เวลาผ่านไปอย่างดวงจันทร์ - ตอนที่ 43 ความรักระหว่างพี่น้อง
ต้องยอมรับว่า ในจินตนาการที่วาดหวังของผู้หญิงทุกคนนั้นคือความร่ำรวย เหลยหย่าก็เช่นกัน
สีหน้าของเหลยถิงค่อย ๆ มืดครื้มลง เหลยหย่ารีบปิดปากเงียบทันที "พี่คะ เย็นนี้ที่นี่พี่ทำอะไรทานเหรอ วันนี้ฉันไม่ได้กลับบ้านไปทานข้าวนะ กะว่าอยู่ทานกับพี่ด้วย เดี๋ยวฉันเข้าครัวไปลองดูนะ"
ตั้งแต่เด็กจนโต เธอดูสีหน้าของเหลยถิงออกมากที่สุดแล้ว เหลยถิงเป็นคนอารมณ์ร้าย เธอก็เป็นคนอารมณ์ร้ายเช่นกัน แต่เธอมักจะยอมเหลยถิงเสมอ เธอเอาใจเขาตลอด ตอนที่เหลยถิงตามใจเธอ เธอถึงจะทำตัวออดอ้อน
ผ่านไปกว่าสิบปี ในสายตาของเธอไม่สามารถมองผู้ชายคนอื่นได้ เธอมีเพียงเหลยถิงเท่านั้น
แต่เหลยถิงกลับ…
เมื่อเฉินซู่เห็นเหลยหย่าออกมาจากห้องอ่านหนังสือ ดูท่าทางผิดหวังมาก เฉินซู่รู้ว่าเธอน่าจะโดนตอกจนหน้าหงายมา แล้วก็รู้ว่าเธออาจจะเก็บความโกรธมาลงกับตัวเองด้วย
"กินคุกกี้สักชิ้นไหม?" เฉินซู่เป็นฝ่ายยื่นคุกกี้ให้
เหลยหย่ากัดหนึ่งคำก็โยนมันลงบนตัวเฉินซู่ "คุกกี้อะไรเนี่ย ไม่หวานเลยสักนิด"
เฉินซู่อดทน แล้วพูดอย่างยิ้มแย้มว่า "แต่พี่ชายเธอชอบกินมากนะ คนคนนี้เนี่ย จะเหมาะหรือไม่เหมาะกับอะไร บางครั้งก็มองออกได้จากเรื่องเล็ก ๆ นะ เธอเห็นว่าสาวทางใต้กับหนุ่มทางเหนือ อยู่ด้วยกันไม่ได้แน่นอน วันหนึ่งกินข้าวสามมื้อ รสชาติอาหารก็ไม่เหมือนกัน เว้นแต่จะมีผู้เสียสละเท่านั้นแหละ"
"พี่ชายของฉันชอบกินจริงเหรอ?" เหลยหย่ามองเธออย่างเคลือบแคลง
"ไม่งั้นฉันจะอบมันทำไมกันล่ะ?"
เหลยหย่าคว้าจานมา นั่งลงบนโซฟาและกินมันทีละชิ้น กินเข้าไปอย่างช้า ๆ ท่าทางการกินของเธอทรมานมาก ดูแล้วน่าสงสารจริง ๆ
"เฉินซู่ เธอว่าพี่ชายฉันตกหลุมรักน้องสาวเธอจริงไหม? แบบว่าคนที่เขาอยากแต่งงานด้วยตั้งแต่แรกคือเฉินหร่านน่ะ"
"นี่…ฉันไม่คิดว่ามันไม่ใช่นะ" เฉินซู่พูดเอาใจ "ล่าสุดที่เธอโทรหาฉัน พี่เธอถามฉันว่าเจ็บไหม เธออย่าคิดว่าเขาใส่ใจฉันนะ ที่เขาถามว่าเจ็บไหมน่ะ มันหมายถึงมือของเธอที่เจ็บไหมต่างหาก"
เมื่อเฉินซู่พูดออกมา เธอก็พลันรู้สึกปวดใจและเศร้าใจชั่วขณะ
"จริงเหรอ?" เมื่อได้ยิน เหลยหย่าก็ตาเป็นประกาย
เฉินซู่พยักหน้า
"ฉันรู้ว่าพี่ชายฉันยังรักฉันอยู่" เหลยหย่าแสดงท่าทางมีชัยออกมาอย่างเต็มเปี่ยม "เฉินซู่ เธอยังรู้จักวางตัว เฉินหร่านนี่เทียบไม่ติดเลยล่ะ เธอช่วยฉันจับตาดูพี่ชายฉันด้วยนะ ฉันจะรับมือเฉินหร่านนังจิ้งจอกนี่ต่อไปเอง ดูสิว่าฉันจะจัดการฆ่าเธอยังไงดี"
"ตกลง" เฉินซู่ตกปากรับคำ
เหลยหย่ายังคงไม่วางใจ "เธอจะไม่ตกหลุมรักพี่ชายของฉันใช่ไหม?"
