เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน - ตอนที่ 38 [บทสุดท้าย] คำสัญญาสุดท้าย
- Home
- เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน
- ตอนที่ 38 [บทสุดท้าย] คำสัญญาสุดท้าย
“นี่! ดูเหมือนว่าแฟนของนาย
จะมาเยี่ยมนายแค่วันแรกเองนะ?”
พยาบาลสาวสวย ผู้ที่เรียกตัวเองว่า
“ไอดอลของผู้ป่วยทุกคน”
พูดล้อเลียน
ขณะที่ผมกำลังจะออกจากโรงพยาบาล
“ผมเข้าโรงพยาบาลแค่สามวันเอง
ไม่มีเหตุผลที่เธอต้องมาเยี่ยมทุกวัน…
แล้วก็ เธอไม่ใช่แฟนผมด้วย”
ผมตอบกลับไป และเธอก็ถอนหายใจยาว
“บางทีท่าทีแบบนี้แหละ
ที่ทำให้เธอหมดความสนใจในตัวนาย”
เธอมองผมด้วยสายตาตำหนิ
“นายไม่มีทางหาใครที่สวย ฉลาด และทุ่มเท
ให้นายแบบเธอได้อีกแล้วในชีวิตนี้…
แย่จัง เธอน่ารักขนาดนั้น
แต่นายดันมองไม่เห็น!”
“พอได้แล้ว แทนที่จะมาว่างงานแบบนี้
กลับไปทำงานซะดีกว่า”
ผมพูด และเธอไหล่ตกอย่างเหนื่อยใจ
ก่อนจะตอบกลับมา
“ถึงนายจะลำบากสักหน่อย
แต่ตอนนี้นายยังถอดเฝือกที่มือซ้ายไม่ได้
ดูแลตัวเองด้วยล่ะ อากิ”
“ขอบคุณสำหรับการดูแล…
แล้วเจอกันใหม่นะ อิโอริ”
ผมกล่าวขอบคุณเพื่อนร่วมชั้นเก่าที่ดูแลผม
ตลอดการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
ก่อนจะขึ้นรถแท็กซี่ที่ผมเรียกไว้
เมื่อผมมาถึงอพาร์ตเมนต์เล็กๆ
ห้องเดียวใกล้ที่ทำงาน
ผมสังเกตเห็นสายที่ไม่ได้รับบนโทรศัพท์
ผมโทรกลับไปยังหมายเลยนั้น
“ฮัลโหล นี่อัตสึตะนะ
ขอโทษที่ทำให้ต้องโทรกลับนะ”
ครูตอบรับสาย
“ไม่เป็นไรครับ
เป็นความผิดของผมเองที่ไม่ได้สังเกตสายทันที”
“ได้ยินว่านายประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
นายโอเคไหม?”
“กระดูกข้อมือซ้ายหัก
แต่การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี
และผมเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาเองครับ”
“เข้าใจละ
แล้วนายจะกลับมาที่นี่
ตามกำหนดอาทิตย์หน้าใช่ไหม?”
“ได้ครับ ผมจะกลับไปตามกำหนด
อาจจะจะเลยช่วงปิดเทอมฤดูร้อนไปหน่อย”
“งั้นดีเลย ฉันจะพานายไปบาร์ที่เพิ่งเปิด
เพื่อฉลองการออกจากโรงพยาบาล”
“ผมตั้งตารอเลยครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบของผม ครูหัวเราะ
และพูดว่า “นายต้องตั้งตารอได้เลย”
ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงนิ่งๆ
“ตอนที่ได้ยินว่านายเข้าโรงพยาบาล
เพราะอุบัติเหตุ ฉันคิดว่านายทำอะไร
บุ่มบ่ามอีกเหมือนตอนก่อนวันจบการศึกษา”
“ผมไม่มีแผนจะทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนั้นอีก
ในชีวิตที่เหลือแล้วครับ”
ผมพึมพำ
และเขาตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน “งั้นเหรอ”
“เอาไว้ค่อยเล่าย้อนความหลังกัน
ตอนที่เราได้ดื่มด้วยกันสัปดาห์หน้านะ”
เขาพูดต่อ
“ไว้จะโทรหานายอีกที”
หลังจากนั้น ครูก็วางสายไป
คำพูดของเขาทำให้ผมนึกย้อนถึงอดีต
เกือบสิบปีผ่านไปแล้ว
นับตั้งแต่วันก่อนพิธีจบการศึกษา
ที่ผมกระโดดลงจากดาดฟ้าของโรงเรียน
พร้อมกับนัตสึกิ
ในวันนั้น ผมคิดว่าทุกอย่างมันจบแล้ว…
แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น
หลังจากพูดคุยกับนัตสึกิ
และโล่งใจที่เธอยังมีชีวิตอยู่
ผมก็หมดสติไป
โรงเรียนหาทางจัดการกับ
เรื่องที่นัตสึกิกระโดดลงมาอย่างเงียบๆ
