เวลาผ่านไปอย่างดวงจันทร์ - ตอนที่ 58 ตกหลุมพรางคนชั่ว
"พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ถ้าเกิดพรุ่งนี้หลบไม่ได้ก็คงต้องไป" เฉินซู่ถอนหายใจ
เหลยหย่าโยนที่มัดผมของเธอลงบนโต๊ะ "น่าเบื่อจริง เรื่องของเธอยังน่าสนใจกว่าบทบัญญัติกฎหมายในหนังสืออีก"
ที่แท้ก็เพราะหนังสือมันน่าเบื่อ เฉินซู่ก็คิดว่าเธอเปลี่ยนนิสัยแล้วเสียอีก
"ไม่อย่างนั้นไปห้องอ่านหนังสือดีกว่าไหม? ไปเตรียมตัวสอบที่นั่น บรรยากาศน่าจะดีขึ้นมาหน่อย"
"ฉันไม่ไปแน่ อ่านหนังสือกับกลุ่มเด็กเนิร์ดในสภาพแวดล้อมยุ่งเหยิงแบบนั้นได้ปวดหัวแน่" เหลยหย่าพูดอย่างรังเกียจ "เฉินซู่ เธออ่านให้ฉันฟังหน่อยสิ"
เฉินซู่ชี้ไปทางประตูและพูดว่า: "เมื่อกี้ตอนที่ฉันมา แม่ให้ฉันไปช่วย แต่ฉันมาหาเธอก่อนเลยยังไม่ทันได้ช่วย ฉันจะไปดูเขาก่อนล่ะ
"เฮ้ เธอนี่นะ…" เหลยหย่ายังไม่ทันพูดจบ เฉินซู่ก็ไปแล้ว "ยัยเฉินซู่นี่ ชักจะกล้ามากขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ เห็นว่าฉันไม่เอาเรื่องเธอไปบอกพี่สินะ! คอยดูเถอะ"
เหลยหย่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา คิดอยู่สักพักก็วางลง ช่างเถอะ จะปล่อยเธอไปก่อนแล้วกัน
เฉินซู่เดินไปหาซินเหม่ยอิงเพื่อหลบภัย "แม่คะ แม่มาทำอะไรที่นี่คะ?"
"นี่คือภาพอักษรที่พ่อเขาเพิ่งซื้อมาน่ะ ลองดูสิ" ซินเหม่ยอิงดูพอใจกับภาพอักษรมาก มองไปก็ยิ้มไป
นี่อาจทำให้เฉินซู่รู้สึกผิด ภาพวาดที่เธอเห็นมาตั้งแต่เด็กน่าจะเป็นฝีมือของโรงเรียนอนุบาลและเพื่อนสมัยม.ปลายที่เอาภาพสเก็ตช์และภาพเขียนสีน้ำมันมาอวดในชั้นเรียน ส่วนอย่างอื่น เธอก็ไม่ได้สังเกตอะไร ถึงมองไปก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก
"เธอชอบไหมจ๊ะ? ถ้าชอบ ฉันจะให้พ่อเขายกให้นะ"
เฉินซู่ยิ้มเจื่อน "แม่คะ หนูไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เท่าไรน่ะค่ะ"
สีหน้าของซินเหม่ยอิ่งนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นเมื่อนึกถึงฐานะของเฉินซู่ เธอก็รู้สึกไม่สบายใจและไม่ได้พูดอะไร
"รู้ก็ดี ไม่รู้ก็ไม่เป็นไรนี่นา เอาล่ะ" เหลยว่านจวินออกมาพร้อมกับกาน้ำชาในมือ "ซู่ซู่ ถิงเอ๋อร์จะกลับมาเมื่อไรเหรอ?"
"พรุ่งนี้ก็น่าจะถึงนะคะ" เฉินซู่บอกไม่ได้ว่าคำชมของเหลยว่านจวินนั้นดีหรือไม่ดี เธอแค่ยิ้มและปล่อยให้หัวข้อนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เหลยว่านจวินและซินเหม่ยอิงเริ่มคุยกันเรื่องภาพวาด เฉินซู่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็เข้าไม่ถึง รู้อย่างนี้เธอน่าจะอยู่ที่ห้องของเหลยหย่าแล้วอ่านหนังสือกับเธอ
เฉินซู่เริ่มคิดถึงที่ใช้ชีวิตภายใจ้เหลยถิง อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เธออึดอัด
วันรุ่งขึ้น วังโห้วก็มาที่เฉินซู่แต่เช้าตรู่ "เฉินซู่ วันนี้ร่างกายเธอคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?"
