เวลาผ่านไปอย่างดวงจันทร์ - ตอนที่ 23 เขาเปลี่ยนใจเเล้ว?
เฉินซู่ไม่รู้ว่าเหลยถิงจะยินยอมไหม เธอกำลังเดิมพันกับมูลค่าที่เหลือของเธอ
เมื่อเหลยถิงได้รับข้อความ ก็ไม่คิดจะสนใจ แต่เขานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ไม่ช้าก็เร็วเฉินซู่จะสังเกตเห็นขาของเขา เพราะยังไงเธอก็นอนข้างเขา…
เป้าหมายของเขายังไม่สำเร็จ และตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะยืนขึ้นได้ เขาไม่อนุญาตให้คนนอกรู้ความลับเรื่องขาของเขา
ถ้าอยากให้เฉินซู่ปิดปากเงียบ ก็ต้องทำให้เธอเป็นคนของเขาอย่างแท้จริง…
เหลยถิงบอกกับเลขา: "บอกแผนกบุคคลว่าให้เฉินหร่านไปที่แผนกกฎหมาย"
"ได้ค่ะ ท่านประธานเหลย"
เหลยถิงทำเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ได้บอกเฉินซู่ เฉินซู่คิดว่าข้อความตัวเองคงจมไปแล้วก็รู้สึกไม่แน่ใจ เมื่อเฉินหร่านโทรหาเธอ เธอก็ไปรับถึงหน้าประตู
"ฉันบอกไปแล้วล่ะ เธอก็ทำตัวดีๆ เเล้วกันนะ" เฉินซู่ลังเล เธอไม่แน่ใจว่าเหลยถิงจะช่วยเธอไหม แต่ถ้าเหลยถิงช่วยเธอจริงๆ สิ่งที่เธอพูดก็ไม่ใช่ว่าได้ผลเหรอ?
เฉินหร่านรู้สึกตื่นเต้นมาก จับมือเฉินซู่และพูดว่า "พี่คะ ขอบคุณนะคะ"
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอแสดงความรักต่อเฉินซู่มากขนาดนี้ ซึ่งทำให้เฉินซู่อึดอัด เธอละมืออกมานิ่งๆ "เธอไปสัมภาษณ์เถอะ"
หลังการสัมภาษณ์ เฉินหร่านส่งข้อความวีแชทให้เฉินซู่ บอกว่าผ่านไปได้ด้วยดี แต่ต้องกลับไปรอประกาศ
เฉินซู่คิดว่ายังมีเวลา กลางคืนเธอยังสามารถขอเหลยถิงได้
เหลยหย่าไม่กล้าเรียกพี่เหลยถิง แล้วก็ไม่กล้าแสดงออกว่ามีความสัมพันธ์กับเหลยถิง แต่บางคนก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา แต่ก็ปิดปากเงียบ
ส่วนเฉินซู่ นอกจากเหลยหย่าแล้วก็ไม่มีใครอื่นที่รู้
"ไม่ได้บอกว่ารับแค่คนเดียวงั้นเหรอ? ทำไมถึงสัมภาษณ์เยอะจังล่ะ" เหลยหย่าพูด
"คนกลุ่มนี้ค่อนข้างดีเลย เรากำลังสัมภาษณ์ว่าใครเก่งกว่ากันน่ะ ตอนนี้ตัดสินแล้ว คนที่ชื่อเฉินหร่านทำดีมาก"
เหลยหย่าขมวดคิ้ว เฉินหร่าน? ใช่เฉินหร่านที่เธอรู้จักหรือเปล่า?
เธอเหลือบมองประวัติการทำงาน และเป็นเฉินหร่าน ลูกสาวของเฉินจินซานจริงด้วย! เธอดูข้อมูลและวิดีโอสัมภาษณ์ของเธอ และเปรียบเทียบกับคนที่สัมภาษณ์คนอื่นหลายๆ คน พอเปรียบเทียบก็ไม่คิดว่าเฉินหร่านจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ต้องมีคนเข้ามายุ่งเรื่องนี้แน่
หลังจากบริษัทเหลยเลิกงาน บ้านตระกูลเหลยก็เริ่มมีชีวิตชีวา
เหลยถิงมาถึงบ้านก่อน และเหลยหย่าก็ตามมาติดๆ
"พี่คะ พี่ไม่ได้บอกว่าเกลียดการใช้เส้นสายเหรอคะ? ทำไมเฉินหร่านถึงมาร่วมงานกับบริษัทเราล่ะคะ แถมยังเป็นแผนกเดียวกับฉันด้วย เขาไม่ได้ดีเท่าฉันเลยนะ ทำไมถึงให้มาอยู่แบบเท่าเทียมกับฉันด้วยล่ะคะ?" เหลยหย่าโกรธจัด คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ สิ่งที่เธอทนไม่ได้ก็คือเหลยถิงปฏิบัติกับคนอื่นดีกว่าเธอ
เหลยถิงที่ดื่มชาอยู่ หลังจากที่กลิ้งชาวนไปรอบๆ ก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น "บริษัทนี้เป็นของฉัน ฉันจะทำอะไร เธอก็ไม่ต้องมาชี้นิ้วสั่ง"
เหลยหย่ารู้สึกประหลาดใจ นี่ใช่พี่เธอหรือเปล่า? เขาพูดแบบนี้กับเธอได้ยังไงกัน?