(ปิดข่าวนั่นแหละ)
ดังนั้นมันจึงไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่
นัตสึกิและผม
สามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
ที่เราสอบผ่านได้โดยไม่มีปัญหา
…ใช่
นัตสึกิก็สามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้เช่นกัน
หลังจากวันนั้น
นัตสึกิบอกความจริงทั้งหมดกับพ่อของเธอ
เขาเสียใจอย่างมาก แต่ไม่ได้โทษนัตสึกิเลย
แม้ความสัมพันธ์ของพวกเขา
จะไม่สามารถกลับคืนได้
และไม่ช้าพวกเขาก็หย่าร้างกัน
เขาคงรู้สึกบางอย่างกับความจริงที่ว่า
เขาทิ้งทุกอย่างไว้กับแม่ของเธอ
จนกระทั่งไม่แม้แต่จะรู้กำหนดการ
พิธีจบการศึกษาของลูกสาวตัวเอง
เพื่อชำระหนี้ที่แม่ของเธอก่อไว้
พวกเขาจึงขายอพาร์ตเมนต์ในโตเกียว…
[ราคามันเพิ่มขึ้นจากตอนที่เราซื้อมา
ถือว่าเราก็ยังได้กำไร]
นัตสึกิเล่าให้ฟังว่าเธอไม่มีวันลืม
สีหน้าหงุดหงิดของพ่อเธอ
ตอนที่พูดประโยคนั้นออกมา
ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้พบแม่อีกเลยตั้งแต่นั้นมา
อย่างไรก็ตาม มีเงินฝากเข้าบัญชี
ของพ่อเธอเดือนละ 30,000 เยน
เพื่อนำไปชำระหนี้ที่แม่เธอรับผิดชอบแทน
แม้จะค่อยๆ จ่ายคืนทีละน้อย
ตัวเลขเงินฝากที่บันทึกไว้ในสมุดบัญชี
ก็เป็นหลักฐานว่า
แม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง
หลังจากที่นัตสึกิและผม
เข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้อย่างปลอดภัย
เราก็มักจะนัดเจอกันที่โตเกียว
แม้หลังจากจบมัธยมปลายแล้วก็ตาม
นัตสึกิดูเหมือนจะมีเพื่อนใหม่ในมหาวิทยาลัย
และบางครั้งเธอก็แนะนำพวกเขา
ให้ผมรู้จักอย่างมีความสุข
…ราวกับเป็นเรื่องโกหก
เมื่อเทียบกับนรกที่เราผ่านมา
นัตสึกิและผมสนุกกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
เวลาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สี่ปีผ่านไปในพริบตา และเรา
กำลังจะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย
ผมได้งานในบริษัทเดิม
ที่ผมเคยทำในชีวิตแรก
เหตุผลที่เลือกทำงานนั้นง่ายมาก
หุ้นที่ผมเคยซื้อตอนนี้ไม่ขึ้นราคาสูงเหมือนเดิม
ผมจึงต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ
หุ้นตัวอื่นที่ขึ้นราคาสูงในช่วงเวลาสั้นๆ
ก็แตกต่างจากสิ่งที่ผมเคยรู้จัก
โลกที่นัตสึกิอาศัยอยู่ตอนนี้
แม้ดูเหมือนจะคล้ายกับโลกที่ผมเคยอยู่
แต่กลับเป็นโลกที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเราดำเนินชีวิตประจำวันต่อไปเรื่อยๆ
เวลาก็ผ่านไปเกือบสิบปี
–จนกระทั่งผมอายุเท่ากับตอนที่ผมตาย
ในชีวิตแรกของตัวเอง
***
หนึ่งสัปดาห์หลังจากออกจากโรงพยาบาล
ผมกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเป็นครั้งแรก
ตั้งแต่ช่วงปีใหม่ ถึงแม้แขนจะใส่เฝือกไว้
แต่พ่อแม่ก็ดูแลผมอย่างดี
ผมรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ แต่ก็อดรู้สึกอึดอัดไม่ได้
เลยตัดสินใจออกไปเดินเล่น
เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
เมืองที่ผมเดินผ่านหลังจากไม่ได้กลับมานาน
ยังคงเป็นชนบทที่เงียบสงบเหมือนเดิม
ในขณะที่ผมเดินช้าๆ มองดูทิวทัศน์รอบตัว
อย่างเพลิดเพลิน… ผมบังเอิญเจอเธอ
“อ้าว อากิระ กลับมาเหรอ? แขนเป็นยังไงบ้าง?”
