เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 1 สูตรอาหารที่มีคราบสีเหลือง
ตอนที่ 1 สูตรอาหารที่มีคราบสีเหลือง
“ก่อนหน้ามาเสียนหยางเพื่อเป็นอ๋อง หลังมาเสียนหยางสนับสนุนปกป้องกฎราชสำนัก!”[1]
วิทยุตัวเก่าเล่นงิ้วเรื่อง ‘เซียวเหอไล่หานซิ่นใต้จันทรา’ ท่อนหนึ่งด้วยเสียงอู้อี้
ชายชราที่ผมขาวโพลนไปทั้งหัว สวมเสื้อยืดแนวนิยมของเหล่าผู้เฒ่า ตอนนี้กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตั่ง คลอนหัวเบาๆ การฟังงิ้วสำหรับคนรุ่นราวคราวนี้ก็เหมือนเป็นสิ่งบันเทิงใจที่สุด
“ปู่ วิทยุของปู่เครื่องนี้เปลี่ยนได้แล้วมั้ง”
ซ่งจื่อเซวียนเก็บตะเกียบบนโต๊ะพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ
ชายชราค่อยๆ ลืมตากวาดมองเขาไปทีหนึ่ง ไม่ได้สนใจ หลับตาโคลงหัวเบาๆ ฟังงิ้วต่อ
ซ่งจื่อเซวียนก็คลี่ยิ้มบาง ไม่ได้พูดอะไร
เขามักจะมาปัดกวาดเช็ดถูที่บ้านของชายชราอยู่บ่อยๆ ชายชรามีชื่อว่าฟางจิ่งจือ ชาวปักกิ่ง เป็นชายชราที่ไม่มีลูก ตั้งแต่เด็กๆ ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่เคยเห็นภรรยาของเขา ได้ยินแค่เพียงว่าเสียชีวิตตั้งแต่ยังสาว ชายชราก็ไม่ได้หาภรรยาใหม่
จะว่าไปฟางจิ่งจือก็ประหลาด มักจะพูดว่าบรรพบุรุษของตัวเองเป็นบ่าวในราชวงศ์ชิง คุณปู่ยังเคยเป็นหัวหน้าพ่อครัวในห้องเครื่อง แม้ว่าพูดไปจะไม่มีคนเชื่อ แต่ชายชราก็อายุแปดสิบกว่าแล้ว ตามละแวกบ้านก็ไม่มีใครคิดเป็นจริงเป็นจังกับเขาจึงปล่อยเลยตามเลยไปอย่างนั้น
เก็บกวาดเสร็จ ซ่งจื่อเซวียนพับโต๊ะพิงกับกำแพง และเมียงมองตู้หนังสือข้างๆ หนังสือในกรุของฟางจิ่งจือ ซ่งจื่อเซวียนน่าจะเคยอ่านมาหมดแล้ว ล้วนเป็นพวกหนังสือประวัติศาสตร์ที่ไม่มีวางขายในตลาด และไม่รู้ว่าเป็นประวัติศาสตร์จริงๆ หรือเรื่องเล่า สรุปแล้วก็ค่อนข้างน่าสนใจ
หนังสือเหล่านี้มีอายุอยู่บ้าง กระทั่งบางเล่มยังจัดตัวอักษรเป็นแนวตั้งเสียด้วยซ้ำ ซ่งจื่อเซวียนก็เป็นคนมีระเบียบมาก อ่านเสร็จยังจัดเก็บเข้าตู้ให้ชายชราที่เดิม ดังนั้นในบ้านของฟางจิ่งจือจึงถือว่าเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอ
ตอนจะออกไป จู่ๆ สายตาของซ่งจื่อเซวียนก็ไปหยุดอยู่ตรงหนังสือที่มีคราบเหลืองเล่มหนึ่งในตู้ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย หนังสือเล่มนี้…เหมือนจะไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
หนังสือบางมาก เสียบอยู่ระหว่างหนังสือสองเล่ม เพราะคราบเหลืองบนหนังสือสีเข้มมาก มองเห็นแค่ด้านข้างก็ชัดเจนมากว่าเล่มนี้น่าจะเก่ายิ่งกว่าหนังสือมีอายุเล่มอื่นของฟางจิ่งจือ
เพราะแวะเวียนมาบ่อย ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้เกรงใจ ยื่นมือไปหยิบหนังสือเล่มนั้นลงมา อาจจะเพราะเก่ามาก หนังสือเล่มนี้จึงไม่มีหน้าปกแล้ว เนื้อกระดาษเปราะบาง ด้านหน้างอจนกลายเป็นรอยคลื่น แต่เพราะมีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ่งฉงนสนเท่ เปิดอ่านอย่างระมัดระวัง
ฟางจิ่งจือสังเกตเห็นท่าทางของซ่งจื่อเซวียน ก็เคร่งขรึมขึ้นมา “เด็กขี้ขโมย วางหนังสือฉันลงนะ!”