"พี่คะ…" เธอเรียกเบาๆ
"ฉันจัดการเรื่องของเฉินหร่านเอง ตอนนี้เธอรู้แล้วก็กลับไปได้แล้วล่ะ" เหลยถิงวางถ้วยน้ำชาลงและเหลือบมองเวลา
เหลยหย่าไม่กล้าพูดอะไรอีก ถึงเธอจะชอบหลอกตัวเองยังไง แต่ก็รู้จุดดี ท่าทางเหลยถิงตอนนี้ทำให้เธอไม่กล้าส่งเสียง เธอกลัวว่าตัวเองยังก่อเรื่อง เหลยถิงคงได้เกลียดเธอแน่
เมื่อเธอหันหลังกลับถึงคิดได้ว่าตัวเองนั้นช่างน่าสงสาร
เฉินซู่ก็บังเอิญกลับมาเวลานี้พอดี เธอเห็นเหลยหย่าเดินออกจากบ้านไปก็ทักทาย "เธอมาเหรอ อยู่ทานข้าวเย็นก่อนสิ"
เหลยหย่ามองเธอ เฉินซู่ก็ตกใจ เธอไม่เคยเห็นเหลยหย่าดูสิ้นหวังขนาดนี้
ทันใดนั้น แววตาเหลยหย่าก็เปลี่ยนเป็นโกรธ แต่มันไม่ใช่ความโกรธที่ดูมีชีวิตชีวา แต่เป็นความโกรธเคือง
"ทั้งหมดเป็นเพราะเธอ ตั้งแต่พี่ฉันแต่งงานกับเธอ เขาก็ไม่ตามใจหรือรักฉันแล้ว เขาให้เธอไปอยู่บริษัทก็ถือว่าละเมิดแล้ว ตอนนี้ยังจะยัดคนบ้านเธอเข้าบริษัทอีก! กล้าดียังไง? เธอก็เป็นคนบ้านๆ มักมาก ทำไมพี่ฉันต้องดีกับเธอขนาดนั้นด้วย!" เหลยหย่าชี้นิ้วไปที่เฉินซู่และก่นด่า
คำว่ามักมากสองคำทำร้ายหัวใจของเฉินซู่ สองคำนี้เป็นคำต้องห้ามกับผู้หญิง แค่นี้ก็น่าขยะแขยงพอแล้ว
แต่เหลยหย่าบอกว่าคนบ้านเธองั้นเหรอ? นั่นคงจะเป็นเฉินหร่าน เฉินหร่านจะเข้าบริษัท? เหลยถิงฟังเธอสินะ ความกังวลของเฉินซู่ก็ได้ปล่อยวางไป
"ทำไมเธอถึงไม่พูดล่ะ พูดมาสิ" เหลยหย่าไม่พอใจเเล้วรีบวิ่งไปคว้าแขนของเฉินซู่
"เธอพูดถูกเเล้วล่ะ" เฉินซู่พูดเบาๆ ให้เธอหาเรื่องต่อไป ยังไงเดี๋ยวก็ผ่านไป
เหลยหย่าผลักเธอออก "เธอยอมรับสินะ!"
