ตอนที่ 302 ลูกนกอินทรีโบยบิน / ตอนที่ 303 วิชามายา
ตอนที่ 302 ลูกนกอินทรีโบยบิน
ณ เรือนแพทย์พยากรณ์
เฟิงอู๋โยวเพิ่งจะเข้ามาในเรือนก็ต้องพบกับบรรยากาศอันวุ่นวายทันที
หนึ่งคน สองคน สามคน…หกคน!
ตอนแรกที่เห็นคนอยู่ในเรือนถึงหกคน เฟิงอู๋โยวก็ตกใจขึ้นมาเพราะคิดว่าเป่ยถางหลงถิงคงมาหาเรื่องนางถึงหน้าประตูบ้านอีกแล้ว
นางคลำหยิบตะบันไฟ[1]ในความมืดและจุดตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะพร้อมเสียง “พรึบ”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มือข้างกำเข็มเงินยาวหนึ่งนิ้วแน่น ส่วนอีกข้างก็ถือตะเกียงน้ำมันแสงสลัว แล้วเดินไปทางด้านหลังผนังกันลมช้าๆ
“ท่านชายกลับมาแล้ว! บ่าวชื่อเจินเจิน อายุสิบเก้าปี”
“บ่าวชื่ออ้ายอ้าย อายุน้อยกว่าเขาสามเดือน”
“บ่าวชื่อเหลียนเหลียน”
“บ่าวชื่อฉุนฉุน ขอคารวะท่านชาย”
“บ่าวชื่อเพียวเพียว”
“บ่ายชื่อโหรวโหรว ผู้คอยปลดเสื้อผ้าให้ท่านชาย”
เฟิงอู๋โยวถอยหลังกลับไปหลายก้าวอย่างไม่รู้ตัว คำอุทานนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาในใจและอยากจะอุทานออกไป
คนอย่างไป๋หลี่เหอเจ๋อมันเกินไปจริงๆ !
ทั้งที่เขารู้ว่าจวินมั่วหรันขี้หึง แต่ยังส่งนายบำเรอทั้งหกมาที่เรือนแพทย์อีก
พรุ่งนี้ถ้าจวินมั่วหรันเห็นพวกเขาเข้าจะไม่โกรธเป็นสายฟ้าฟาดหรอกหรือ
เฟิงอู๋โยวมองดูพวกเขาอย่างปวดหัวเล็กน้อย “ออกไป ข้าเหนื่อย ไม่มีเวลามาโอ๋พวกเจ้า”
“ท่านชาย ให้เพียวเพียวทุบไหล่นวดหลังให้นะขอรับ”
“โหรวโหรวจะอุ่นเตียงให้เอง”
…
“ออกไป!”
เฟิงอู๋โยวจ้องมองบุรุษรูปงามงามทั้งหกที่พยายามหว่านล้อมอยู่ข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
นางเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของจวินมั่วหรันจนชิน ทำให้นางไม่ตื่นเต้นเท่าเมื่อก่อนเวลาเห็นบุรุษรูปงาม
“ฮือๆๆ ท่านชายใจร้าย” โหรวโหรวกัดผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กและแสร้งทำเป็นเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่ตรงหางตา
ต่อมา อีกห้าคนที่เหลือก็ทำตาม ควักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กออกมาและร้องไห้เสียงดัง
“ร้องไห้ให้มันได้อะไร”
เฟิงอู๋โยวรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที นางไม่คิดไม่ฝันว่าบุรุษร่างใหญ่ทั้งหกคนนี้จะร้องไห้ได้เก่งกว่าชิงหลวน
“ท่านชาย พวกบ่าวจะร่วมหลับนอนกับท่าน”
เฟิงอู๋โยวคิดในใจ ร่วมหลับนอนบ้านแม่พวกแกสิ
เฟิงอู๋โยวรู้สึกจนปัญญา หากไม่ใช่เพราะบุรุษรูปงามทั้งหกคนนี้มีผลประโยชน์โดยการนำไปใช้เรียกแขกให้เรือนแพทย์ นางคงโยนพวกเขาทิ้งไว้ข้างถนนอย่างไม่เกรงใจ
เฟิงอู๋โยวหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ลงช้าๆ จากนั้นก็พูดกับพวกเขาอย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ “ก่อนหน้านี้ ข้าได้คิดค้นท่าร่ายรำอันงดงามให้มาได้ชุดหนึ่งและได้กำกับประกอบท่าร่ายรำเอาไว้แล้ว พวกเจ้าจงฝึกฝนตามตำรานี้ให้ดี เอาไว้ฝึกสำเร็จแล้วค่อยมาหาข้า”
เมื่อพูดจบก็ก้มลงหยิบตำราเล่มเล็กที่ใช้รองขาโต๊ะขึ้นมา จากนั้นก็โยนมันใส่งฉุนฉุนอย่างไม่ตั้งใจ
“มันเป็นของข้า”
“พูดมั่วๆ เห็นๆ อยู่ว่าท่านชายมอบให้ข้า!”
