เวลาผ่านไปอย่างดวงจันทร์ - ตอนที่ 8 นี่กำลังปกป้องเธอ?
เฉินซูอธิบายสร้อยคอให้เขาฟัง เขาก็พูดอย่างกังวล "คุณผู้หญิง จอมอนิเตอร์ก็เล็กขนาดนั้น สร้อยคอก็เล็กมาก บางทีมันอาจจะซ่อนอยู่ในเสื้อผ้า ให้จ้องก็บอกไม่ได้ว่าแขกคนไหนสวมสร้อยที่เธอพูดหรอก"
เขาก็พูดถูก เฉินซู่รู้สึกหงุดหงิดแต่ก็ไม่ยอมแพ้ ไม่รู้ว่าทำไมแต่เธอไม่สามารถลืมเงาของชายที่เข้ามาปกป้องเธอและหลับนอนกับเธอได้เลย
"งั้น LT ล่ะ มีชื่อแขกคนไหนที่เกี่ยวข้องกับชื่อนี้ไหม?" เฉินซู่ถามอีกครั้ง
เหอฮุ้ยหมิงก็พูดขึ้นทันทีว่า "เหลยถิงนี่ก็ LT ไม่ใช่เหรอ?"
"ขาสองข้างชายคนนั้นสมบูรณ์นะ วิ่งได้ กระโดดได้แถมต่อสู้ได้ด้วย เธอคิดว่าเป็นเหลยถิงงั้นเหรอ?" เฉินซู่ปฏิเสธอย่างไม่คิด
เหอฮุ้ยหมิงขดริมฝีปาก "ถือว่าฉันไม่ได้พูดแล้วกัน พวกเธอพูดต่อเลย"
เขามองเฉินซู่ก็คิดไม่ออก "ฉันจะกลับไปหาดู พวกเธอรอฟังข่าวจากฉันแล้วกันนะ"
"ได้เลย คุณต้องช่วยเธอให้ดีที่สุดนะ ให้ซองแดงไปแล้ว รับด้วยล่ะ" เหอฮุ้ยหมิงส่งสายตาให้ เขาก็ไม่ปฏิเสธคำขอของสาวงาม และสัญญาว่าจะพยายามก่อนจะเดินจากไป
เหอฮุ้ยหมิงเห็นว่าเฉินซู่ยังคงไม่มีท่าทีดีใจ เหอฮุ้ยหมิงก็ชนไหล่เธอเบาๆ "ยังไม่สบายใจเหรอ?"
"พูดได้ไม่เต็มปากน่ะ คนตั้งเยอะตั้งแยะ หาคนๆ หนึ่งมันไม่ง่ายเลยนะ ฉันกอดความหวังได้แต่ก็ไม่ได้เยอะหรอก ชีวิตมันโหดร้ายจนมองไม่เห็นต้นตอ เอาเถอะ ฉันน่าจะต้องกลับแล้วล่ะ เดี๋ยวเหลยถิงหาฉันไม่เจอแล้วจะโมโหเอาอีก"
เหอฮุ้ยหมิงรู้สึกห่วงเฉินซู่ กอดเธอสักพักแต่ก็ไม่รู้ว่าจะปลอบเธออย่างไร "รอพ่อฉันเก่งกว่าเหลยถิงก่อนนะ ฉันจะให้พ่อรับเธอเป็นลูกทูนหัว เธอจะได้หลุดพ้นความทุกข์นี่สักที"
"จะง่ายขนาดนั้นได้ไงกัน" เฉินซู่หัวเราะเยาะความไร้เดียงสาของเธอ แต่กลับแสบจมูก นอกจากแม่ของเธอ เหอฮุ้ยหมิงก็เป็นคนที่ดีที่สุดในโลกสำหรับเธอ
อาหารเย็นมื้อเย็นช่างฟุ่มเฟือยมาก เฉินจินซานเองก็พาภรรยาเขา หลี่หรง มาก่อนเวลา เมื่อเฉินซู่ที่เข็นเหลยถิงเข้ามา เฉินหร่านก็ยังไม่โผล่มา
"เหลยถิง ซู่ซู่ พวกเธอมาแล้วเหรอ" เฉินจินซานยิ้มอย่างสง่างาม
เฉินซู่แสดงรอยยิ้มที่ดูน่าสมเพช แสดงละครสินะ งั้นเธอก็ต้องทำเป็นเข้ากับเหลยถิง "พ่อคะ คุณป้า"
ความอับอายปรากฏอยู่ในดวงตาของเฉินจินซาน แต่ไม่ช้าเขาก็เอารอยยิ้มเกินจริงมาปกปิด "รีบนั่งเถอะ คิดเสียว่าเป็นบ้านตัวเองเลยนะ ซู่ซู่ ครั้งที่แล้วเธอกลับบ้าน แม่เธอได้ยินว่าเธอผอมลง ครั้งนี้เลยตั้งใจซื้ออาหารเสริมมาเยอะพิเศษเลย ครั้งนี้ก็เอากลับไปกินนะ"
"ขอบคุณค่ะคุณป้า คราวที่แล้วพ่อยังไม่ได้ทำอาหารให้หนู หนูก็ไปแล้ว เลยไม่ได้ทักทายคุณป้าเลย" เฉินซู่พูดกับหลี่หรง ไม่ว่าใบหน้าของหลี่หรงจะเคืองแค่ไหน เธอก็พูดต่อ "โชคดีที่วันนั้นสามีหนูยุ่ง หนูเลยไม่ได้ให้เขามาด้วย ไม่อย่างนั้นปล่อยให้เขาหิว หนูคงเป็นทุกข์มาก"
พูดไปเฉินซู่ก็หันไปหาเหลยถิงที่ไม่ได้พูดอะไร มือเขาบีบเข้าที่ก้นของเธอ ผู้หญิงคนนี้นี่ ไม่เล่นละครคงเสียเปรียบสินะ
เฉินซู่เกือบจะส่งเสียงด้วยความเจ็บปวด เธอหันไปคว้าแขนเหลยถิงแล้วพูดเบาๆ "คุณทำอะไรน่ะ ฉันพูดจริงทั้งนั้น"
เฉินจินซานมองอย่างงุนงง เขาเคยทักทายเหลยถิง เขารู้ว่าอารมณ์เหลยถิงเป็นอย่างไร เฉินจินซานไม่คิดเลยว่าเขาจะสนิทชิดเชื้อกับเฉินซู่ขนาดนี้? แล้วก็ดู…รักกันดี?
"ครั้งหน้าก็รีบไปรีบกลับ เธอได้กินข้าวฉันก็ไม่ต้องห่วงเเล้วไงล่ะ?" น้ำเสียงเหลยถิงทุ้มนุ่ม เหมาะกับเสียงแหบแห้งของเขา ความปรารถนาที่จะได้รับการคุ้มครองของชายคนนั้นก็พุ่งเข้าใจเธอ
ใบหน้าเธอชะงัก ไม่เคยคิดว่าเขาจะมีด้านแบบนี้
"เป็นความผิดของฉันเอง ฉันไม่รอบคอบ คิดว่าคู่หนุ่มสาวอย่างพวกเธอจะไม่ได้สนใจพิธีการวันกลับบ้านน่ะ" เฉินจินซานหัวเราะ เขาเรียกให้พนักงานเสิร์ฟอาหาร แต่เฉินหร่านแอบส่งข้อความวีแชทให้เธอไป
เดิมทีเขาไม่อยากให้เหลยถิงได้ติดต่อกับเฉินหร่าน เพราะกลัวว่าใจเหลยถิงจะเกิดช่องว่าง หงุดหงิดที่ให้เฉินซู่ไปแต่งแทน ดูจากสถานการณ์ตอนนี้คงไม่มีทางแล้วมั้ง…
ทันทีที่เสิร์ฟอาหาร เฉินหร่านก็มาในชุดเดรสยาวเหมือนผู้หญิงผอมเพรียว ผมสีดำด้านหลังศีรษะ เธอย่นคอแล้วยิ้มอย่างอ่อนหวาน: "ขอโทษนะคะ หนูมาสาย พ่อคะ แม่คะ พี่สาว พี่…เขย"
"หร่านหร่าน มารีบมาเร็ว" เฉินจินซานมองว่าเฉินหร่านเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดเสมอ น่าภาคภูมิใจจนเหนือคำบรรยาย หลี่หรงเองก็เช่นกัน
เฉินหร่านนั่งอยู่ระหว่างพ่อแม่ราวกับเป็นตัวเอกของอาหารมื้อนี้
เหลยถิงเหลือบมองเฉินซู่นิ่งๆ ความขมขื่นและความหนาวเหน็บที่มุมปากของเธอถูกเขามองเห็นอย่างชัดเจน
"คุณเฉิน คนนอกรู้แค่ว่าคุณมีลูกสาวอย่างเฉินหร่านคนเดียว แต่กลับไม่รู้ว่ายังมีเฉินซู่ด้วย นี่คุณล้อผมเล่นงั้นเหรอ?" เหลยถิงเลิกคิ้ว แววตาของเขาไร้แววสั่นไหว ราวกับเป็นช่วงเวลาสงบก่อนจะเกิดพายุ
เฉินจินซานถูกเขาเปิดเผยต่อหน้า จนไม่สามารถกลั้นสีหน้าได้ เป็นแค่จิ้งจอกแก่เเต่พริบตาเดียวก็ยิ้มออกมา "หร่านหร่านยังเด็กน่ะ ซู่ซู่ก็เป็นลูกสาวคนโต นิสัยเธอค่อนข้างนิ่งเงียบ ชอบอ่านหนังสือ ไม่ค่อยออกไปเที่ยวกับเราเท่าไร คนนอกจะไม่รู้เรื่องเธอก็เป็นปกติน่ะ"
เหลยถิงหัวเราะเยาะ "งั้นเหรอ?"
เฉินจินซานรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ระหว่างรอยพับบนหน้าผากของเขาก็เห็นเม็ดเหงื่ออย่างชัดเจน
"พี่เขยคะ พี่ฉันเป็นสมบัติล้ำค่าของพ่อแม่ ขอให้พวกพี่อยู่ด้วยกันนานๆแล้วก็รีบมีลูกนะคะ" เฉินหร่านหยิบแก้วขึ้นมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
เหลยถิงยกนิ้วขึ้นเบาๆ "ไม่เคยมีใครเคยอวยพรฉันแล้วกล้าใช้นมแทนนะ"
เฉินหร่านถือว่าตัวเองอ่อนหวาน ไร้พิษภัยในหมู่ผู้ชาย เธอเขินอายเล็กน้อยเมื่อเหลยถิงใช้น้ำเสียงทื่อๆ ตอกหน้าเธอ "ขอโทษนะคะพี่เขย ฉันคอไม่แข็งเลยเมาง่ายน่ะค่ะ พอเมาก็จะปวดหัวมากจนรู้สึกแย่มากเลยน่ะค่ะ"
"ในเมื่อรู้ ก็ยังจะพยายามอวยพรงั้นเหรอ?"
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินหร่านเจอกับคนที่ไม่โอนอ่อนอย่างเหลยถิง เธอทำได้แค่หันไปทางเฉินซู่ "พี่คะ ฉันอวยพรพี่คงได้ใช่ไหมคะ"
เฉินซู่แอบยิ้ม เธอเห็นสายตาเฉินจินซานที่ส่งมา แต่เธอก็ไม่คิดสนใจ
"ฉันแต่งงานกับสามีแล้ว สามีไม่ดื่ม ฉันจะกล้าดื่มได้ไงล่ะ"
เฉินหร่านอายจนะทำอะไรไม่ถูก เธอเลยเปลี่ยนแก้วและขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "ในเมื่อพี่เขยให้ฉันดื่ม ฉันก็จะยอมแลกชีวิตเพื่อดื่มแล้วกันนะคะ"
ดื่มไวน์สักแก้วแล้วจะตาย? อวดดีเสียจริง
เฉินซู่ส่ายหัวเล็กน้อยและให้เธอแสดงละครต่อไป
เริ่มมื้ออาหารจากการดื่ม เฉินหร่านดื่มไปหนึ่งแก้ว จากนั้นก็ดื่มนมไม่ได้แล้ว ระหว่างอาหารค่ำ เฉินซู่ก็คอยดูแลอาหารของเหลยถิงอยู่ตลอด เหลยถิงไม่ได้ดูอบอุ่นกับเฉินซู่เท่าไร แต่เมื่อเทียบกับท่าทีที่เขามีต่อเฉินหร่านก็นับว่าดีมากแล้ว
"กุ้งไม่ต้องปอกเปลือก เสียเวลา"
เฉินซู่กำลังจะรับช่วงต่อ และเหลยถิงก็จับมือไว้ใต้โต๊ะ
เฉินหร่านยิ้มและพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นฉันช่วยพี่เขยปอกเปลือกนะคะ"
พูดไปเธอก็ปอกเปลือกกุ้งด้วยมือที่เรียวยาว เมื่อเธอส่งกุ้งที่ปอกแล้วให้เหลยถิง เขาก็ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ "ทานอาหารที่มือคนอื่นจับไปแล้ว เธอไม่รังเกียจงั้นเหรอ?"
เฉินหร่านรู้สึกทำตัวไม่ถูกอย่างยิ่ง ถือกุ้งเอาไว้ จะให้ก็ไม่ได้ จะไม่ให้ก็ไม่ได้ เธอสาบานเลยว่าไม่เคยมีใครทำให้เธอได้รับความอับอายขนาดนี้ เหลยถิงเป็นเพียงคนเดียว