เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) - ตอนที่ 33 ดูเหมือนจะหลงทาง
เวลาสองทุ่ม ณ ฐานทัพสำนักงานใหญ่หน่วยกิจการพิเศษเมืองฉี
ขณะนี้ฐานทัพได้อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกอย่างเต็มรูปแบบ ทีมเจ้าหน้าที่หน่วยกิจการพิเศษในชุดสูทสีดำที่มีตราสัญลักษณ์ดาบและโล่พร้อมสู้รบแล้ว พวกเขาตั้งขบวนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสบนสนามภายในฐานทัพ พวกเขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม
ไม่นานหลังจากนั้น โม่ซิ่งผู้อำนวยการหน่วยกิจการพิเศษของเมืองฉีก็เดินมาหาพวกเขา และตามด้วยรองผู้อำนวยการหน่วยกิจการพิเศษสามคน อาจารย์ใหญ่จางและนักเรียนบางส่วนของศูนย์ฟื้นฟูและปรับทัศนคติ
ไม่ว่าโม่ซิ่งหรือคนที่อยู่ข้างหลังเขา ทั้งหมดล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึมทั้งสิ้น และเดินตามหลังเขาอย่างแน่วแน่ ไม่มีใครส่งเสียงดังโดยไม่จำเป็น
โม่ซิ่งยืนนิ่งเมื่อเดินมาถึงตรงหน้าสมาชิกทีมกิจการพิเศษเหล่านั้น
นักเรียนของศูนย์ฟื้นฟูและปรับทัศนคติที่อยู่ข้างหลังเขาเหล่านี้ ต่างรีบวิ่งไปขนาบทางด้านซ้ายของหน่วยกิจการพิเศษ และตั้งแถวอย่างเรียบร้อย ราวกับว่าพวกเขาได้ฝึกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
โม่ซิ่งขยับแว่นตาเล็กน้อย แสงจากระยะไกลส่องมาที่แว่นและแผ่สะท้อนรัศมีเย็นชาออกมา
ดวงตาของเขาเผยแววเย็นยะเยือก “ทุกคน วันนี้พวกคุณต้องปฏิบัติภารกิจหนึ่งที่หนักมาก อาจมีคนที่ไม่ได้กลับมาอีก หรืออาจไม่เหลือแม้แต่ซาก”
ในเวลานี้ไม่มีใครส่งเสียงดัง ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยฟังคำพูดถัดมากันอย่างเงียบๆ
“ในการจะชนะสงครามใดๆ ก็ตาม จำต้องมีการเสียสละ! และไม่มีข้อยกเว้น! สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ คือสงครามที่หฤโหดที่สุดในชีวิต! ไม่ว่าใครก็ตาม ตั้งแต่เด็กจนถึงคนแก่ ตั้งแต่ผู้ป่วยใกล้ตายไปจนถึงทารกแรกเกิด ล้วนต้องมีสำนึกในการเสียสละ! ไม่ได้ทำเพื่อสิ่งใด แต่ทำเพื่อมนุษย์กันเอง!”
เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ เขาก็กวาดตามองสีหน้าของทุกคน และหยุดกระตุ้น ด้วยเพราะคนขี้ขลาดและไม่หนักแน่น ถูกคัดออกจากภารกิจในคืนนี้แล้ว
“สำนักสัจธรรมเพิ่งจะส่งประกาศฉุกเฉินมาว่า เครือข่ายของเราตรวจสอบพบเหตุการณ์พิเศษที่ 77 ซึ่งมีเอเลี่ยนที่มีความสามารถในการพรางตัวสูงมาก อีกทั้งยังก้าวร้าวและมีนิสัยดุร้าย จะมาถึงเมืองฉีในเวลาเที่ยงคืนของวันนี้ เหตุการณ์นี้จะเป็นภารกิจที่หลังจากหน่วยกิจการพิเศษเมืองฉีของเราก่อตั้งขึ้นมาสองปี ดำเนินการกวาดล้างด้วยเราเองเป็นครั้งแรก”
โม่ซิ่งสายตาเย็นชา “ถึงเราจะมี 123 คนในคืนนี้ และมันจะมีแค่ตัวเดียว แต่ทุกคนก็อย่าประมาทมันเชียว!!”
“ความเก่งกาจของมัน แตกต่างจากขีปนาวุธอย่างสิ้นเชิง! ในเมืองที่มีประชากรหนาแน่นแบบนี้ อาวุธหนักอะไรก็ใช้ไม่ได้ ดังนั้นอาวุธที่พวกคุณใช้จึงเป็นเพียงอาวุธเบาที่ผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษ และอาวุธพิเศษเหล่านี้อาจทำอะไรมันไม่ได้เลย!”
“พวกคุณอาจต้องเสียสละร่างกายและชีวิตของตนเพื่อประชาชน ในบรรดาพวกคุณมีทั้งผู้มีพลังพิเศษ และผู้ได้รับการฝึกฝนเบื้องต้นแล้ว ร่างกายและพลังทางจิตวิญญาณจะมีความแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามากและน่าดึงดูดมากกว่าคนธรรมดาเช่นกัน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็โน้มตัวลง เพื่อโค้งคำนับทุกคน
“ผมขอบคุณทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หลังจากพวกคุณได้รับพลังพิเศษแล้ว ก็ยังคงไม่กลัวที่จะเสียสละตัวเอง โดยเฉพาะบรรดาผู้มีพลังพิเศษที่อาสาเข้าร่วมในภารกิจนี้ ซึ่งหายากมาก ศูนย์ฟื้นฟูและปรับทัศนคติประกาศ หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไป พวกคุณจะได้รับระดับความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น สามารถใช้ชีวิตในเมืองได้อย่างอิสระ แค่รายงานที่อยู่เป็นประจำก็พอ”
จากนั้นเขาก็พูดกับอาจารย์ใหญ่จางที่อยู่ข้างๆ “อาจารย์ใหญ่จาง พูดอะไรกับทุกคนอีกสักหน่อยเถอะครับ”
อาจารย์ใหญ่จางมองผู้คนที่อยู่ตรงหน้า ทุกคนอายุยังน้อย หลายคนเคยเรียนกับเขา และต้องลำบากใจเพราะเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่ด้วยโทษทัณฑ์ทั้งสามที่ค้ำคออยู่ ไม่มีใครกล้าต่อต้านเขา
แต่ในเวลานี้ เขากลับไม่ต้องการพูดอะไรอีก ไม่ต้องการที่จะปราศรัยอะไรอีก
เพราะเขารู้ว่า หลายคนในนี้ อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นพวกเขา
สำหรับผู้มีพลังพิเศษที่อาสาเข้าร่วมภารกิจเหล่านั้น บางคนอาจโชคดี และไปเพื่ออิสรภาพแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกเขาเข้าร่วมภารกิจ ก็หมายความว่าพวกเขาได้ตระหนักรู้ในการเสียสละแล้ว
“ต้องกลับมาทุกคนนะ”
เขาพูดแค่ประโยคเดียว ก็ยากที่จะพูดอะไรต่อได้
“ตามแผน ออกเดินทาง!” หลังจากที่โม่ซิ่งพูดจบ เขาก็เดินออกไปเป็นคนแรก
ในบรรดาพวกเขา นอกจากอาจารย์ใหญ่จางผู้ชราที่ยังยืนอยู่ที่เดิม คนอื่นๆ ต่างเดินตามโดยไม่มีข้อยกเว้น
อาจารย์ใหญ่จางมองดูแผ่นหลังของคนเหล่านี้ที่เดินไกลออกไปทีละคน ถึงแม้ว่าเขาจะผ่านความยากลำบากมามากเพียงใด ก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล เขายื่นมือขึ้นสูง โบกมือให้กับแผ่นหลังของพวกเขา และพึมพำว่า “ทุกคน ต้องกลับมานะ…”
คนเหล่านั้นได้เข้าสู่ความมืดแล้ว และในไม่ช้าเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์จากระยะไกลก็ดังขึ้น
แต่อาจารย์ใหญ่จางยังคงยืนนิ่ง แม้ว่าจะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงที่มีอากาศหนาวเหน็บ เขายังคงยืนอยู่ที่นั่น เฝ้าดูทิศทางที่ผู้คนเหล่านั้นเดินจากไป…
…
อัศวิน A ตบหัวขโมยให้สลบไปในฝ่ามือเดียว เขาส่ายหัว นับตั้งแต่ที่เขาได้จัดการมอนสเตอร์ตัวใหญ่จนเลเวลอัพก่อนหน้านี้ เขาก็มักจะอยู่ในโหมดสแตนด์บาย เวลาส่วนใหญ่ทำได้แค่ฝึกวิทยายุทธ ฝึกทักษะ และขัดเกลาพลังปราณแท้
จู่ๆ ระบบก็พูดขึ้นว่า “นับวันปีศาจยิ่งน้อยลง เราไปตามล่าพวกชื่อสีเหลืองไหม?”
ด้านฟางหนิงที่กำลังสนุกกับการอ่านนิยาย หลังจากได้ยินเรื่องนี้เข้า ก็รีบโผล่มาทันที ด้วยกลัวว่าจะถูกตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
ฟางหนิง “เอาสิ ฉันจะทำตามที่แกบอก”
ระบบ “ระบบขอดูแผนที่ระบบก่อน ตัวนี้ แย่ มืดและเล็กเกินไป ดูก็รู้แล้วว่าไม่มีค่าประสบการณ์ ส่วนตัวนี้ สว่างและตัวใหญ่มากพอ แต่ไม่มีแสงสีแดง ดูเหมือนจะไม่เคยทำบาปมาก่อน ถ้าเลือกจัดการมัน ค่าคุณธรรมจะลดลงอย่างมาก…”
ฟางหนิง “เลือกเสร็จแล้วบอกนะ…”
พักใหญ่ๆ หลังจากนั้น ในที่สุดเทพแห่งระบบก็ตัดสินใจเลือกได้ “ตัวนี้แหละ ตัวไม่ใหญ่ ไม่สว่างมากเกินไป แต่เหลืองออกแดงๆ แดงปนม่วง ต้องเคยทำความชั่วมาแล้วแน่นอน ค่าประสบการณ์ไม่สูง แต่ก็จะได้รับค่าชื่อเสียงไม่น้อย ดีเหมือนกัน จะได้เปิดโมดูลอัศวิน ถึงเวลาความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นอีก”
ฟางหนิง “แค่เทพแห่งระบบมีความสุขก็พอ…”
…
ณ อาคารที่พักที่ทรุดโทรมทางตะวันออกของเมืองฉี ในห้องคนธรรมดาคนหนึ่ง
พื้นห้องถูกย้อมด้วยคราบเลือด มีรูปเจ็ดเหลี่ยมแปลกประหลาดร่างอยู่บนพื้น มีเจ็ดมุม แต่ละมุมจะแสดงใบหน้ามนุษย์หนึ่งคน บ้างสุขบ้างโกรธ บ้างทุกข์บ้างเศร้า ทำให้ผู้เห็นรู้สึกประหลาดใจ
ในเวลานี้ ตรงกลางมุมทั้งเจ็ดนี้ มีชายในชุดคลุมสีดำคุกเข่าอยู่ ถือกริชในมือ มีเลือดหยดลงจากกริช และปากของเขากำลังขมุบขมิบอะไรบางอย่าง…
จู่ๆ อัศวิน A ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังชายคนนั้นอย่างไร้สุ้มไร้เสียง
อย่างไรก็ตาม ชายคนนั้นตั้งใจมาก ยังคงพึมพำต่อไป “เจ้าแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ด อัญเชิญจอมมาร…”
ส่วนฟางหนิงนั้นไม่แม้แต่จะโผล่หัวออกมา เขาปล่อยให้เทพแห่งระบบเป็นคนจัดการทั้งหมด
เมื่อเทพแห่งระบบควบคุมร่างกายของเขา หลังจากอัศวิน A เข้าไปบ้านของอีกฝ่ายจากทางหน้าต่างแล้ว เขาก็ต้องตกใจกับบรรยากาศประหลาดภายในห้องอย่างมาก เขาวางนิยายลง และเข้าไปซ่อนตัวในร้านตีเหล็กในมิติระบบอีกครั้ง
ช่วยไม่ได้ แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องเป็นพิธีกรรมประหลาดแน่นอน และต้องเป็นอะไรที่เหนือธรรมชาติด้วยแน่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขากลัว
กล่าวคือ เขาเริ่มตระหนักรู้แล้วว่า โลกในปัจจุบันน่ากลัวกว่าเดิมมาก ถ้าระบบไม่มาครองร่างของเขาล่ะก็ …ฟางหนิงคงไม่มีทางออกมาข้างนอกตอนฟ้ามืดอีกเลย
แต่เทพแห่งระบบกลับไม่มีความรู้สึกกลัวเลยสักนิด เขาควบคุมร่างกายของฟางหนิงโดยไม่มองดูรอบๆ จากนั้นก็ลอยไปอยู่ข้างหลังอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร และตบไปที่หัวของชายคนนั้นโดยตรง
ชายคนนั้นล้มลงกับพื้นพร้อมเสียง ‘บู้ม’ สมองกระจัดกระจาย และตายในทันที
ฟางหนิงทั้งกลัวทั้งงุนงง “เฮ้ แกสามารถฆ่าปีศาจชื่อเหลืองโดยไม่ต้องพึ่งฉันแล้วเหรอ?”