คนที่ยิ้มให้ผมอย่างสดใสคือ
โคมาเอะ โคโยอิ เพื่อนสมัยเด็กที่ผมเคยรัก
“ใช่ ผมกลับมาช่วงปิดเทอมหน้าร้อนช้าไปหน่อย
แถมแขนบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชน
แต่ไม่มีปัญหาแล้ว
เธอล่ะ เป็นยังไงบ้างตอนนี้?”
ผมถามก่อนจะเหลือบมองที่ท้องของเธอ
ซึ่งดูใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันแค่ออกมาเดินเล่นเปลี่ยนบรรยากาศน่ะ
แล้วก็ซื้อของด้วย”
โคโยอิพูดพลางยกถุงผ้า
ที่เต็มไปด้วยของชำขึ้นมาให้ดู
“เดี๋ยวถือให้”
“ไม่เป็นไรหรอก นายยังบาดเจ็บอยู่ อย่าฝืนเลย”
“คนท้องน่ะควรดูแลตัวเองนะ”
ผมพูดแล้วคว้าถุงผ้าจากมือเธอมา
“โอเค ขอบคุณนะ”
เธอยิ้มขื่นๆ และพูดขอบคุณ
เราคุยกันเรื่องชีวิตปัจจุบันของแต่ละคน
ขณะเดินไปด้วยกัน
มันเป็นความรู้สึกแปลกสำหรับผม
ที่สามารถคุยกับโคโยอิอย่างสนุกสนานแบบนี้
“ผมมีเรื่องอยากถามนิดหน่อย ไม่ว่ากันนะ?”
“อืม ถามมาเลย”
ผมพูดต่อโดยไม่หยุดเดิน
เหมือนกับว่ามันเป็นหัวข้อที่ต่อเนื่อง
จากบทสนทนาสบายๆ
“เมื่อสองปีก่อน
ตอนที่เราเจอที่งานแต่งงานของเธอ
ผมกลัวเกินกว่าจะถาม…
ทำไมเธอถึงให้อภัยผมล่ะ?”
“ก็… คำพูดที่ผมพูดกับเธอ
ตอนเราอยู่มัธยมปลายมันแรงจริงๆ”
เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของเธอ
ผมจึงยิ้มขื่นๆ และพูดว่า “ผมขอโทษนะ”
“ที่ฉันชวนนายมาในงานแต่ง
ก็เพราะอยากให้นายเห็นว่า
ฉันมีความสุขแค่ไหน
แต่ฉันก็รู้ทันทีว่านายดีใจกับฉันจริงๆ
ฉันเลยรู้สึกว่าโกรธไปก็เท่านั้น
แล้วก็… ถึงแม้มันอาจจะเป็นการเข้าใจผิด
แต่ตอนที่ฉันหัวเราะกับสามี
ฉันเห็นนายดูเศร้าเล็กน้อย—
แค่นั้นฉันก็รู้สึกพอใจแล้ว”
ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ โคโยอิถามผมต่อว่า
“ฉันมีคำถามให้นายเหมือนกัน
นายเสียใจที่ทิ้งฉันไปไหม?”
คำถามของโคโยอิ
ทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่เธอเคยบอกผมไว้
[ถ้านายตายเมื่อไหร่
อย่าลืมดูฉันมีความสุขด้วยตาของนายเอง
รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง แล้วค่อยตายไปซะ]
“ใช่ ผมเสียใจอย่างสุดซึ้งเลยล่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบของผม
โคโยอิหัวเราะเบาๆ และพูดว่า
“น่าเสียดายจัง
ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่จะเสียใจ”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุข
การได้เห็นเธอยิ้มอย่างงดงามเช่นนั้น
ทำให้ผมมั่นใจว่าการเลิกกับเธอ
คือการตัดสินใจที่ถูกต้อง
“ก่อนรู้ตัวก็ถึงบ้านแล้ว เข้าบ้านมาดื่มชาไหม?”
“ไม่ล่ะ ผมอยากเดินเล่นอีกหน่อยน่ะ”
หลังจากปฏิเสธคำเชิญของโคโยอิ
ผมคืนของให้เธอ
“เข้าใจแล้ว
ขอบคุณที่ช่วยถือของให้นะ อากิระ”
“อืม แล้วเจอกัน”
หลังจากบอกลาโคโยอิ ผมก็เริ่มเดินต่อไป
“นี่ อากิระ!”
ขณะที่ผมเดินจากไป เธอก็เรียกผมไว้
“อะไรเหรอ?”