"คุณหนูเหลย ฉันมีเพียงประโยคเดียวที่จะบอกเธอ ฉันไม่มีใครที่บ้านหรอกนะ" เฉินซู่มองเข้าไปในดวงตาของเธอ "ส่วนเรื่องอื่น เธออยากจะด่าก็ด่าได้เลย"
พูดแบบนี้ เรื่องของเฉินหร่านไม่เกี่ยวอะไรกับเฉินซู่เลยงั้นเหรอ? ตอนนี้เหลยหย่ากำลังโกรธ เธอไม่สนว่าเฉินซู่จะพูดอะไร พอด่าจนพอใจก็จากไป
เฉินซู่กลับมาเหนื่อยๆ แถมยังไม่ทันข้าบ้านก็ถูกด่า สาวใช้ที่เห็นก็แอบหัวเราะในใจ มีเพียงเสี่ยวอวี่ที่เดินเข้ามาเก็บกระเป๋าเปลี่ยนรองเท้าให้เธอ
"นายหญิงคะ ขึ้นไปข้างบนก่อนเถอะค่ะ เสี่ยวเตี๋ยเพิ่งส่งชาโสมไปชั้นบนค่ะ"
เฉินซู่ไม่พูดอะไรและเหลือบมองเสี่ยวอวี่ เธอเข้าใจสิ่งที่พูด แต่เธอไม่อยากจะสนใจ หากเหลยถิงรับใช้ง่ายขนาดนั้น บ้านนี้คงไม่มีโอกาสให้ได้เป็นนายหญิงหรอก
ไม่นานหลังจากนั้น เสี่ยวเตี๋ยก็ลงมาพร้อมดวงตาแดงและใบหน้าที่ซีด
เสี่ยวอวี่ยกยิ้มมุมปากและกระซิบเบาๆ ว่า "นายหญิงช่างนิ่งมากเลยนะคะ"
"วันนี้ที่ครัวทำอะไรทานน่ะ?"
"เมื่อกี้คุณผู้ชายบอกว่าไม่ต้องทำอาหารเย็นแล้ว ผักที่คนครัวหั่นไว้วางบนเขียงก็พร้อมที่จะโยนทิ้ง ฉันได้ยินว่าฮวาจือทำโจ๊กแล้วก็ทำซุปค่ะ"
เฉินซู่พยักหน้า ลุกขึ้นล้างมือและเข้าไปในครัว
ความหมายของเหลยถิงนั้นชัดเจนมาก ไม่ให้ที่ครัวทำอาหารเย็น เขาอยู่ที่บ้านก็ไม่มีทางที่จะไม่ทานข้าว นั่นไม่ใช่ว่ารอเธอเข้าครัวทำอาหารเย็นเพื่อตอบแทนเขาเหรอ?
"นายหญิงคะ" ฮวาจือที่กำลังหยิบกล่องอาหารใส่โจ๊ก เมื่อเห็นเฉินซู่เข้ามา เธอไม่มีเวลาซ่อนจึงรีบอธิบาย "นายท่านบอกว่าไม่ต้องการของพวกนี้แล้ว ฉันเห็นก็เสียดายเลยจะเอากลับไปทานกับพี่สาวน่ะค่ะ"
เสี่ยวอวี่ส่งสัญญาณให้ฮวาจือ ฮวาจือก็ค่อยๆก้มหน้าลง
"ดีมาก เธอเอาไปเถอะ" เฉินซู่ก็ไม่ต้องการเอาโจ๊กให้เฟลยถิง โดยเฉพาะโจ๊กทะเล
เฉินซูมองไปผักบนเขียงและซุปในหม้อ ในใจก็คิดว่าจะทำอะไรดี เหลยถิงอยากทานอาหารที่เธอทำ แต่เป็นเพราะรสชาติและสไตล์บ้านๆ ผักพวกนี้ก็ทำได้แค่เอามาผัด จะให้ทิ้งก็สิ้งเปลือง
เธอทำผัดผักรวม และฮวาจือก็คอยลงมืออยู่ด้านข้าง
หลังจากทำอาหารเสร็จเรียบร้อย เฉินซู่ก็อยากทำพุดดิ้ง ไม่ใช่สำหรับเหลยถิง แต่เป็นเธอที่อยากทานเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เหลยถิงโมโห เธอก็ทำไว้สองอัน ถึงเหลยถิงไม่ทาน เธอก็จะได้ทานเพิ่มอีกหนึ่งอัน
หลังจากทำอาหารเสร็จ เฉินซู่ก็ขึ้นไปชั้นบนเพื่อเรียกเหลยถิง เวลานี้ก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้วที่เสี่ยวเตี๋ยลงใสจากชั้นบน เธอเดาว่าเขาคงจะหายโมโหเเล้ว
"ฉันทำอาหารไว้แล้ว ลงมาทานเถอะ" เฉินซู่เปิดประตูห้องหนังสือแล้วพูดอย่างอ่อนโยน
ทางเหลยถิงไม่เคลื่อนไหว เฉินซู่เดินเข้าไปก็เห็นว่าร่างกายของเขาติดระหว่างรถเข็นกับโต๊ะ ใบหน้าของเขาซีดและมีเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผาก เขาค้ำพักแขนของรถเข็นด้วยมือทั้งสองข้าง เส้นเลือดที่มือรวมทั้งคอต่างนูนออกมา เห็นได้ว่าเขาพยายามจะให้ร่างกายเป็นอิสระ
แต่ก็ไม่เป็นผล