“เฮอะ ดูท่าทางหงุดหงิดของปู่สิ วันๆ ผมซื้อเหล้าเก็บกวาดห้องหับให้ ผมยังอ่านไม่ได้อีกเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
สีหน้าฟางจิ่งจือยังคงเคร่งขรึมดังเดิม “ฉันสั่งให้แกวางลงซะ!”
น้ำเสียงครั้งนี้จริงจังอย่างชัดเจน แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับไม่สนใจ อย่างไร…เขากับชายชราคนนี้ก็สนิทสนมกันมาก ว่ากันตามจริงความรู้สึกก็ไม่ต่างอะไรจากปู่แท้ๆ จึงไม่สนใจดังเดิม พลิกหน้าหนังสืออ่านต่อไป
“ปู่ นี่มัน…สูตรอาหารนี่”
ได้ยินประโยคนี้ จู่ๆ สีหน้าฟางจิ่งจือก็เปลี่ยนเป็นตะลีตะลาน น้ำเสียงจากที่กำลังเคร่งขรึมแปรเปลี่ยนเป็นตกใจ “แก แกพูดว่าอะไรนะ แกมองออกว่านี่เป็นหนังสือสูตรอาหารงั้นเหรอ”
“ปู่พูดอย่างนี้ได้ไง ทุกวันนี้ผมทำงานอยู่ในร้านอาหารชุนเซียง ผมยังจะไม่รู้จักสูตรอาหารอีกเหรอ”
ฟางจิ่งจือค่อยๆ หรี่ตาสองข้างลง ลอบสังเกตซ่งจื่อเซวียนอีกรอบ ดูเหมือน…สิบกว่าปีก่อนจะรู้จักอย่างผิวเผินไปเสียแล้ว วันนี้ถึงนับได้ว่าได้รู้จักเจ้าเด็กนี่ใหม่อีกรอบ
วิทยุเครื่องเก่ายังคงเล่นงิ้วสิ่งเสียงรบกวนไปทั่วห้อง แต่ฟางจิ่งจือกลับเหมือนเป็นใบ้ไปแล้ว ไม่พูดอะไรออกมาสักประโยค จ้องมองซ่งจื่อเซวียนอยู่อย่างนั้น และอีกฝ่ายก็เหมือนกัน จดจ่ออยู่กับหนังสือไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ซ่งจื่อเซวียนกลับสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง “หนังสือเล่มนี้แปลกดีแฮะ เหมือนจะเป็นสูตรอาหาร แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร” ฟางจิ่งจือเอ่ยถามอย่างประหม่า
“บอกไม่ถูก ปู่ หนังสือเล่มนี้ชื่อว่าอะไรเหรอ ทำไมแม้แต่หน้าปกก็ไม่มีแล้ว”
ฟางจิ่งจือได้ยินดังนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง “หนังสือเล่มนี้…จะว่าไปก็อายุสามร้อยกว่าปีแล้ว ไหนเลยจะรักษาหน้าปกเอาไว้ได้ ยังดีที่เนื้อกระดาษดี เก็บรักษาไว้อย่างดี ไม่อย่างนั้นหนังสือคงเป็นผุยผงไปแล้ว”
“สามร้อยปีงั้นเหรอ ปู่ ไม่ใช่ว่าปู่จะพูดว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่บรรพบุรุษของปู่ที่ทำงานในวังสมัยราชวงศ์ชิงทิ้งเอาไว้อีกแล้วหรอกนะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ฟางจิ่งจือชำเลืองมองเขารอบหนึ่ง “ไอ้หนู เด็กข้างนอกพวกนั้นไม่เชื่อฉัน แกก็ไม่เชื่อฉันเรอะ”
“ถุย! แต่เดิมมันก็เป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ฉันที่เป็นปู่แกจะหลอกได้ด้วยเหรอ” ฟางจิ่งจือกล่าวอย่างเคืองๆ