“ข้าอายุมากสุด พวกเจ้าต้องฟังข้า”
เพียงครู่เดียวพวกเขาก็ทะเลาะกันจนหน้าแดงหูแดงขึ้นมาอีกครั้ง จนเกือบจะลงไม้ลงมือกันจริงๆ
เฟิงอู๋โยวส่ายหน้าและไล่พวกเขาออกไป เสียง ‘ปึง’ ดังขึ้น ประตูใส่กลอนปิดสนิท
ว่ากันว่าสตรีสามคนอยู่รวมกันมักเกิดเรื่องวุ่นวาย
นางคิดว่าถ้าผู้บุรุษทั้งหกคนนี้อยู่รวมกัน พวกเขาสามารถสร้างเรื่องวุ่นวายได้เป็นหลายสิบปี!
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเสียงนั้นก็หยุดลง
ภายใต้แสงจันทร์จางๆ ฉุนฉุนอ่านออกเสียงตัวหนังสือทองตัวใหญ่ขึ้นเสียงดังฟังชัด “กายบริหารชุดที่ห้า ‘ลูกนกอินทรีโบยบิน’ กระนั้นหรือ”
“กายบริหารเป็นการเต้นรำประเภทใด” เพียวเพียวกุมขมับเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
ทุกคนล้วนส่ายหน้าเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน
“เช่นนั้น พวกเรามาฝึกซ้อมกันที่ลานหน้าเรือนกันเถิด! จะไม่ทำให้ท่านชายผิดหวังเด็ดขาด!” โหรวโหรวกล่าวให้คำปฏิญาณ
“ใช่แล้ว! พี่น้องร่วมใจกัน ย่อมเอาชนะได้ทุกอย่าง!”
ขณะที่คุยกัน พวกเขาก็จูงมือกันไปที่ลานหน้าเรือน พวกเขาพยายามก้าวขาอย่างพร้อมเพรียงตามท่าทางอันยากจะเข้าใจที่ระบุไว้ในตำราและพยายามเลียนแบบการเคลื่อนไหวกันอย่างเก้งก้าง
ตอนที่ 303 วิชามายา
ภายในเรือนแพทย์
เฟิงอู๋โยวจามติดต่อกันหลายครั้งจนเป่าตะเกียงน้ำมันดับ ‘พรึบ’ ขณะกำลังจะเอนตัวลงนอน ก็พบว่าบนเตียงมีดวงตาเป็นประกายคู่หนึ่งจ้องมองมาอย่างไม่ละสายตา
“เช็ดแม่!”
