา…เขาก็มีลูกบอลเป็นของตนเองแล้ว
เขาก็จำได้ว่าหลังจากที่แม่มารับตน เห็นของในมือของตนเองก็เริ่มมองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น เหมือนว่ากำลังหาอะไรอยู่ แต่เขาตอนนั้นคาดไม่ถึงว่าแม่กำลังหาพ่อของตนเองอยู่
“จื่อเซวียน ฉันจำได้ว่าวันเกิดแกคือช่วงท้ายปี จะอายุสิบเก้าแล้วใช่ไหม”
“ครับ…” ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจ คำพูดของซ่งอวิ๋นฮั่นพลันทำให้เขารู้สึกหนักหน่วงขึ้นมาอย่างชัดเจน “คิดไม่ถึงว่าในสิบเก้าปีนี้…แกจะมาปรากฏตัวจริงๆ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นสีหน้าอับจนหนทาง “ลูกชาย บางเวลา…ผู้ใหญ่ก็มีเรื่องที่ผู้ใหญ่ทำไม่ได้ดั่งใจหวัง เวลาของฉันมีไม่มากแล้ว ได้เจอหน้าแกสักครั้งฉันก็พอใจมากแล้ว กระทั่งฉันไม่ได้คาดหวังว่าแกจะเรียกฉันว่าพ่อได้ด้วยซ้ำ…”
“ฮ่าๆ ไม่เรียกอยู่แล้ว ระหว่างเราไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อกัน ผมจะอาศัยอะไรมาเรียกคุณอย่างนั้น คุณไม่ได้มีภาระผูกพันอะไรกับผมเลย ผมจะอาศัยอะไรมาเรียกคุณอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าความสัมพันธ์ของเราแสดงอยู่ที่นี่ ผมเจอคุณตามทางเดินคงไม่แม้แต่จะรู้จัก เหมือนกับคนบนถนนทั่วไป ผมจะอาศัยอะไรมาเรียกคุณอย่างนั้น!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางลุกขึ้นยืน สองตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำใสแวววาว แต่ในสายตาที่แวววาวคู่นี้ กลับเปี่ยมไปด้วยโทสะ
ซ่งอวิ๋นฮั่นก้มหน้าไม่พูดจา เขารู้ว่าถึงเขาจะมีพันหมื่นเหตุผล ก็ทำให้เด็กผู้ชายตรงหน้าคนนี้เสียความรักของพ่อไป
เขาไม่มีทางเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ที่มีพ่อคอยรับคอยส่ง ได้เตะบอลกับพ่อ ฟังพ่อเล่าเรื่องเหตุผลของชีวิตคน
เรื่องพวกนี้สำหรับซ่งจื่อเซวียนแล้ว…ล้วนเปล่าประโยชน์
“คุณพูดอยู่ตลอดว่าคุณมีเรื่องที่ทำไม่ได้ดั่งใจหวัง หรือว่าทิ้งเมียทิ้งลูกแล้วยังจะหมดหนทางทำอะไรอีก ผมจะบอกคุณให้นะ ถึงเรื่องจะเป็นแบบนี้แม่งก็ไร้สาระทั้งนั้น!”
เสียงของซ่งจื่อเซวียนแผดขึ้นสูงอยู่บ้าง เสียการควบคุมเล็กน้อยจริงๆ
บางทีตอนที่เผชิญหน้ากับพี่เจี๋ยหรือเสี่ยเคอซาน เขาก็ไม่ได้โกรธขนาดนี้ เพราะนั่นเป็นความเกลียดชังช่วงสั้นๆ แต่ตอนนี้กลับเป็นการทรมานจากความแค้นของตนเองมาสิบกว่าปี
ซ่งอวิ๋นฮั่นนิ่งเงียบไปสักพัก พูดว่า “จื่อเซวียน แก…จะยอมลองรับฟังความขมขื่นของฉันไหม”
“ผมคิดว่าคุณไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดเรื่องพวกนั้นกับผม เป็นเรื่องแต่งหรือเปล่า หรือว่าเป็นเรื่องจริง ผมไม่มีทางมั่นใจได้หรอก บางทีถ้าคุณเอาไปพูดกับแม่ผมอาจจะเหมาะสมกว่า เธอค่อนข้างใจดี เชื่อคุณง่าย”
ได้ยินดังนั้น ซ่งอวิ๋นฮั่นก็ยิ้มเจื่อน
“ไม่ใช่ว่านอกจากแกจะไม่เคยเจอฉันแล้ว ก็ไม่เคยเจอตายายของแกด้วยหรอกใช่ไหม”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ชะงัก บางทีเขาอาจจะไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน
คนคนหนึ่งแม้แต่พ่อก็ไม่มี ยังจะไปสนใจว่ามีปู่ย่าตายายได้อย่างไร