“เอาเถอะ ผมไม่พูดแล้ว ก็รู้อยู่ถ้าพูดไม่เข้าหูหน่อยปู่ก็เปิดปากด่า” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางยักไหล่
ฟางจิ่งจือค่อยๆ เอนกายพิงตั่ง ยกเอ้อร์กัวโถว[2]ขวดใสขึ้นดื่มหนึ่งอึก “พูดมาสิไอ้หนู ได้อะไรจากหนังสือเล่มนี้บ้าง”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างครุ่นคิด “อืม…ปู่ หนังสือเล่มนี้มั่วซั่วไปหน่อย ด้านหน้าเขียนวิธีทำอาหาร แต่เขียนไปเขียนมาก็เปลี่ยนเป็นฝึกกำลังภายในเสียอย่างนั้น ผิดพลาดตอนเข้าเล่มหรือเปล่า”
ได้ยินคำพูดของซ่งจื่อเซวียน ในใจฟางจิ่งจือก็ตื่นเต้นอีกครั้ง เขาอ่านหนังสือเล่มนี้เข้าใจจริงๆ หรือ
ซ่งจื่อเซวียนชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เล็ก โดยเฉพาะหนังสือประวัติศาสตร์ของฟางจิ่งจือที่ส่วนใหญ่เป็นคำโบราณ ดังนั้นอ่านหนังสือโบราณออกก็ไม่แปลกแต่อย่างใด แต่หนังสือเล่มนี้…แม้แต่ตัวฟางจิ่งจือในตอนแรกก็ต้องมีผู้อาวุโสคอยชี้แนะและอธิบายถึงจะอ่านเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร พรสวรรค์ของเจ้าเด็กนี่ชวนให้รู้สึกเหลือเชื่ออยู่เสมอ
“เหอะๆ แกอยากเป็นพ่อครัวเรอะ”
“อยากสิ ต้องอยากเป็นอยู่แล้ว!” ซ่งจื่อเซวียนพูดออกมาอย่างกระตือรือร้นฉับพลัน
ฐานะทางบ้านของซ่งจื่อเซวียนไม่ค่อยดี ขึ้นมัธยมต้นได้ปีกว่าก็ลาออกแล้ว จากนั้นก็ทำงานครัวที่ร้านอาหารชุนเซียงหน้าปากซอย สำหรับเขาแล้วถ้าเป็นพ่อครัวได้ ชีวิตในวันข้างหน้าก็มั่นคงแล้ว
เหมือนฟางจิ่งจือก็คิดเอาไว้แล้วว่าซ่งจื่อเซวียนจะตอบออกมาอย่างนี้ จึงยิ้มอย่างได้ใจ “เอาสิ อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อไป ฉันรับประกันเลยว่าแกจะเป็นพ่อครัวได้”
“จริงเหรอ จะให้หนังสือเล่มนี้กับผมเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างตื่นเต้น แค่เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ก็ทำให้เขาติดงอมแงมแล้ว
“แต่ว่า…”
“แต่ว่า?” ซ่งจื่อเซวียนสงสัย เขารู้อยู่แก่ใจว่าแม้ชายชราจะอายุมากแล้ว แต่ก็มักจะขี้เล่น อีกประเดี๋ยวจะต้องอุบอิบความคิดไม่ดีอะไรแน่ๆ
“หนังสือเล่มนี้อ่านได้แค่ที่นี่เท่านั้น และทุกครั้งที่แกมา จะต้องเอาเหล้ามาให้ฉันด้วยขวดหนึ่ง!” ฟางจิ่งจือพูดพลางปิดวิทยุโบราณไปด้วย เห็นได้ชัดว่าเตรียมเจรจาต่อรองแล้ว
“อะไรนะ” ซ่งจื่อเซวียนชะงัก เขารู้อยู่แล้วว่าชายชราชอบดื่มสุราเป็นชีวิตจิตใจ แต่พวกเขาตกลงกันไว้แล้วเช่นกันว่าสามวันหนึ่งขวด ถึงอย่างไรก็อายุแปดสิบกว่าแล้ว ดื่มสุรามากขนาดนั้นไม่ไหว ใครจะไปรู้ว่าตาแก่ที่ทำตัวเป็นเด็กคนนี้จะยกเรื่องสุรามาแลกเปลี่ยน
“ไม่ได้ ปู่ เราตกลงกันแล้วนี่ว่าสามวันหนึ่งขวดน่ะ!”