"นอกจากว่าฉันจะเป็นโรคสตอกโฮล์มซินโดรมน่ะนะ" เฉินซู่รับประกัน "แต่คราวหลังเธอเลิกแกล้งฉันได้ไหม คนที่ถูกแกล้งมานาน จะเป็นโรคสตอกโฮล์มซินโดรมได้ง่ายเลยนะ ถ้าฉันเป็นขึ้นมา แล้วตกหลุมรักพี่เธอ ไม่ดีแน่ มันจะส่งผลต่อการร่วมมือของเรา"
เหลยหย่าคิดว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นมีเหตุผล สุดท้ายแล้วเฉินซู่กับเฉินหร่าน เธอคิดว่าเฉินหร่านยังน่ากลัวกว่า
"ก็ได้ ๆ ฉันก็ไม่ได้อยากจะแกล้งเธอหรอกนะ เธอรู้ว่าฉันอารมณ์ไม่ดี อย่ามายุ่งกับฉันก็พอ"
เฉินซู่เยาะเย้ยในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เป็นคน มีสิทธิ์อะไรที่พอเธออารมณ์ไม่ดีก็ต้องยอมเธอล่ะ?
เธอยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้า เหลยหย่าแทบจะไม่ระวังเธอเลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่เหลยหย่าจากไป เหลยถิงก็ถึงจะลงมาจากชั้นบน
"เธอกับเหลยหย่าคุยอะไรกัน?"
เฉินซู่ชี้ไปที่จานเปล่า "เธอกินคุกกี้ไปน่ะ"
"เสี่ยวหย่าชอบกินของหวาน ก่อนที่ฟันน้ำนมเธอจะหลุด เธอแอบกินลูกอมเยอะเกิน ฟันก็เลยผุหมด คุกกี้ของเธอไม่หวานสักนิด เสี่ยวหย่าจะกินเข้าไปได้ยังไง?"
"ตอนแรกเธอก็ไม่ชอบกินหรอก แต่ฉันบอกว่าฉันทำให้คุณทาน เธอก็เลยเริ่มกินน่ะ" เฉินซู่พูดอธิบาย
สายตาของเหลยถิงนิ่งไปชั่วขณะ "วันหลังอย่าทำคุกกี้แบบนี้อีก"
เฉินซู่ตอบรับ เธอเดาความคิดของเหลยถิงไม่ออก เขาชอบเหลยหย่าหรือไม่กันแน่ หรือเป็นเพียงแค่ความรักแสนบริสุทธิ์ที่มีต่อน้องสาวเท่านั้น
เฉินหร่านเก็บของอย่างมีความสุข ได้เปลี่ยนจากแผนกกฎหมายไปที่แผนกธุรการ ก่อนจากไป เธอยังยกโมเดลที่ตั้งวางไว้บนโต๊ะให้กับเสี่ยวจั่ว
"พี่เสี่ยวจั่วคะ หลังจากนี้เราก็ยังไปทานข้าวด้วยกันได้นะ ที่ผ่านมาขอบคุณที่ดูแลฉันนะคะ" ใบหน้าของเฉินหร่านประดับด้วยรอยยิ้มหวานหยดย้อย
"ไม่คิดเลยว่าเธอจะถูกย้ายไป งั้นจากนี้ไปฉันจะรอเธอที่โรงอาหารนะ อย่าลืมฉันล่ะ" เสี่ยวจั่วกล่าวด้วยความเสียดาย แล้วช่วยเฉินหร่านขนย้ายของไปยังแผนกธุรการ
ทันทีที่เฉินหร่านมาถึงแผนกธุรการก็ตกตะลึงตาค้าง โต๊ะทำงานของเธอเล็กมาก คอมพิวเตอร์ก็เก่ามาก แถมเก้าอี้ก็ยังแย่เข้าไปใหญ่ เธอเข้ามาด้วยมือเปล่า เมื่อเสี่ยวจั่วเข้ามาด้วย ก็กระตุ้นต่อมริษยาของผู้หญิงหลายคนได้ไม่น้อย
เสี่ยวจั่วดูอบอุ่น เป็นไทป์ที่ผู้หญิงชอบ เฉินหร่านก็เป็นคนหน้าตาที่สะสวยอยู่บ้าง มีเพื่อนร่วมงานหญิงพูดอย่างขุ่นเคืองขึ้นว่า "โอ๊ย ขนาดยกลังกระดาษยังต้องมีคนช่วย ต่อไปในแผนกของเรา ใครจะเรียกใช้เธอกันล่ะ"
เฉินหร่านไม่กล้าตอบ เธอหันไปหาเสี่ยวจั่วแล้วพูดว่า "พี่เสี่ยวจั่ว กลับไปทำงานเถอะค่ะ ขอบคุณที่ช่วยฉันย้ายของนะคะ"
"ไม่เป็นไรครับ งั้นฉันไปก่อนนะ"