ระบบตอบกลับ “อืม เราเพิ่งมาถึง แต่โฮสต์ก็กลัวจนเข้าไปซ่อนตัวในร้านตีเหล็กแล้ว สีของหมอนั่นเลยแดงจนออกม่วง… ดูเหมือนว่าโฮสต์จะกลัวหมอนี่มากนะ แต่ระบบกลับแปลกใจ ก่อนหน้านี้ที่เจอปีศาจงูนั้น โฮสต์ดูกลัวมากกว่าเมื่อครู่อีก แต่ทำไมปีศาจงูถึงไม่เปลี่ยนเป็นสีแดงล่ะ?”
เมื่อฟางหนิงได้พูดคุยกับเทพแห่งระบบ ความกลัวก็ลดลงมาก “ไร้สาระ เพราะเธอแค่ต้องการหาลูกเขยเท่านั้น ตราบใดที่ฉันไม่ทำให้เธอโกรธ ก็จะไม่มีภัยคุกคามใดๆ น่ะสิ แต่หมอนี่ดูก็รู้แล้วว่ากำลังวางแผนทำบางอย่างที่ไม่ดีอยู่แน่นอน เพราะฉะนั้นฉันเลยอดกังวลไม่ได้…”
ระบบตอบกลับ “เอาเถอะ ได้รับประสบการณ์น้อย แต่ชื่อเสียงอัศวินกลับเพิ่มขึ้นมาก น่าแปลกจริงๆ”
…
ณ ฐานทัพหน่วยกิจการพิเศษ อาจารย์ใหญ่จางที่เดิมทีกำลังรอการกลับมาของทีมโจมตี ตอนนี้กำลังยืนทื่ออยู่บนสนาม
ผู้โจมตีทั้งหมดได้กลับมาอย่างปลอดภัยหลังจากผ่านไปสองชั่วโมง นอกจากหยาดเหงื่อบนหน้าผากแล้ว ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย
“พวกคุณทำภารกิจเสร็จเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร? สัตว์ประหลาดจะจุติตอนเที่ยงคืนไม่ใช่เหรอ หรือเป็นเพราะว่ามันปรากฏตัวก่อนและถูกพวกคุณจัดการไปแล้ว?”
โม่ซิ่ง “…”
รองผู้อำนวยการหน่วยกิจการพิเศษ “อาจารย์ใหญ่จาง เรื่องมันเป็นแบบนี้ หลังจากออกเดินทางไปถึงตำแหน่งที่หน่วยกิจการพิเศษระบุ และเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ หลังจากรอไปพักหนึ่ง สำนักสัจธรรมส่งประกาศฉุกเฉินมาอีกฉบับว่า ปีศาจทรงพลังเจ้าเล่ห์และดุร้ายตัวนั้นหาพิกัดจุติไม่เจอ และภายในสัปดาห์นี้น่าจะไม่ปรากฏขึ้นอีก”
อาจารย์ใหญ่จาง “ซึ่งก็หมายความว่า สัตว์ประหลาดตัวนั้นหลงทาง…”
โม่ซิ่ง “แยกย้าย และปิดเรื่องวันนี้ไว้เป็นความลับ!”
…………………………………………………..