“ก็ได้ ในเมื่อแกไม่ตกลง งั้นก็ช่างมันแล้วกัน วางหนังสือปู่แกลง แล้วแกก็ไปเถอะ”
พูดจบ ฟางจิ่งจือนอนลงและพลิกตัวหันหลังไป เห็นได้ชัดว่ามั่นใจในตัวซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจลึก ในใจก็คิดว่าต่อให้ไม่ได้เป็นพ่อครัวแล้วก็ตามใจตาแก่ที่ทำตัวเป็นเด็กคนนี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรปู่ก็อายุมากแล้ว สุขภาพสำคัญที่สุด ถ้าปล่อยตามอำเภอใจไปอย่างนี้จะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ
“ก็ได้ งั้นถือว่าผมกับหนังสือเล่มนี้ไม่มีชะตาต่อกันแล้ว ปู่พักผ่อนเถอะ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็วางหนังสือลงจากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก แต่ว่าฟางจิ่งจือหมุนตัวกลับมาทันที “ไอ้หนู คุยกันหน่อย”
ซ่งจื่อเซวียนอดทนไม่ให้ดีใจออกนอกหน้า “ไม่ต้องคุยกันหรอก ผมไม่อยากเป็นพ่อครัวแล้วทำให้ปู่กินเหล้าจนตาย”
“สองวันหนึ่งขวดได้ไหม”
“ปู่อย่าต่อรอง ผมไม่อ่านแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่!” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางก้าวเท้าออกไปนอกประตู
“อย่างนั้นเปลี่ยนเป็นยี่ห้อขวดละสิบห้าหยวนโอเคไหม” ฟางจิ่งจือต่อรองอีกครั้ง
ซ่งจื่อเซวียนพอใจกับข้อตกลงนี้ หมุนตัวย่อคำนับเข่าเดียวอย่างมารยาทของราชวงศ์ซ่ง พูดว่า “ก็ได้ขอรับ นับแต่นี้ไปพวกเราจะดื่มสิบห้าหยวน!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็จากไป เพราะวันถัดไปเป็นวันเสาร์ ร้านอาหารค่อนข้างยุ่ง ดังนั้นทุกคืนวันศุกร์เขาจึงไปร้านอาหารเพื่อเตรียมการสำหรับงานยุ่งของวันพรุ่งนี้
มองซ่งจื่อเซวียนจากไป ฟางจิ่งจืออดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ “ฮ่าๆ ไอ้เด็กเวร เก่งกว่าปู่เสียจริง!”
ออกจากบ้านชายชรา ซ่งจื่อเซวียนนึกถึงหนังสือสูตรอาหารที่เพิ่งอ่านเมื่อครู่ตลอดทาง ถึงแม้จะอ่านไปได้ไม่กี่หน้า แต่เนื้อหากลับวนเวียนไปมาในสมองของเขาอยู่นานแล้ว
จะว่าไปสูตรอาหารเมนูแรกก็น่าขบขัน เป็นข้าวผัดไข่ และขั้นตอนการทำก็ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด แต่สำหรับซ่งจื่อเซวียน กลับรู้สึกเหมือนอยู่ในหนัง ภาพทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเขา เห็นข้าวผัดจานนั้นก็ชวนให้เคลิบเคลิ้ม
แต่หน้าหลังๆ เหมือนจะเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับการฝึกลมปราณอะไรสักอย่าง กำลังนำเสนออาหารอยู่ดีๆ ทำไมถึงพูดถึงลมปราณเสียอย่างนั้นล่ะ
แม้ว่าจะไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับลมปราณเลย แต่เห็นคำศัพท์พวก ‘ตันเถียน[3]’ ‘ลมปราณ’ ‘นั่งสมาธิ’ ซ่งจื่อเซวียนก็นึกถึงกำลังภายในของประเทศจีนในสมัยก่อนเป็นอย่างแรก
“หรือว่าจะหมายถึงต้องฝึกปราณไปด้วยผัดอาหารไปด้วย” ซงจื่อเซวียนพูดกับตัวเอง แต่ผ่านไปไม่นานก็หัวเราะออกมา ไร้สาระเกินไปแล้ว
เมื่อถึงร้านอาหาร พ่อครัวจางขุยก็หน้าดำพลางพูด “ทำไมมาดึกขนาดนี้ มีงานการรอให้แกทำเยอะแยะนะ!”
“เมื่อกี้เพิ่งไปช่วยปู่ฟางเก็บกวาดบ้านมาครับ!”