“เจ็ดชั่วโตคร…”
นางตกใจรีบถอยหลังกลับ
“ไป๋หลี่เหอเจ๋อ? เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
เฟิงอู๋โยวจุดตะเกียงน้ำมันขึ้นมาอีกครั้ง ภายใต้แสงไฟสลัว นางจ้องมองไป๋หลี่เหอเจ๋อที่นอนอยู่บนเตียงอย่างไม่สบอารมณ์
ได้ยินเช่นนั้น เขาจึงค่อยๆ ลุกขึ้นและก้าวเข้ามา
เขาใกล้เข้ามาหนึ่งก้าว
นางก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เป็นเช่นนี้วนเวียนซ้ำไปจนกระทั่งหลังของเฟิงอู๋โยวชิดบานประตูจนไร้ทางถอยหนี
ไป๋หลี่เหอเจ๋อยกมือขึ้นปัดผมที่แตกกระจายบดบังหน้าผากของนางไปทัดที่หลังหูอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงเย็นชื่นเจือไปด้วยความข่มใจ “เจ้าพอใจกับนายบำเรอทั้งหกที่ข้ามอบให้หรือไม่”
พูดแบบนี้ แสดงว่าไป๋หลี่เหอเจ๋ออยู่ในห้องของนางมาตลอดเลยหรือ
เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้วพลางบ่นในใจ ดูเหมือนทักษะการระแวดระวังตัวของตัวเองลดลงไปอย่างมาก
เมื่อครู่นี้ทั้งที่มีคนเจ็ดคนอยู่ในห้อง แต่กลับสัมผัสได้หกคน
“ข้าจะนอน โปรดออกไป”
เฟิงอู๋โยวหยิบไม้ขนไก่ปัดฝุ่นขึ้นมาสลัดใส่หน้าไป๋หลี่เหอเจ๋อ จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงดุ ““รีบๆ ออกไป! ข้าดุมากนะ”
“อย่างที่เจ้ารู้ เรือนจื่อหยางถูกไฟไหม้ ต้องใช้เวลาสร้างใหม่ เตียงที่เรือนของอาเฉินก็พัง ข้าจึงไม่มีที่นอน ดังนั้นจึงต้องมาขออาศัยนอนที่ห้องเจ้าสักหนึ่งคืน” ไป๋หลี่เหอเจ๋อพูดโกหกหน้านิ่ง หน้าไม่แดงและลมหายใจก็ไม่ติดขัด
“เจ้าทำอะไรกับฟู่เย่เฉิน ไฉนถึงทำเตียงของเขาพังได้”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อคาดไม่ถึงว่าเฟิงอู๋โยวจะมีวิธีคิดที่แปลกขนาดนี้
เขาขี้เกียจอธิบาย จึงได้แต่หันกลับไปที่เตียงอีกครั้ง “ขึ้นมานอนกับข้า”
เมื่อเห็นเขาเอนตัวเองไปบนเตียง เฟิงอู๋โยวก็โกรธจัดจนกัดฟันกรอด “ไป๋หลี่เหอเจ๋อ เจ้าทำแบบนี้เขาเรียกว่านกพิราบยึดรังนกสาลิกา[2]!”
“แล้วมันเป็นเยี่ยงไร”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อยิ้มยิงฟัน จากนั้นก็ถอดชุดคลุมบางๆ ชั้นนอกออกราวกับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น “เจ้าจะยืนหลับทั้งคืนเลยหรือ”
เฟิงอู๋โยวแค่นเสียงอย่างเย็นชา “นอนคนเดียวไปเถิด! ข้าจะไปหาอาหวง”
ความหมายที่นางต้องการจะสื่อก็คือ ให้นางนอนที่เดียวกับสุนัขยังดีเสียกว่านอนร่วมเตียงกับเขา
“หยุด”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่เปิดโอกาสให้เฟิงอู๋โยวหนี เขาลุกขึ้นมาคว้าตัวนางไปเข้าไปกอด “ข้าให้โอกาสเจ้าไปแล้วแต่เจ้าไม่ต้องการมัน”
“โอกาสอะไร”
เฟิงอู๋โยวรู้สึกสับสนเมื่อได้ยิน ถ้านางไม่กลัวกำลังภายในที่เกินหยั่งถึงของเขา ป่านนี้เข็มเงินใต้แขนเสื้อของนางพุ่งแทงเข้าที่จุดตายของเขาแล้ว
ไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่ตอบ แต่อยู่ๆ นายบำเรอทั้งหกที่อยู่ด้านนอกก็บุกเข้ามาอย่างกะทันหัน
พวกเขาพากันถือกระจกคนละหนึ่งบาน จากนั้นก็แยกกันยืนเป็นสองฝั่ง
ทันทีที่เฟิงอู๋โยวเห็นเช่นนั้นก็รีบหลับตาลง “ไป๋หลี่เหอเจ๋อ เจ้าคิดจะสะกดจิตข้ากระนั้นหรือ”
“เฟิงอู๋โยว ข้าไม่เคยคิดจะทำร้ายเจ้า”
“ดีแต่พูด แต่ก็ทำร้ายข้าอย่างไม่ยั้งมือมาตลอด ไป๋หลี่เหอเจ๋อ ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเจ้ากับข้าได้ปรับความเข้าใจกันแล้วเสียอีก ต่อให้เจ้าจะวางแผนเล่นงานข้าสารพัดวิธี แต่อย่างน้อยพวกเราก็เป็นขุนนางในราชสำนักเดียวกัน ข้าไม่อยากรื้อฟื้นความแค้นในอดีตและจองล้างจองผลาญกับเจ้า ดังนั้นรีบออกไปเสียเถิด แล้วข้าจะคิดเสียว่าเจ้าไม่เคยมาที่นี่”
“ปรับความเข้าใจ? เฟิงอู๋โยว เจ้าต้องการแบ่งแยกสถานะกับข้าอย่างชัดเจนขนาดนั้นเชียวหรือ” ไป๋หลี่เหอเจ๋อเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา เขาไม่คิดจะทำอะไรนาง แต่ท่าทีของนางกลับห่างเหิน
“ไป๋หลี่เหอเจ๋อ ถ้าเจ้าไม่ไป ข้าจะตะโกนเรียกคน!”
เฟิงอู๋โยวรู้ดีว่าเหตุการณ์ฆ่าล้างบางคนในตระกูลเมื่อหกปีก่อนและการรังแกอย่างไร้มนุษยธรรมจากกลุ่มโจรได้สร้างปมในใจยากเกินเยียวยาให้ไป๋หลี่เหอเจ๋อ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมีนิสัยดื้อด้านเอาแต่ใจขนาดนี้
นางเห็นใจกับเรื่องเลวร้ายที่เขาประสบพบเจอ แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะทนกับการถูกเขากลั่นแกล้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฟิงอู๋โยวก็พูดขึ้นเสียงขรึม “หวนกลับคือฟากฝั่ง ขอแค่เจ้าเต็มใจที่จะกลับตัวกลับใจ สักวันหนึ่งพวกเราอาจจะมีโอกาสได้ดื่มสังสรรค์กัน”
“เฟิงอู๋โยว เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน เป้าหมายของข้าคือจวินมั่วหรันเท่านั้น”
“ไป๋หลี่เหอเจ๋อ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าบางทีเจ้าอาจเกลียดผิดคน บางครั้งสิ่งที่เห็นด้วยตาอาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป จำเป็นต้องใช้หัวใจสัมผัส”
“ฉู่สือซื่อ ออกมา”
เมื่อเฟิงอู๋โยวนึกถึงภาพตอนที่เฟิงอู๋โยวกับจวินมั่วหรันจูบกันในโรงเตี๊ยมหลิงเฟิง ไฟอิจฉาภายในใจก็แทบจะปะทุออกมา
เห็นๆ อยู่ว่าจวินมั่วหรันเป็นปีศาจที่กินคนไม่คายกระดูก[3] เขาไม่คู่ควรกับเฟิงอู๋โยว
เขาไม่คู่ควร!