“ไม่เคย” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้า ถอนหายใจ “หานหรงเธอ…สุดท้ายก็ไม่ได้กลับไปสินะ”
“คุณหมายความว่ายังไง”
“ตอนแรกครอบครัวไม่ได้เห็นดีเห็นงามเรื่องฉันกับแม่แก จื่อเซวียน ปู่แกเสียตั้งแต่ฉันยังเด็กแล้ว หลังจากที่ย่าแกแต่งงานใหม่ก็ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับฉันอีก ฉันกับน้องชายหรือก็คืออารองของแกเติบโตขึ้นมาจากการขอทาน”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็เงียบ เขาไม่เคยรู้ความเป็นมาของพ่อมาก่อน ได้ยินเรื่องพวกนี้ ก็รู้สึกปวดแปลบเล็กน้อยอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“จนพวกเราเติบโต เนื่องจากไม่ได้รับการศึกษาอะไรก็ต้องทำงานรับจ้างใช้แรงงาน ทั้งขึ้นเตียงขัดตัว ล้างจาน ทำงานแบกหาม อะไรก็เคยทำมาหมด แล้วก็มีโอกาสบังเอิญได้ทำงานเป็นพนักงานอยู่ในร้านอาหารตะวันตกร้านหนึ่ง ก็คือที่ที่ฉันได้รู้จักกับแม่แก”
“คุณอยากจะอธิบายอะไรกันแน่ คุณจริงใจกับแม่ผมเหรอ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นส่ายหัวด้วยรอยยิ้มจางๆ “ฉันกับแม่แกเป็นรักแรกพบ ไม่นานก็คบกัน ตอนนั้นเงินเดือนฉันทุกเดือนเทียบไม่ได้กับเงินที่เธอใช้ซื้อขนมด้วยซ้ำ ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่ก็เป็นแม่แกที่ช่วยสนับสนุนชีวิตของฉันกับอารองของแก
จากนั้นที่บ้านของเธอที่รู้เรื่องของเราก็คัดค้านจนถึงที่สุด ลูกชาย แกจะต้องคิดไม่ถึงแน่ๆ ว่าบ้านตาของแกเป็นครอบครัวที่มีฐานะดี พวกเขาจะอนุญาตให้ลูกสาวของตัวเองแต่งกับเด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าได้ยังไง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ผมรู้ สมัยนั้นไม่ได้มีความรักที่อิสระอะไร”
“ถูกต้อง แต่แม่แกไม่สนเสียงของพวกเขาที่คัดค้านไม่ให้คบกับฉัน พวกเราย้ายบ้านมาแต่งงานเพื่อหลบเลี่ยงตาของแก พอมีพี่สาวแก ก็ได้เริ่มต้นครอบครัวเล็กๆ ของพวกเรา ถึงจะขมขื่นไปบ้าง แต่ก็…มีความสุขจริงๆ”
พูดถึงตรงนี้ น้ำตาของซ่งอวิ๋นฮั่นก็ร่วงผล็อยลงมาทันที กระทั่งห้ามเสียงร้องไห้ที่ออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ
ยี่สิบปีถัดมาพอระลึกถึงอดีตอีกครั้ง ความสุขเช่นนั้น ในชีวิตนี้ของเขาคงไม่ได้รับมันอีกแล้ว
เห็นพ่อที่อยู่ตรงหน้า ซ่งจื่อเซวียนมีความรู้สึกพูดอะไรไม่ออก กระทั่งรู้สึกวู่วามยอมรับคำขอโทษจากเขาด้วยซ้ำ ทว่า…เขาทำไม่ได้จริงๆ
ซ่งอวิ๋นฮั่นเช็ดน้ำตาพลางค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพจิตใจ สูดลมหายใจลึกแล้วพูดว่า “ตอนนั้น..เป็นตอนที่ฉันมีความสุขที่สุดในชีวิตนี้จริงๆ ถัดมาก็มีแกอีก ลูกชายแกรู้ไหม ถึงจะจนมาก แต่ความรู้สึกอย่างการมีภรรยาที่มีคุณธรรม มีทั้งลูกสาวลูกชาย ฉันก็คิดว่าชีวิตนี้ไม่ได้มีความต้องการอย่างอื่นแล้ว”
“คุณซ่ง แต่นี่ไม่เข้ากับการกระทำของคุณเลยนะ คุณมีความสุขขนาดนั้นแต่คุณกลับทิ้งพวกเขา…”
ซ่งอวิ๋นฮั่นสูดลมหายใจลึก “แต่หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป…”
………………………………………..