ทันทีที่เสี่ยวจั่วจากไป เฉินหร่านก็เริ่มรู้สึกเศร้าขึ้นมา ไม่ง่ายเลยกว่าที่เธอจะได้เปลี่ยนแผนก เธอคิดว่าหากรอดพ้นเงื้อมมือของเหลยหย่าแล้วจะได้ขยับเข้าใกล้กับเหลยถิงขึ้นสักนิด แต่ไม่ได้คิดเลยว่าผู้หญิงในแผนกธุรการจะดูรับมือยากยิ่งกว่าเหลยหย่าอีก
ทั้งแผนกที่มีสี่สิบกว่าคน กลับมีผู้ชายเพียงสามคนเท่านั้น…
งั้นพวกงานยิบย่อยต่อจากนี้ แค่เหลยหย่าแค่คิดก็ตัวสั่นแล้ว…
"มาทำงานก็คือมาทำงาน ใส่รองเท้าส้นสูงแบบนั้นมีแต่จะทำให้ลำบากเอานะ"
"แล้วก็ชุดนี้ มันน่าจะแพงมากเลย ถ้าเกิดชุดเปื้อนขึ้นมา ฉันกลัวว่าเธอจะเสียดายเอานะ ไปเปลี่ยนเป็นชุดเป็นเสื้อผ้าถูก ๆ แล้วมาทำงานดีกว่านะ"
"ทำงานคือการเอาเงินเดือนจากคนอื่น ทำงานให้กับคนอื่น เธอคิดว่าแค่แต่งตัวสวย ๆ ใส่ส้นสูง ถือแก้วสตาร์บัคส์ก็ได้แล้วงั้นเหรอ? ให้ตายเถอะ"
เฉินหร่านโกรธมาก ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยมีใครหน้าไหนพูดแบบนี้กับเธอ! แต่ว่าเธอไม่กล้าที่จะโต้ตอบกลับไป
ทันทีที่เธอว่าง เธอก็ไปเข้าห้องน้ำกดโทรหาเฉินจินซาน บอกว่าตัวเองเข้าได้เข้าถ้ำเสือมาแล้ว แล้วทุกคนก็ผลักไสเธออีก เฉินหร่านร้องไห้หนักมาก จนเฉินจินซานเป็นกังวล
"หร่านหร่าน ลูกต้องอดทนก่อนนะ เดี๋ยวพ่อจะคุยกับพี่สาวของลูกให้อีกรอบ"
เฉินหร่านสูดจมูก "พ่อคะ ทำไมพ่อไม่ไปคุยกับพี่เขยเองเลยล่ะ บอกว่าให้หนูไปเป็นเลขาเขาเลย"
"ก็ได้ ๆ ถ้าลูกทำไม่ไหวแล้ว ก็ขอลาพักสักสองวันนะ พ่อจะหาโอกาสนัดพี่สาวกับพี่เขยของลูกไปทานข้าว แล้วคุยเรื่องนี้"
"ถ้าอย่างนั้นหนูจะไปขอลาก่อนค่ะ" เฉินหร่านปาดน้ำตา เดินไปหาคนรับผิดชอบเพื่อขอลางาน
หัวหน้าแผนกธุรการคือเลขาส่วนตัวของเหลยถิง เธอเป็นที่รู้จักในเรื่องความเย็นชาในแผนกมาโดยตลอด สไตล์การใช้ชีวิตของเธอค่อนข้างคล้ายกับเหลยถิง พวกเพื่อนร่วมงานแอบเรียกเธอว่า ยัยปีศาจ สวี่หยู่เจี๋ย
เมื่อเฉินหร่านไปขอลา เธอก็ฉีกใบลาแล้วโยนทิ้งลงไปในถังขยะ
เฉินหร่านตกตะลึง เธอพูดอ้อนวอน: "คุณสวี่คะ ฉันป่วยจริง ๆ นะคะ ฉันอยากลาไปหาหมอค่ะ"
"เลิกงานแล้วค่อยไป ถ้ามีผ่าตัดก็ผ่าในวันหยุด ถ้าต้องให้น้ำเกลือก็ให้เป็นตอนกลางคืน กลางวันคุณต้องมาทำงาน" สวี่หยู่เจี๋ยไม่แม้แต่จะมองเฉินหร่าน ปากของเธอเหมือนปืนกล ยิงคำพูดที่คิดออกมาทั้งหมด
เฉินหร่านตกใจจนพูดไม่ออก เธอออกจากห้องทำงานของยัยปีศาจมาอย่างเงียบ ๆ เธอนั่งลงที่โต๊ะเล็ก ๆ ของตัวเอง มองดูงานกองโตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแล้ว เธอก็อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาแล้ว
หากเธอทำงานในบริษัทตัวเอง เธอก็ไม่ต้องทนทุกข์อยู่แบบนี้ ไม่เพียงแต่เธอยังจะกลับบ้านมานั่งดื่มสบาย ๆ ดูละครทีวี ให้แม่ของเธอทำอาหารอร่อย ๆ มาให้ได้แล้ว แต่ยังให้พ่อจัดการไล่คนที่รังแกเธอออกได้ด้วย
ทำไมเธอต้องมาที่นี่แล้วทนทุกข์ทรมานกับความลำบากแบบนี้ ช่างมันแล้ว เธอไม่ทำแล้ว!
เฉินหร่านลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง