ตอนที่ 172 สะกดจิต
ดวงตาสีดำของไป๋หลี่เหอเจ๋อ ย้อมไปด้วยแววหงุดหงิด เขาแทบอยากจะทุบจี้แหวนหยกเก้าสวรรค์เก้าสวรรค์อันเกะกะลูกนัยน์ตาในมือของเฟิงอู๋โยวให้แหลกสลาย
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมนางถึงชอบพกวัตถุนอกกายที่ไร้ประโยชน์ติดตัวเหมือนคนทั่วไปแบบนี้
ขุนนางยู่ชินยกมือขึ้นลูบเคราแพะของตัวเองเบาๆ “จี้แหวนหยกเก้าสวรรค์ของเซ่อเจิ้งหวางที่ไม่เคยออกห่างจากตัวเลย ไม่นึกว่าจะมอบให้คนอื่นแบบนี้”
“มอบหยกงามให้คนรู้ใจ”
ริมฝีปากเรียวบางของเขาปริเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูหน่ายอารมณ์
เมื่อเขาพูดออกไปแบบนี้ ขุนนางรอบๆ ก็พากันแตกตื่น
จี้มั่วจื่อเฉินได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้นอย่างน้อยใจ “อาหรัน เจ้ามันลำเอียง! ถ้าอู๋โยวเป็นคนรู้ใจเจ้า แล้วข้าเป็นอะไรกับเจ้า เจ้ากับข้ารู้จักกันมาเป็นสิบๆ ปี แต่เจ้ากับอู๋เฟิงเพิ่งรู้จักไม่กี่สิบวัน!”
เดิมทีเฟิงอู๋โยวอยากจะแสดงวิชาสะกดจิตต่อหน้าผู้คน แต่นึกไม่ถึงว่าแค่คำพูดคำเดียวของจวินมั่วหรันจะสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนได้ขนาดนี้
นางโกรธจนควันออกหูและเดินกระทืบเท้ามาด้านหน้าจวินมั่วหรัน กัดฟันเตือนเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “ดูไม่ออกหรือกระไรว่ากระหม่อมกำลังพยายามทำเพื่อกิจการเรือนแพทย์ของกระหม่อมอยู่ พูดให้มันน้อยๆ หน่อยขอรับ!”
จวินมั่วหรันขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคิดว่านับวันเฟิงอู๋โยวก็ยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ
ไม่นึกว่าจะกล้ามาพูดเชิงตำหนิต่อหน้าเขาแบบนี้!
เฟิงอู๋โยวเห็นสีหน้าไม่ค่อยดีของจวินมั่วหรัน จึงตระหนักได้ว่าไม่ควรยั่วโมโหเขาต่อหน้าคนอื่น ครั้นแล้วจึงลดน้ำเสียงลงและพูดปลอบเขาอย่างกลับตาลปัตร “ท่านใต้เท้ารู้หรือไม่ว่าท่าทางเคร่งขรึมพูดจาน้อยๆ ของท่านใต้เท้าดูหล่อเหลาไม่เบาเลยนะขอรับ รับปากกับกระหม่อมได้หรือไม่ว่าจะรับบทเป็นชายรูปหล่อเงียบขรึมอยู่เฉยๆ”
“ก็ได้”
เมื่อจวินมั่วหรันสัมผัสได้ว่าเฟิงอู๋โยวยอมอ่อนข้อให้เขา สีหน้าก็ผ่อนคลายลงและตอบรับเสียงขรึม
ผู้คนด้านนอกศาลต้าหลี่เห็นเช่นนั้นก็เริ่มพากันสงสัยในข่าวลือของจวินมั่วหรัน
ไหนบอกว่าเว่อเจิ้งหวางก็คนเหี้ยมโหดและฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา
แต่ทำไมเซ่อเจิ้งหวางคนที่เห็นอยู่ข้างหน้ากลับดูเป็นภายนอกเย็นชา ภายในอบอุ่น หากชื่นชอบใครขึ้นมาก็รู้จักผ่อนปรนเป็น
ไหนจะมอบของรักส่วนตัวให้ ไหนจะใช้ตัวเองเป็นโล่ป้องกันให้คนของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น เซ่อเจิ้งหวางยังกล้าแสดงความรักต่อคนของเขาต่อหน้าผู้คนจำนวนมากอีกด้วย!
จะใช้คำว่า ‘ความรัก’ ก็คงไม่เหมาะสม แต่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ยังได้อยู่กระมัง
เฟิงอู๋โยวเอื้อมไปหยิบค้อนไม้และทุบลงอย่างแรง “รบกวนอยู่ในความสงบ! หากอยากเห็นวิชาสะกดจิตของข้าก็จงอยู่ในความสงบ!”
เมื่อได้ยินเฟิงอู๋โยวพูดคิดว่าวิชาสะกด กู่หนานเฟิงที่เพิ่งจะหยุดหัวเราะได้ไม่นานก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
เท่าที่เขารู้มา หมอวิเศษทั่วใต้หล้าที่เชี่ยวชาญวิชาสะกดจิตมีเพียงหยิบมือ
ไม่คิดไม่ฝันว่าเฟิงอู๋โยวจะเรียนรู้ศาสตร์วิชาลี้ลับแบบนี้มาด้วย ช่างน่าอัศจรรย์ใจเสียจริง
ไม่นาน เฟิงอู๋โยวก็ใช้วิชาก้าวพริบตาย่องไปหาขุนนางจิ้นเงียบๆ
ขุนนางจิ้นไม่รู้ว่าเฟิงอู๋โยวกำลังจะทำอะไรกับเขา แต่พอเขาเพียงแค่เหลือบมองไปที่จี้แหวนที่แกร่งอยู่ด้านหน้าเขาในระยะใกล้ ก็ถูกเฟิงอู๋โยวสะกดจิตจนหลับใหลได้อย่างง่ายดาย
เฟิงอู๋โยวจ้องมองขุนนางจิ้น ดวงตาเริ่มเหม่อลอยและท่าทางก็เริ่มผ่อนคลายลง จากนั้นก็เริ่มถาม “ไม่ทราบว่าขุนนางจิ้นรู้ที่มาที่ไปของฉู่อีอีหรือไม่”
ขุนนางจิ้นด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อว่างเปล่าเหมือนหุ่นเชิด “แน่นอน ข้ารู้ เมื่อสามปีก่อน ข้าเจอนางครั้งแรกในสภาพเมามายที่หอนางโลม ข้าประทับใจในความสวยงามของนางจึงตัดสินใจแต่งนางเข้าเรือนเป็นนางสนม”
“ในเมื่อรู้สึกประทับกับในตัวนางตั้งแต่แรกพบ ไฉนขุนนางจิ้นถึงปล่อยเวลาผ่านมาตั้งสามปีแล้วค่อยแต่งกับนาง”
ขุนนางจิ้นถอนหายใจ น้ำเสียงเจือแววจนปัญญา “ฉู่อีอีหยิ่งยโสและมักจะดูถูกข้าอยู่เสมอ แต่ไม่นานก่อนหน้านี้ อยู่ๆ นางก็กระโดดเข้ามาในอ้อมแขนของข้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ข้ามีความสุขมาก จึงขอนางแต่งงานเข้าเรือนและแต่งตั้งให้เป็นนางสนมเอก”
ฟู่เย่เฉินนึกไม่ถึงว่าเฟิงอู๋โยวจะใช้วิชาสะกดจิตเป็น จึงรีบพูดแทรกอย่างร้อนรนใจ “เฟิงอู๋โยว เจ้าใช้วิชาสะกดจิตเป็นจริงๆ หรือ…หรือว่าเจ้ากับขุนนางจิ้นวางแผนเล่นละครตบตาเพื่อหลอกพวกข้าอยู่,”
“ท่านมือชันสูตรฟู่ หากท่านไม่เชื่อเฟิงอู๋โยว จะให้กระหม่อมเป็นผู้ใช้วิชาสะกดจิตก็ได้นะขอรับ”
กู่หนานเฟิงไม่อยากจะยื่นมือเข้าไปช่วย แต่ตอนนี้เขารู้สึกคันไม้คันมืออยากแสดงฝีมือของตัวเองต่อหน้าผู้คนเช่นกัน ครั้นแล้วจึงพูดสวนคำพูดของฟู่เย่เฉินกลับไป
“กู่หนานเฟิง?”