“นายท่านเจ้าคะ ข้าไม่อยากทำร้ายเขา”
ฉู่สือซื่อยืนยึกยักอยู่ที่ประตู นางจำได้ว่าตอนที่ตัวเองถูกแทงด้วยดาบ เฟิงอู๋โยวคิดที่จะช่วยนางเอาไว้
แม้ว่านางจะยังเป็นเด็กแต่ก็มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
ไป๋หลี่เหอเจ๋อพูดขึ้นเบาๆ “นางถูกคนชั่วปิดตา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ช่วยนางได้”
ฉู่สือซื่อพยักหน้าอย่างหนักแน่นเพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง จากนั้นก็แทงเข็มไปที่ปลายนิ้วของตัวเองและบีบเลือดจากปลายนิ้วใส่เตากำยาน
สักพัก ทั่วทั้งห้องก็คลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมพิศวงอันเข้มข้น
เฟิงอู๋โยวกลั้นหายใจ ตั้งสติและรีบวิ่งไปที่ประตู
แต่ทันทีที่เท้าของนางก้าวข้ามธรณีประตู ร่างกายก็พลันอ่อนแรงลงและล้มหงายหลังลงบนพื้น
ไป๋หลี่เหอเจ๋อประคองนางไว้อย่างมั่นคง ในดวงตาซุกซ่อนแววรู้สึกผิด
เขาไม่อยากแยกเฟิงอู๋โยวออกจากจวินมั่วหรันด้วยวิธีสุดโต่งแบบนี้ แต่เขาไม่อาจทนเห็นความรักอันเหนียวแน่นของพวกเขาได้
จวินมั่วหรันไม่คู่ควรที่จะได้รับความสุข!
ไม่คู่ควร!
ทันใดนั้น นอกจากฉู่สือซื่อกับไป๋หลี่เหอเจ๋อที่กินโอสถแก้พิษไว้ล่วงหน้า ทุกคนในห้องล้วนสลบกันหมด
ไป๋หลี่เหอเจ๋อเหลือบมองเหล่านายบำเรอที่นอนเกลื่อนอยู่บนพื้น เขาก้าวเท้าคร่อมร่างของพวกเขามาหาเฟิงอู๋โยวและอุ้มนางในสภาพสลบมาวางบนเตียงอย่างเบามือ
ฉู่สือซื่อที่อยู่ด้านหลังกลัวว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อจะทำร้ายนาง จึงพูดขึ้นอย่างหวั่นใจ “นายท่านเจ้าคะ ให้สือซื่ออยู่ดูแลเขาก็ได้นะเจ้าคะ”
“พาเข้าสู่ห้วงมายา” ไป๋หลี่เหอเจ๋อเอ่ยเสียงเย็น
“นายท่าน สือซื่อไม่อยากทำร้ายเขา”
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเจ้ากำลังช่วยเขา ไม่ได้ทำร้าย เซ่อเจิ้งหวางแห่งแคว้นตงลินกระทำความชั่วสารพัด การที่เขาติดตามเซ่อเจิ้งหวางอยู่แบบนี้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเสียใจเป็นแน่ ความเจ็บปวดระยะยาวย่อมเลวร้ายกว่าระยะสั้น”
ไป๋หลี่เหอเจ๋ออธิบายให้ฉู่สือซื่อฟังอย่างอดทน
หากไม่ใช่เพราะฉู่สือซื่อเป็นทายาทเพียงคนเดียวในแคว้นหนานเชียงที่ใช้วิชามายาได้ ไป๋หลี่เหอเจ๋อคงพยายามช่วยชีวิตนางทุกวิถีทางอย่างแน่นอน
วิชามายาแห่งแคว้นหนานเจียงมีชื่อเสียงพอๆ กับวิชาวิชาหนอนพิษปรสิต มีฤทธิ์คล้ายกับวิชาสะกดจิต เพียงแต่จะนำพาจิตของคนๆ นั้นเข้าสู่ห้วงมายา
จุดที่ร้ายกาจของวิชามายาก็คือ ผู้ใช้สามารถประทับเรื่องราวลงในสมองของเหยื่อได้อย่างฝังลึก ทำให้เหยื่อเชื่อคำพูดของผู้ใช้อย่างไม่สงสัย
แน่นอนว่าวิชามายาแห่งแคว้นหนานเจียงไม่ใช่วิชาที่ใครๆ จะสามารถเรียนได้
ฉู่สือซื่อคือทายาทผู้สืบทอดวิชามายาภาพหลอนคนที่สามสิบสามแห่งแคว้นหนานเจียง