ซงจื่อเซวียนพูดพลางเดินเข้าไปหลังครัว แต่ก็ยังฟังคำพูดจากปากของจางขุยต่อ “ทั้งวันไม่ทำงานทำการ สมแล้วที่เป็นได้แค่เด็กในครัว ยังจะไปช่วยตาแก่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันทางสายเลือดอีก สมองมีปัญหารึไง!”
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจ ปกติจางขุยก็ปฏิบัติกับเขาอย่างนี้อยู่แล้ว แค่เปิดปากมาก็ต่อว่าไปเรื่อย บางทีก็พูดไปด่าไป เขาเองก็ชินแล้ว
ถึงแม้เขาจะไม่ชอบจางขุย แต่เด็กในครัวคนไหนจะมีสิทธิ์ไปท้าทายพ่อครัวใหญ่เล่า
ก่นด่าไปอีกสักพัก จางขุยก็พูดขึ้นเสียง “ไอ้หนู ล้างผักเสร็จแล้วก็เอาไปเก็บไว้ในตู้แช่ เนื้อไก่นั่นก็สับให้เป็นชิ้นๆ ฉันจะไปเข้าส้วม!”
“รับทราบ”
ซ่งจื่อเซวียนรู้อยู่แล้วว่าจางขุยแอบไปอู้ โยนงานทั้งหมดให้เขา แต่เขาก็ชินแล้ว บ่นอะไรไม่ได้
เขาตระเตรียมวัตถุดิบทุกอย่างเสร็จ จากนั้นก็เก็บเข้าตู้แช่ ก็จะถือว่าเสร็จเรียบร้อย ขณะคิดจะไปนั่งพักสักครู่ ก็หันไปเห็นชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในร้านอาหาร
ชายวัยกลางคนหน้าตาสุภาพอ่อนโยน ผมแสกข้าง ขมับทั้งสองฝั่งแซมผมขาวเล็กน้อย สวมกางสแล็ค เสื้อโปโลสอดในกางเกงเรียบร้อย ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางดูเป็นมิตรอย่างมาก
เห็นชายวัยกลางคนคนนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็คิดในใจว่าคนคนนี้มีสไตล์เสียจริง แต่เขาไม่ใช่คนแถวนี้อย่างแน่นอน แถวนี้ค่อนข้างเป็นย่านชุมชน เอาตามจริงไม่เคยเห็นคนที่มีบรรยากาศรอบตัวแบบนี้มาก่อน
“เหอะๆ น้องชาย ผัดข้าวให้ฉันสักจานได้ไหม” ชายวัยกลางคนเอ่ยปาก
“ขอโทษด้วยครับ พวกเราปิดร้านแล้ว คุณไปร้านอื่นเถอะ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยตอบอย่างมีมารยาท
ความจริงแล้วก็ไม่ได้ถือว่าปิดร้านหรอก พ่อครัวจางขุยไม่อยู่ก็ไม่มีคนผัดข้าวให้เขา อีกอย่างแต่ไหนแต่ไรจางขุยก็ไม่ให้คนอื่นแตะต้องเครื่องครัวของเขา
“คือ…ฉันเห็นร้านแถวนี้ปิดกันหมดแล้ว นายลอง…”
เห็นท่าทางของชายวัยกลางคน ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่อยากปฏิเสธอยู่บ้าง แต่ต่อให้ทำได้ เขาก็ไม่กล้าแตะต้องเครื่องครัวของจางขุยนะ
ขณะที่กำลังลำบากใจ สมองของเขาก็มีความคิดอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา
“ทำข้าวผัดไข่ให้คุณหนึ่งชามโอเคไหม” ซ่งจื่อเซวียนพูด
……………………………………………….
[1] ก่อนหน้ามาเสียนหยางเพื่อเป็นอ๋อง หลังมาเสียนหยางสนับสนุนปกป้องกฎราชสำนัก (先进咸阳为王上,后到咸阳扶保在朝纲) เป็นคำพูดที่มาจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ ‘史记·高祖本纪’ โดยเล่าเรื่องราวช่วงสงครามระหว่างหลิวปัง ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์แรก (ฮั่นเกาจู่) ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฮั่น และเซียงอวี่
[2] เอ้อร์กัวโถว (二锅头) สุราดั้งเดิมของปักกิ่ง ระดับแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 55 ดีกรี เป็นสุราขาว ความเข้มข้นสูง กลิ่นหอมกลมกล่อม
[3] ตันเถียน (丹田) คือจุดศูนย์กลางของพลังภายในร่างกาย