ดวงตาปีศาจของฟู่เย่เฉินเป็นประกายไฟ เขาไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีคนที่รับมือยากอีกคนโผล่มากลางครันแบบนี้ ทำเอาเขาโมโหจน หน้าซีดเลยทีเดียว
กู่หนานเฟิงที่เป็นคนปากร้ายเป็นทุนเดิม พอเห็นฟู่เย่เฉินหน้าซีดก็อดพูดเหน็บแนมขึ้นมาไม่ได้ “ถ้าท่านมือชันสูตรฟู่ว่างมากก็อย่าพูดลอยๆ เสียดีกว่า ผู้คนสามารถอ่านใบหน้าได้ แต่สุนัขอาจไม่เข้าใจ เมื่อคืนถูกฝูงสุนัขล่าเนื้อรุมกัดทึ้งจนบาดเจ็บขนาดนั้นยังไม่เข็ดหลาบอีก ไฉนวันนี้ยังกล้าเสนอหน้าโผล่มาอีก ท่านมือชันสูตรฟู่ไม่กลัวว่าเหล่าสุนัขล่าเนื้อจะเล่นงานใบหน้ากระตุ้นอารมณ์ของท่านอีกหรือ”
ฟู่เย่เฉินโกรธจัดจนกัดฟันพูด “กู่หนานเฟิง เจ้าคิดดีแล้วหรือที่จะร่วมวงลงบ่อน้ำขุ่น[1]นี้”
“ก็แค่บ่อน้ำขุ่น ไม่ใช่บ่อส้วมเสียหน่อย กระหม่อมรับมือได้อยู่แล้ว”
กู่หนานเฟิงผายมืออย่างเฉไฉ จากนั้นก็หยิบจี้งาช้างสีขาวานวลออกมาจากอกทันที ต่อมาไม่นานก็สามารถสะกดจิตฉู่อีอีที่หลบอยู่ด้านหลังขุนนางจิ้นได้อย่างสมบูรณ์
ท่าทางเกียจคร้านของเขาดูจริงจังขึ้นมาทันที เขาถามฉู่อีอีเสียงทุ้ม “เจ้าเคยไปที่ศาลเจ้าหงเย่หรือไม่”
“เคย”
“ไปทำไม”
“กัดคน แต่เสียดาย ไม่อร่อย ไก่สดอร่อยกว่า”
เมื่อฉู่อีอีพูดแบบนี้ออกไป ผู้คนที่อยู่ด้านนอกศาลต้าหลี่ก็พากันแตกตื่น
พวกเขาไม่คิดไม่ฝันว่าฉู่อีอีที่รูปร่างบอบบาง แลดูอ่อนหวาน หน้าตาสะสวยเช่นนี้ จะเป็นมือสังหารในคดีฆาตรกรรมที่ศาลเจ้าหงเย่
จี้มั่วจื่อเฉินไม่คิดเช่นกันว่าฉู่อีอีที่เคยใกล้ชิดชนิดเนื้อแนบเนื้อกับเขา จะน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้
เมื่อนึกสภาพว่าปากอันอวบอิ่มน่าหลงใหลของนางเคยกัดกินไก่สดมาก่อน หน้าเขาก็ซีดลงและเกิดท้องไส้ปั่นป่วนทันที
กู่หนานเฟิงกังวลว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนด้านนอกจะรบกวนสมาธิของเฟิงอู๋โยว จึงหันกลับไปยกนิ้วชี้ป้องปากสั่งให้เงียบ จากนั้นก็หันกลับมาเค้นถามฉู่อีอีต่อ “คืนนั้นทำอะไรลงไปบ้าง”
“หลังจากได้รับคำสั่งลับฉบับเร่งด่วนมาก็บุกเข้าสังหารเจ้าอาวาสาคนปัจจุบันท่านั้น จากนั้นก็ฝังตัวอ่อนลงบนร่างกายเขา จากนั้นอีอีก็ล่อเซ่อเจิ้งหวางไปที่หน้าผาในเขตชานเมืองทางตะวันออก โดยตั้งใจจะใช้วิชาหนอนพิษมายาก่อกวนจิตใจของเซ่อเจิ้งหวาง แต่ไม่คาดคิดว่าเซ่อเจิ้งหวางจะมีจิตใจแน่วแน่ไม่หวั่นไหวแบบนั้น”
เมื่อพูดถึงเรื่องของจวินมั่วหรัน กู่หนานเฟิงก็โมโหขึ้นมาทันที
แม้ว่าเขามักจะโต้เถียงกับจวินมั่วหรันอยู่บ่อยครั้งและชอบแกล้งทหารองครักษ์เงา แต่เขาก็ยังเคารพนับถือจวินมั่วหรันจากก้นบึ้งหัวใจ
แปดปีที่แล้ว หลังจากที่กู่หนานเฟิงพาจวินมั่วหรันกลับมาจากประตูด่านนรก เขาก็ทนเห็นจวินมั่วหรันตกอยู่ในอันตรายหรือได้รับบาดเจ็บไม่ได้
สีหน้าแววตาของกู่หนานเฟิงเยือกเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด เขาถามฉู่อีอีเสียงขรึมต่อ “จำชื่อท่านเหนือหัวของเจ้าได้หรือไม่”
“จำไม่ได้”
“จำน้ำเสียงได้หรือไม่”
“เย็นใสไพเราะ” ฉู่อีอีตอบ แต่อยู่ๆ ก็กระตุกเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “ข้าจำได้แล้ว! นายท่านของอีอีก็คือ…”
ฟิ้ว!
ทันใดนั้น ลูกธนูอาบยาพิษก็พุ่งแทรกอากาศเข้ามาจากด้านนอกศาลต้าหลี่
เฟิงอู๋โยวรู้ทันทีว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อต้องการจะฆ่าคนปิดปาก จึงรีบคว้าลูกธนูนั้นมาทดสอบพิษบนผ้าเช็ดหน้า
กู่หนานเฟิงชื่นชมประสาทสัมผัสอันฉับไวของเฟิงอู๋โยว แต่กระนั้นก็รีบถามฉู่อีอีต่ออย่างไม่อยากเสียเวลา “นายท่านของเจ้าคือใคร”
“เขาคือ…”
เสี้ยวพริบตาที่ฉู่อีอีเอ่ยปากพูด ทุกคนในที่แห่งนั้นก็ยิ่งเงียบ รอลุ้นจนไม่กล้าหายใจเพราะกลัวจะพลาดช่วงเวลาสำคัญนี้ไป
ทว่าขุนนางจิ้นที่เพิ่งได้สติกลับมา เข้าใจผิดว่าฉู่อีอีวางแผนจะโยนความผิดทั้งหมดให้ตัวเอง จึงชักกระบี่ออกมาอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลงและพุ่งเข้าไปแทงทะลุหน้าท้องฉู่อีอีทันที
สวบ!
เมื่อกระบี่เสียบแทงเข้าที่หน้าท้อง เลือดสดก็พุ่งกระเซ็นเป็นสายน้ำ
ร่างกายของฉู่อีอีเกร็งกระตุกเล็กน้อย นางก้มมองเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดจากหน้าท้องของตัวเองอย่างตกใจ จากนั้นก็หน้ามืดล้มลงกองอยู่บนพื้น
“นางสารเลว ไปตายเสีย!”
