เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 101 อาการป่วยระยะสุดท้าย
ตอนที่ 101 อาการป่วยระยะสุดท้าย
เห็นว่ารถเก๋งคันนี้จอดกะทันหัน ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยก็ตกใจ อย่างไรตอนที่เพิ่งสตาร์ท รถคันนี้ก็เร่งเครื่องเร็วสุดๆ ตอนจะเลี้ยวจะกลับรถก็ไม่ได้ลดความเร็วลง แทบจะเหยียบเบรกต่อหน้าทั้งสามคนอย่างแรง บนพื้นปรากฏรอยล้อสองรอยลากยาวออกมา ความเร็วแบบนี้ชวนให้รู้สึกถึงอันตรายได้อย่างง่ายดาย
แต่มีแค่ซ่งจื่อเซวียนที่ยังคงนิ่งสงบเหมือนเคย ไม่ใช่แค่นิ่งสงบ ท่าทางของเขายังปรากฏความเหนื่อยหน่ายเอือมระอาออกมาด้วย
รถจอดเรียบร้อยแล้ว ประตูรถฝั่งคนขับก็เปิดออก ชายคนหนึ่งอายุประมาณหกสิบปีเดินลงมา ชายคนนั้นผมสั้นสีขาวทั้งหัว สูทสุภาพเป็นระเบียบ ขณะที่เดินเหมือนมาพร้อมกับลม ไม่นานก็เดินมาอยู่เบื้องหน้าซ่งจื่อเซวียน
“ไม่ใช่บอกไปแล้วเหรอว่าพวกเราไม่ต้องเจอกันอีก” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ
ชายคนนั้นได้ยินสีหน้าก็แฝงความกระอักกระอ่วน เขาก้มหน้าลงและพยักหน้าสองครั้ง “ผมรู้ครับ แต่ว่า…คุณซ่งอยากเจอคุณ”
“คุณซ่ง?” ซางเทียนซั่วชะงักแล้วมองซ่งจื่อเซวียน “อาจารย์ไม่ใช่คุณซ่งงั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจเขา พูดว่า “ไม่จำเป็น คุณกลับไปเถอะ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็จะเดินจากไป ชายคนนั้นจึงรีบพูด “จื่อเซวียน…”
ซ่งจื่อเซวียนหยุดฝีเท้าอัตโนมัติ การเรียกและน้ำเสียงแบบนี้เขาได้ฟังมาบ่อยแล้ว โดยเฉพาะตอนยังเด็ก ชายคนนี้มักจะปรากฏตัวหลังจากที่เขาเลิกเรียน ให้พวกของใช้และของอร่อยกับเขา
ซ่งจื่อเซวียนตอนนั้นดีใจมาก และเขาก็จำได้ว่าผู้ชายในตอนนั้นยังผมดำอยู่
จนหลังจากนั้น ซ่งจื่อเซวียนที่ค่อยๆ รู้เรื่องก็เริ่มปฏิเสธเขา จากนั้นก็เอือมระอาและเดินหลบ จนตอนนี้…นับว่าชินชาแล้ว
“จื่อเซวียน คุณซ่งเขา…สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง อืม ไม่แข็งแรงมากๆ ผมหวังว่าคุณจะไปเจอเขาสักหน่อย”
ซ่งจื่อเซวียนหันหลังให้ชายคนนั้น แค่นหัวเราะ “ร่างกายไม่แข็งแรงเหรอ ตอนที่แม่ผมไม่สบายก็ไม่เห็นเขาจะมาเจอแม่ผมเลย ตอนนี้ก็สมควรแล้วนี่”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ก้าวต่อไปข้างหน้า ชายคนนั้นเห็นก็ถอนหายใจอย่างร้อนรน ขึ้นรถแล้วสตาร์ททันที ขับตามซ่งจื่อเซวียนไป เขาลดกระจกฝั่งที่นั่งข้างคนขับลง พูดออกมายังด้านนอก “จื่อเซวียน เกรงว่าคุณซ่งจะไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่ไปเจอ…ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกไหม”
พูดถึงตอนสุดท้าย เสียงของชายคนนั้นพลันสะอึกสะอื้นขึ้นมา และซ่งจื่อเซวียน..ก็หยุดฝีเท้าอีกครั้ง
เขาค่อยๆ หันหน้าไปมองชายคนนั้น ถึงผ่านมานานปีในใจจะเกลียดคนคนนั้นมาตลอด แต่พอได้ยินข่าวคราว กลับควบคุมความเศร้าของตนเองไม่ได้เลย กระทั่ง….