"ยังรู้สึกไม่สบายอยู่นิดหน่อยน่ะค่ะ" เฉินซูยังเสแสร้งจนถึงนาทีสุดท้าย ทันทีที่เขาจับผิด เธอก็บอกว่าเธอรู้สึกไม่สบาย
"ดูเหมือนว่าอาการป่วยเธอนี่นานจังเลยนะ ครั้งก่อนเลขาฉันลางาน เลยให้เธอไปกับฉัน เธอก็บอกว่าไม่สบาย วันนี้ก็ไม่สบายอีก ฉันว่าสมรรถภาพร่างกายเธอไม่เหมาะจะทำงานนะ กลับไปพักฟื้นที่บ้านเถอะ"
ไอ้อ้วนนี่ ใบหน้าของเฉินซู่ดูแย่ลงทันทีก่อนจะกล่าว "วันนี้ผู้จัดการวังมาหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?"
"เลขาของฉันไปทำธุระน่ะ แล้วคืนนี้ฉันมีงานสังสรรค์ เธอมีภาพลักษณ์ที่เหมาะสม ไปหาประสบการณ์กับฉันดีกว่า" ใบหน้าวังโห้วช่างดูเหมือนพวกคนที่มีศีลธรรมต่ำจนทำให้คนรำคาญ
เฉินซู่อดคลื่นไส้ในใจไม่ได้ "ทราบแล้วค่ะ"
ไม่ว่าใบหน้าของเธอจะแย่แค่ไหน วังโห้วก็ตั้งตารอว่าคืนนี้ใบหน้าของเฉินซู่จะสวยแค่ไหน ทันทีที่เขานึกถึงคืนนี้ ใบหน้าอ้วนๆ ก็อดยิ้มลามกไม่ได้
เฉินซู่ส่งวีแชทหาหลี่เทียนโซ่วเพื่อขอความช่วยเหลือ เธอบอกเรื่องงานสังสรรค์คืนนี้กับหลี่เทียนโซ่ว แต่หลี่เทียนโซ่วกลับไม่ตอบ
พอถึงตอนเย็น เฉินซู่ขึ้นรถของวังโห้วไปที่ร้านอาหาร ระหว่างทางวังโห้วก็คอยเตือนเธอว่า: "พวกเขาเป็นลูกค้าทางธุรกิจทั้งหมด พวกเขาหยอกเธอ เธอก็อย่าไปโกรธล่ะ พวกเขาเป็นคนที่มีความสามารถ ถ้าให้เธอดื่ม เธอก็ดื่ม ตัวเองก็รักษาระดับเอาไว้ แต่ฉันต้องสั่งเอาไว้ก่อนเลยนะว่าอย่าไปทำให้เขาเคือง เข้าใจไหม?"
เฉินซู่ส่งเสียงตอบรับไป
เมื่อเข้าไปในห้อง เฉินซู่ก็มองไปรอบ ๆ ผู้ชายที่มาส่วนใหญ่ บางคนก็พาผู้หญิงมาด้วย แป้งบนใบหน้าของผู้หญิงนั้นหนามากจนสามารถเคลือบผนังคอนกรีตได้เลย ขนตาที่หนาและคอนเทคเลนส์ที่ดูแปลก เฉินซู่มองแล้วยังรู้สึกอึดอัด
ในทางตรงกันข้าม เฉินซู่ที่แต่งหน้าบางเบาเหมือนอาหารที่สดใหม่และอร่อย
ทันทีที่เหลยถิงลงจากเครื่องบิน ก็ส่งวีแชทหาเฉินซู่ ให้เธอเตรียมอาหารต้อนรับเขาที่บ้าน
เฉินซู่ไม่เห็น เธอถูกคนอื่นเทไวน์ให้ สำนวนการดื่มไวน์ของคนกลุ่มนี้คือเป็นชุดต่อๆ กัน ซึ่งทำให้เฉินซู่ได้ลืมตาดูโลก เธอหาข้อแก้ตัวไม่ได้จนต้องดื่มไปเพียงเท่านั้น
เธอรู้ว่าตัวเองคอไม่แข็ง เธอดื่มไปนิดหน่อยแล้วเทจากคางลงเสื้อ อย่างน้อยก็ไม่ให้ไวน์นี่เข้าท้องของเธอเด็ดขาด
หลังจากดื่มไปสามรอบ ผู้ชายก็เริ่มไม่นิ่ง มืออ้วนของวังโห้วเอื้อมมาหาเฉินซู่อย่างยั้งไม่อยู่ ตอนแรกวางตรงด้านหลังแล้วก็เขยิบมาที่เอว เฉินซู่ที่จะลุกขึ้น เขาก็ออกแรงบีบเข้าที่เอวของเฉินซู่
เฉินซู่ขมวดคิ้วและกำลังจะโมโห ขณะนั้นก็มีคนเปิดประตูเข้ามา