ขุนนางจิ้นโมโหจัด เขากระทืบฉู่อีอีซ้ำอีกหลายที
จนกระทั่งทหารเข้ามานำตัวร่างของฉู่อีอีที่ชุ่มไปด้วยเลือดออกไป เฟิงอู๋โยวจึงค่อยๆ ละสายตาออกมา
ตามหลักแล้ว การที่ถูกกระบี่แทงเข้าที่หน้าท้องแบบนั้น เลือดไม่มีทางพุ่งกระเซ็นในลักษณะนั้นแน่นอน
เรื่องนี้จะต้องมีปริศนาอย่างอื่นซ่อนอยู่เบื้องหลังแน่ๆ
กู่หนานเฟิงจ้องมองเลือดที่เจิ่งนองอยู่ที่พื้นในห้องโถงศาลต้าหลี่ เขารู้ได้ทันทีว่าฉู่อีอียังไม่ตาย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็ส่งสายตาให้เฟิงอู๋โยวก่อนออกจากศาลต้าหลี่ไป
ผู้พิพากษาแห่งศาลต้าหลี่คาดไม่ถึงว่าขุนนางจิ้นและลงมือฆ่าภรรยาตัวเองเช่นนี้ เวลานี้เขาตกตะลึงจนไม่รู้จะตัดสินโทษนี้เยี่ยงไร
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ผู้พิพากษาแห่งศาลต้าหลี่ที่ยังไม่กล้าตัดสินใจจึงโค้งตัวถามความเห็นของจวินมั่วหรันกับไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างระวัง “ท่านใตเท้า ท่านราชครูขอรับ ไม่ทราบว่าพวกท่านคิดว่าควรตัดสินเรื่องนี้เยี่ยงไรขอรับ”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “แม้กฎหมายบ้านเมืองหละหลวม แต่กฎสวรรค์ยังคงอยู่ นางสนมของขุนนางจิ้น ถึงตายก็ยังไม่สาสมแก่บาปกรรม”
ขุนนางจิ้นได้ยินเช่นนั้นจึงพูดขึ้นคล้อยตาม “ตระกูลฉู่นั้นร้ายกาจ พันหมื่นมีดเฉือนก็ยังไม่สาสมแก่บาปกรรม”
ดวงตาดำสนิทของจวินมั่วหรันวาวเป็นประกาย ริมฝีปากปริเอ่ย “ถือเป็นความผิดที่ขุนนางจิ้นสั่งสอนนางสนมตัวเองไม่ดี ต้องโทษจำคุกสามปี จะยอมรับหรือไม่”
ขุนนางจิ้นบุ้ยปากเตรียมเถียงกลับ ทว่ารังสีอำมหิตของจวินมั่วหรันที่แผ่ซ่านออกมาทำเอาเขาหวาดกลัวจนขาสั่น
“ยอมรับขอรับ” สักพักขุนนางจิ้นก็ยอมรับโทษ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอปิดคดี” ไป๋หลี่เหอเจ๋อเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขาลุกขึ้นพูดก่อนทุบค้อนพิพากษาปิดท้าย
ฉู่อีอียังไม่ได้เอ่ยชื่อผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังออกมา อันที่จริงยังไม่ควรด่วนปิดคดี
แต่ในเมื่อไป๋หลี่เหอเจ๋อพูดขึ้นมาเช่นนั้น แล้วใครจะกล้าขัด
พวกขุนนางยู่ชินนั่งดูรอหาจังหวะใช้เฟิงอู๋โยวเป็นเครื่องมือยุแยงความขัดแยงระหว่างจวินมั่วหรันกับไป๋หลี่เหอเจ๋อ
แต่กระทั่งบัดนี้กลับยังทำอะไรไม่ได้ มิหนำซ้ำ เฟิงอู๋โยวยังสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับเรือนแพทย์พยากรณ์ของตัวเองได้อีก
จวินมั่วหรันไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เช่นกันและยังคงนั่งบนบัลลังก์ของเซ่อเจิ้งหวางแห่งแค้วนตงหลินได้อย่างไม่สั่นคลอน
ดังนั้นเหล่าขุนนางทั้งหลายจึงหมดปัญญาไร้ทางสู้และอยากกลับเรือนให้เร็วที่สุด
“ช้าก่อน”
ขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมตัวแยกย้ายจะกลับ เสียงปีศาจของจวินมั่วหรันก็ดังขึ้น เขาหันไปมองไป๋หลี่เหอเจ๋อ จากนั้นรังสีอำนาจของราชาก็แผ่ซ่านออกมาอย่างคลุ้มคลั่งทั่วทั้งร่างกายทันที
[1] บ่อน้ำขุ่น หมายถึงเรื่องหรือปัญหาที่ยุ่งเหยิงแก้ยาก
MANGA DISCUSSION