เจ็บปวด
ที่จริงในใจของซ่งจื่อเซวียน ถ้าคนคนนั้นตายไปจริงๆ ก็เป็นกรรมตอบสนองอย่างสมบูรณ์ ต่อให้เขาจะไม่โห่ร้องดีใจ ก็ไม่มีทางไปร้องไห้ให้อีกฝ่าย กระทั่งแม้แต่รู้สึกเสียใจก็ไม่มีเลยสักนิด
แต่เมื่อได้ยินข่าวนี้จริงๆ เขากลับรู้สึกสับสนเล็กน้อย บางทีเป็นอาจเพราะจิตใจที่ดีงามตามสัญชาตญาณมนุษย์ หรือบางทีเลือดอาจจะข้นกว่าน้ำ
“เขาอยู่ที่ไหน”
“หลายวันมานี้อยู่ที่โรงแรมข่ายอ้อตรงอ่าวชิงหลง ช่วงนี้คุณซ่งไม่ค่อยอยากเจอคนนอกเท่าไรครับ” ชายคนนั้นตอบ
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจลึก “เทียนซั่ว นายกับรุ่ยจื่อกลับไปก่อน ฉันมีธุระนิดหน่อย…”
จากคำพูดนี้ ทั้งสองก็ฟังความนัยออก ซางเทียนซั่วพยักหน้า ตบเข้าที่บ่าซ่งจื่อเซวียน “อาจารย์ เสียใจด้วยนะ…”
ฟางรุ่ยได้ยินก็เตะตัดขาซางเทียนซั่วหนึ่งที ซางเทียนซั่วไม่ทันระวังจึงคุกเข่าลงไปกับพื้นทันที
“แกแม่งเป็นบ้าหรือไงวะ เตะฉันทำไม”
“สมน้ำหน้า ใครใช้ให้แกปากเสียเล่า คนเขาไม่ได้ตาย เสียใจด้วยนะอะไร”
ฟางรุ่ยเพิ่งพูดจบ ก็รู้สึกตัวว่าพูดผิดไป รีบเอ่ย “นายท่านรอง ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น…”
ซ่งจื่อเซวียนรำคาญแล้วจริงๆ โบกมือเบาๆ “ไปเถอะ”
พูดจบ เขาก็เข้าไปนั่งตรงเบาะแถวหลังของรถ รถสตาร์ทเครื่องและหายไปจากถนน…
“เฮ้อ อาจารย์ของฉันน่าสงสารจริง พ่อก็จะตายแล้ว ฉันเดาว่าตอนพ่อฉันตาย ฉันคงร้องไห้หนักแน่” ซางเทียนซั่วส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ
ฟางรุ่ยก็มึนงง เจ้าหมอนี่เวลาพูดเหมือนไม่มีสมอง เขาพูดว่า “แกนี่ก็พูดแปลกๆ ไม่ใช่พูดถึงเรื่องพ่อคนอื่นเขาก็เอาพ่อของตัวเองมาพูด”
“เฮ้ย รุ่ยจื่อ แกว่าฉันเดาถูกไหม คุณซ่งนั่นน่าจะเป็นพ่อของอาจารย์ฉัน หรือก็คือปู่ของฉัน ปัดโธ่ ปู่ของฉันจะเสียแล้ว ฉันต้องไปด้วยไหมเนี่ย ไม่งั้นตามหลักก็ไม่เคยไปหาเลยน่ะสิ”
ฟางรุ่ยพูดพลางเร่งฝีเท้า เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเสวนากับเขาแล้ว
แต่ซางเทียนซั่วกลับไล่ตามมา “ที่พูดก็ไม่ผิด แต่จะสับสนรุ่นไม่ได้นะ แต่ฉันก็คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเดิมบ้านอาจารย์ของฉันจะรวยขนาดนี้”
“ทำไมถึงว่ารวยล่ะ แกรู้จักเหรอ”
“แกไม่เคยได้ยินมาก่อนเหรอ อยู่ที่ข่ายอ้อเลยนะ นั่นเป็นโรงแรมห้าดาวเก่าแก่เชียว อีกทั้งยังเป็นข่ายอ้อตรงอ่าวชิงหลงอีก คืนหนึ่งตั้งหลายพัน…ให้ตายเถอะ ที่อาจารย์ฉันอยู่บ้านชั้นเดียวที่แท้ก็ไม่อยากเป็นจุดสนใจนี่เอง”
ฟางรุ่ยส่ายหัวอย่างจนใจ “แต่ละครอบครัวล้วนมีปัญหาที่คนนอกยากจะเข้าใจ แกก็อย่าเดาไปส่งๆ บางทีนายท่านรองอาจจะมีเรื่องราวหรือความลำบากของตัวเอง ฉันจะเตือนแกนะว่าพรุ่งนี้เจอนายท่านรองอย่าพูดซี้ซั้ว”
“ฉันรู้น่า จะไม่รู้ได้ยังไงว่าพูดเรื่องป่วยกับตายไม่ได้เด็ดขาดน่ะ คนก็ต่างแสวงหาความเป็นมงคลทั้งนั้น…”
พรืด…ฟางรุ่ยกลอกตา เรื่องนี้เกี่ยวยังไงกับความเป็นมงคลกัน
……
ระหว่างทาง ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไร นั่งอยู่ด้านหน้าขับรถไปเงียบๆ แต่ก็ยังเห็นท่าทางปาดน้ำตาของเขาเป็นบางครั้งบางคราวจากที่นั่งด้านหลัง
ด้านซ่งจื่อเซวียนก็นั่งพิงกับประตู มองวิวทิวทัศน์ด้านนอกตลอดทาง แต่กลับไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชม
ตอนนี้เขาพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าเจ็บปวดหรือดีใจ ทั้งยังไม่มีอาการกระวนกระวายและสับสน รู้สึกแค่ว่าสมองว่างเปล่า ไม่คิดอะไร และคิดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย เหมือนจะตื่นตกใจแบบนี้มาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว
จนรถขับมาถึงอ่าวชิงหลง ซ่งจื่อเซวียนถึงถอนหายใจออกมา ที่จริงแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อนก็มาที่นี่ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะต้องมาด้วยเหตุผลนี้
หลังจากเข้ามาในประตูหินขนาดใหญ่ของอ่าวชิงหลง รถก็ขับไปอีกสิบกว่านาที ในที่สุดก็จอดอยู่ที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง
ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ซ่งจื่อเซวียนไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมความหรูหราโอ่อ่าของโรงแรมนี้ แต่ลงจากรถมายังยืนงุนงงอยู่ที่เดิม จนชายคนนั้นเดินมาพาเขาเข้าไปในลิฟต์
ลิฟต์หยุดที่ชั้นยี่สิบสอง ทั้งสองเดินไปตามโถงทางเดินจนถึงประตูบานคู่ที่อยู่ลึกที่สุด ชายคนนั้นหยิบการ์ดใบหนึ่งออกมารูด ประตูก็เปิด
ในห้องไม่ได้เปิดไฟ มืดไปหมด สิ่งแรกที่ซ่งจื่อเซวียนคิดก็คืออีกฝ่ายน่าจะพักผ่อนไปแล้ว
แต่เดินไปอีกสองก้าว กลับเห็นด้านหนึ่งมีแสงสว่าง เหมือนว่าไฟจะยังเปิดอยู่
“คุณซ่งเขาชอบความเงียบน่ะ เขาบอกว่ามีแค่ตอนที่ปิดไฟ ถึงจะเงียบสงบอย่างสมบูรณ์ ต่อให้นอกหน้าต่างจะมีเสียงดังหลากหลายรูปแบบก็ทำลายความสงบนี้ไม่ได้”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ที่จริงแล้วเขาก็เป็นเหมือนกัน ไม่ว่าจะที่ไหน ต้องปิดไฟนอนถึงจะหลับสนิทดี ถ้ามีไฟแค่นิดเดียวเขาก็นอนไม่หลับแล้ว
ชายคนนั้นเปิดไฟในห้องโถงใหญ่ ซ่งจื่อเซวียนถึงสังเกตเห็นว่าห้องนี้ใหญ่โตมาก ไม่เพียงแค่มีโถงรับแขก ยังมีโถงน้ำชาและพื้นที่ทำงานด้วย ทั้งสองด้านมีทางเดิน ทุกทางเดินมีสามสี่ห้อง
ซ่งจื่อเซวียนไม่มีอารมณ์มาเดาว่าห้องนี้ราคาเป็นอย่างไร เขาเดินตามชายคนนั้นไปตามทางเดินและหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง
ชายคนนั้นเคาะประตูสองสามครั้ง “คุณซ่ง จื่อเซวียนมาแล้วครับ”
ได้ยินดังนั้น ด้านในก็มีเสียงไอดังอย่างรุนแรงออกมา ตามด้วยเสียงคนในห้องพูดว่า “ให้เขาเข้ามา เจิ้งอวี่ นายออกไปก่อนเถอะ”
“ครับ คุณซ่ง”
จากนั้น เจิ้งอวี่ก็เปิดประตูให้ซ่งจื่อเซวียนเข้าไป พอปิดประตูเรียบร้อยก็จากไปทันที
ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปในห้อง พบว่าห้องนี้ใหญ่มากเช่นกัน โดยมีห้องอยู่ด้านนอกและด้านในอีกห้องหนึ่ง
ห้องด้านนอกมีโต๊ะคอมพ์ เก้าอี้คอมพ์และโต๊ะน้ำชาตัวหนึ่ง บนโต๊ะน้ำชามีป้านชาสีม่วงวางอยู่ ตรงปากป้านชายังมีควันลอยคลุ้ง และจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะก็ยังส่องสว่างอยู่ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งถูกใช้งานไป
ตอนนี้เอง ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องด้านใน ชายคนนั้นดูแล้วอายุสี่สิบห้าสิบปี สวมใส่เสื้อผ้าสบายมากอย่างเห็นได้ชัด ไม่ติดกระดุมถัก ผมแสกเป็นสองข้างอย่างเรียบร้อย และใบหน้าที่อยู่ในช่วงวัยกลางคนนับว่าดูดีสุดๆ
พ่อแท้ๆ ของซ่งจื่อเซวียนและซ่งอีหนาน ซ่งอวิ๋นฮั่น!