"ผู้จัดการวังครับ มีปัญหากับโครงการที่เฉินซู่กับผมรับมา ตอนนี้ต้องเร่งแก้ไข เธอเลยต้องกลับบริษัทกับผมน่ะครับ" หลี่เทียนโซ่วยืนตรงประตูและพูดจาอย่างใจดี ร้อยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่กล้าหุบลงไปเลย
"เรื่องอะไรที่ต้องจัดการตอนนี้กัน?" วังโห้วรู้สึกไม่ยินดีอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะต่อหน้าคนมากมาย เขาคงใช้ความรุนแรงกับหลี่เทียนโซ่วทันทีแน่
หลี่เทียนโซ่วโค้งตัวเล็กน้อย "ท่านประธานเหลยมาถึงคืนนี้ครับ บอกว่าต้องการให้เราจัดระเบียบข้อมูลก่อนหน้านี้ เมื่อสักครู่ผมได้ตรวจสอบไปบ้างแล้วและข้มมูลมีช่องโหว่เล็กน้อย เป็นส่วนของวังหานน่ะครับ เธอเลยต้องไปแก้ อีกเดี๋ยวท่านประธานเหลยจะเข้ามาตรวจสอบเองแล้วครับ"
"ถ้าวันนี้ท่านประธานเหลยไม่มาตรวจสอบ นายคอยดูได้เลย" เห็นได้เลยว่าแผนวังโห้วจะไม่สำเร็จ ทันทีที่หลี่เทียนโซ่วมา สิ่งดี ๆ ที่เขาครุ่นคิดมาเนิ่นนานก็พลันหายไปและเขาก็โมโหมาก
"เฮ้" หลี่เทียนโซ่วส่งสัญญาณให้เฉินซู่ เฉินซู่ก็รีบหอบกระเป๋าแล้วตามเขาไป ก่อนจากไปก็ไม่ลืมที่จะทักทายคนในห้อง "พวกคุณค่อย ๆ ดื่มกันนะคะ"
หลังจากจากไป เฉินซู่ก็รู้สึกขอบคุณ
"ฉันคิดว่าคุณคงจะไม่สนใจฉันแล้ว ขอบคุณนะคะ รองผู้จัดการ"
"ฉันเป็นคนขี้กลัวน่ะ เธอคงเคยได้ยินไม่มากก็น้อย ถ้าผู้จัดการวังไม่ยอมแพ้ แล้วไปตรวจที่บริษัทเองจะทำยังไงล่ะ?" หลี่เทียนโซ่วเกิดกลัวขึ้นมา ก่อนเขามาก็ได้ขัดแย้งกันในใจไปแล้วตั้งหลายครั้ง
เฉินซู่รีบหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาและเห็นข้อความจากเหลยถิงก็ถึงกับปวดหัว แย่แน่ แย่แน่ ๆ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเลย และตอนนี้เหลยถิงก็น่าจะถึงบ้านแล้วด้วย
เธอเสี่ยงตายโทรหาเหลยถิง เสียงรอสายก็ทำหัวใจเธอสั่น
"ขอโทษนะ ฉันเพิ่งเห็นเมื่อกี้นี้เอง คุณถึงบ้านแล้วใช่ไหม?" เธอลดเสียงลง
"เธออยู่ที่ไหน" น้ำเสียงของเหลยถิงกำลังระงับความโกรธ
"ร้านอาหารน่ะ ผู้จัดการวังให้ฉันมาสังสรรค์กับเขา ฉันผลัดไม่ได้เลยต้องมา เมื่อกี้รองผู้จัดการมาเรียกฉันให้ไปบริษัท จริง ๆ แล้วเขาโกหก แต่สถานการณ์เร่งด่วนมากเลยไม่มีทางเลือก" เฉินซู่รู้สึกประหม่าจนประสานนิ้ว "คุณมาที่บริษัทได้ไหม"
เหลยถิงพูดอย่างเคร่งขรึม: "นี่เธอกำลังสั่งฉัน?"
"ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ ฉันกำลังขอร้องคุณต่างหาก" เฉินซู่พึมพำและถ่อมตัวอย่างสุดขีด "ถ้าคืนนี้คุณช่วยแก้ปัญหาฉัน เดี๋ยวกลับไปช่วงนี้ฉันจะคอยเตรียมเมนูใหม่ให้ทานนะ ดีไหม? ทุกวันที่ฉันทานข้าวก็คอยศึกษาอาหารพวกนั้นด้วยนะ"