ทั่วใต้หล้านี้มีเพียงเลือดของนางเท่านั้นที่เป็นสื่อกลางนำพาจิตของมนุษย์เข้าสู่ห้วงมายาได้ ต่อให้เป็นคนที่มีพลังสมาธิสูงแค่ไหนก็ไม่อาจต้านทานหยดเลือดเพียงหยดเดียวของนาง
หลังจากฉู่สือซื่อนำพาจิตของเฟิงอู๋โยวเข้าสู่ห้วงมายาเสร็จสิ้น ไป๋หลี่เหอเจ๋อก็นอนตะแคงข้างลงด้านหน้านาง ริมฝีปากเรียวบางของเขาพลันขยับ มีแต่สารพัดคำลวงหลอกและเรื่องโกหกปราศจากความจริง
“เฟิงอู๋โยว จงจำเรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ให้ดี”
“ได้” เฟิงอู๋โยวตอบรับในขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท
“คืนนี้ ตอนที่เจ้าเปิดประตูห้องจะถูกนายบำเรอทั้งหกพามาที่เตียง เจ้าผลักขัดขืน ปากบอกว่าไม่ต้องการแต่ภายในใจกลับเบิกบาน เจ้าหยุดอยู่หน้าเตียงและพบว่าข้ากำลังนอนหลับสนิทอยู่ แล้วอยู่ๆ ที่นึกสนุกขึ้นมา จึงขึ้นเตียงมาหาข้าและช่วงชิงความบริสุทธิ์ของข้าไปโดยที่ข้าไม่ทันตั้งตัว ไม่เพียงเท่านั้น เจ้ายังปรนเปรอนายบำเรอทั้งหกอย่างถึงเนื้อถึงตัวทีละคน หลังจากเล่นสนุกเป็นเวลาสามยาม เจ้าก็เริ่มปวดเมื่อยทั้งตัว สองขาอ่อนแรงและล้มตัวลงนอนหลับคาอ้อมกอดข้า”
ทันทีที่คำพูดของไป๋หลี่เหอเจ๋อจบลง เฟิงอู๋โยวก็ทำตามที่เขาพูดจริงๆ นางนอนหลับสนิททันที
เขาลูบไล้ใบหน้าเล็กๆ อันสวยสดใสของนาง รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
“ฉู่สือซื่อ ปิดประตูให้สนิท”
“รับทราบเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่ได้ทำร้ายเฟิงอู๋โยว ฉู่สือซื่อก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก จากนั้นก็วิ่งออกจากห้องด้วยขาสั้นๆ ของนาง
ไป๋หหลี่เหอเจ๋อมองเฟิงอู๋โยวที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมพลางเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าขอโทษที่เล่นงานเจ้าอีกครั้ง แต่เจ้าจงเชื่อข้าเถิด ข้าไม่มีทางทำร้ายเจ้า และจะไม่บังคับให้เจ้าทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ข้าแค่ชื่นชอบเจ้ามากเหลือเกิน ทั้งหมดมีเพียงเท่านี้”
เขาหุบปากเงียบไม่พูดถึงความเกลียดชังภายในใจที่มีต่อจวินมั่วหรัน มีแต่พูดเน้นย้ำถึงความหลงใหลที่มีต่อนางเท่านั้น
“มั่วหรัน ข้ากำลังฝันน่ากลัวมาก” เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้วพร่ำเพ้อ
นางขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างไม่รู้ตัว ร่างกายของนางสั่นอย่างรุนแรง
ไป๋หลี่เหอเจ๋อรู้สึกปวดใจแปลบๆ ขึ้นมาไม่หยุด เขาพยายามสะกดความหึงหวงภายในใจลง ตบหลังของเฟิงอู๋โยวเบาๆ และปลอบโยนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “อย่ากลัวเลย ข้าอยู่ตรงนี้เสมอ”
[1]เครื่องมือจุดไฟสมัยโบราณ ลักษณะคล้ายตะบันหมาก ทำจากไม้เนื้อแข็งหรือเขาสัตว์ หรืองาช้าง
[2]นกพิราบยึดรังนกสาลิกา หมายถึงบุกรุกบ้านหรือที่ดินของผู้อื่นโดยพลการ
[3]กินคนไม่คายกระดูก หมายถึง คนชั่วช้าไร้ความปรานี
MANGA DISCUSSION