เห็นซ่งอวิ๋นฮั่นในตอนนี้ดูคล่องแคล่วว่องไว แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น ใบหน้าซีดขาว เบ้าตาดำคล้ำและริมฝีปากสีม่วงเข้มล้วนบ่งบอกถึงความอ่อนแอของร่างกายเขา
“มาแล้วเหรอ”
คำง่ายๆ กลายเป็นคำพูดแรกในการพบกันของสองพ่อลูก
อีกแง่หนึ่ง นี่คือครั้งแรกที่ซ่งจื่อเซวียนได้พบกับพ่อของตนเองตั้งแต่จำความได้ในชีวิตนี้
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร มองซ่งอวิ๋นฮั่น เขารู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกบางอย่าง สนิทสนม กังวล หวาดกลัว…
บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกที่ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกอย่างนี้ ถึงจะเผชิญหน้ากับการคุกคามของเสี่ยเฉิงปาและเสี่ยเคอซาน เขาก็ไม่เคยกังวลมาก่อน
“นั่งสิ มา มานั่งนี่ ฉันรินชาให้”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดพลางหยิบถ้วยชาสองใบมาจากบนตู้ข้างๆ ก่อนจะรินชาให้
“ฉันรู้ว่าแกชอบดื่มชา ลองชิมดูสิ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ยกถ้วยชาขึ้นจิบ แต่สภาพจิตใจตอนนี้เขามียังกะจิตกะใจชิมรสชาติที่ไหนกัน เพียงแตะๆ ปากก็วางลง
“ตั้งแต่ทำอาหารมาเป็นยังไงบ้าง ราบรื่นดีไหม”
ขณะที่ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดก็เหมือนกับกำลังถามลูกที่เพิ่งเลิกเรียนกลับมาบ้าน เรื่องสัพเพเหระ เป็นจังหวะเป็นขั้นเป็นตอน
มองซ่งอวิ๋นฮั่นอยู่นาน ในที่สุดซ่งจื่อเซวียนก็เปิดปาก “พอได้”
ได้ยินดังนั้น ซ่งอวิ๋นฮั่นก็ปกปิดความตื่นเต้นในใจเอาไว้ไม่อยู่ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ลูกชายพูดกับตนเอง ความรู้สึกดีใจและพอใจที่แม้แต่ความสำเร็จในหน้าที่การงานใดๆ ก็ยังเทียบไม่ติด
“อย่างนั้นก็ดี อย่างนั้นก็ดีแล้ว” ซ่งอวิ๋นฮั่นสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งเพื่อปรับลมหายใจ ทำให้ขณะที่ตนเองพูดมีเสียงเหมือนจะร้องไห้อีก “จื่อเซวียน แกโตแล้ว แถมยังหล่อมากด้วย”
“งั้นเหรอ ขอบคุณ” ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกได้ว่าขณะที่ตนเองพูดหัวใจเต้นตึกตัก เหมือนหัวใจจะกระโดดออกมา
“แม่กับพี่สาวแก…เป็นไงบ้าง” ซ่งอวิ๋นฮั่นถามพลางก้มหน้าลง สำหรับเรื่องนี้เขารู้สึกผิดอยู่เสมอ
“คุณน่าจะไปดูเองตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องถามผมเลยนี่” ซ่งจื่อเซวียนเงยหน้าพูด จู่ๆ เขาก็ไม่กังวลแล้ว เหตุผลง่ายมาก ตอนนี้เขาต้องพูดเพื่อแม่ ตั้งแต่เล็กจนโตในใจของเขา แม่ก็คือท้องฟ้า!
ซ่งอวิ๋นฮั่นได้ยินก็พยักหน้าเบาๆ ขณะคิดจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ ก็ไออย่างรุนแรง พร้อมกับมีเลือดออกมาด้วย…
……………………………………….