ผมหันกลับไปถาม
“…อากิระ นายควรมีความสุขบ้างนะ
เข้าใจไหม?”
คำพูดเหล่านั้น
ในช่วงเวลาอื่น ในชีวิตที่แตกต่างออกไป
มันคือคำพูดเดียวกันกับที่โคโยอิเคยบอกผมไว้
ผมพยักหน้าแล้วยิ้มขื่นๆ โดยไม่พูดอะไร
โคโยอิไม่เคยรู้
ในช่วงเวลาที่วนซ้ำ
ผมทำให้หลายคนไม่มีความสุข
–และนั่นคือเหตุผล…
ว่าทำไมการตามหาความสุขเพื่อตัวเอง
จึงเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
มันเป็นเหตุผลว่าทำไม
ผมถึงไม่สามารถบอกความรู้สึกที่มีต่อ
นัตสึกิ ได้เลย แม้จะรู้สึกกับเธอมาตลอด
ในขณะที่เดินครุ่นคิดไปเรื่อยๆ
ผมก็พบว่าตัวเองมาถึงหอดูดาว
ที่เคยบอกลานัตสึกิไว้ในอดีต
สมัยเรียนมัธยมปลาย ผมมาที่นี่ได้ง่ายๆ
แต่ตอนนี้แค่เดินมาก็ทำให้หายใจไม่เป็นจังหวะ
เหงื่อชุ่มเต็มตัว
เมื่อผมเข้าไปใกล้ม้านั่งที่ตั้งใจจะนั่งพัก
ผมสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนอยู่ก่อนแล้ว
“ทำไม… เธอถึงอยู่ที่นี่?”
“ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอ?”
คำถามนั้นผมถามไปยังนัตสึกิ
คนที่ควรอยู่ในโตเกียวตอนนี้
“มันไม่ใช่ว่าดีหรือไม่ดีหรอก…
แต่มันน่ากลัวนิดหน่อย”
ผมพูดติดๆ ขัดๆ
แต่นัตสึกิกลับไอเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“ฉันมีเรื่องที่อยากคุยกับนาย
ตอนที่นายกลับบ้าน เลยตั้งใจจะมาหา
ฉันคิดว่าถ้าฉันรออยู่ที่ที่นายชอบมากที่สุด
ก็คงได้เจอแน่”
ผมให้ความสำคัญกับนัตสึกิมาก
จึงไม่มีวันพูดออกมาตรงๆ ได้หรอกว่า
สิ่งที่เธอทำนั้นมันแทบไม่ต่างอะไร
จากการสะกดรอยตาม
เมื่อผมจ้องเธอเงียบๆ
นัตสึกิหน้าแดงและพึมพำเบาๆ
“ท…ทำไมเหรอ?”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก
ว่าแต่… มีเรื่องอะไรอยากคุยล่ะ? “
หลังจากได้ยินคำพูดของผม
เธอกลับมองผมอย่างขุ่นเคือง
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเริ่มพูดช้าๆ
“ชีวิตของฉันพังเพราะนาย”
ขัดกับคำพูดนั้น สีหน้าของเธอกลับดูอ่อนโยน
“วันก่อนจบการศึกษา
เราสองคนกระโดดลงจากดาดฟ้าด้วยกัน
แล้วรอดมาได้
หลังจากนั้นก็มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายเกิดขึ้น
แต่ตอนที่เรื่องดีๆ เกิดขึ้น
นายก็มักจะอยู่ข้างฉันเสมอ
ถ้านายตายไปโดยไม่มีฉัน ฉันคงแย่แน่ๆ
ดังนั้น ตอนที่ได้ยินว่านายประสบอุบัติเหตุ
จนเกือบตาย ฉันเป็นห่วงมากจริงๆ นะ”
เธอหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“เพราะงั้น ฉันเลยตัดสินใจว่า
ครั้งหน้าที่ได้เจอนาย
ฉันจะบอกสิ่งนี้ ถึงมันจะช้าไปหน่อยก็ตาม”
นัตสึกิจ้องมองผมด้วยสายตาจริงจัง
“นี่ก็สิบปีแล้วนะ ตั้งแต่วันนั้น”
ผมไม่ได้เฉื่อยชาถึงขั้นไม่เข้าใจ
ในสิ่งที่นัตสึกิพยายามจะบอก
แต่หัวใจของผมกลับรู้สึกซับซ้อน
“ผม… ไม่สมควรที่จะมีความสุข”
“ฉันไม่สนหรอก”
นัตสึกิพูดเหมือนจะต่อว่า
ที่ผมพูดอะไรเหลวไหลออกมา
“ถ้านายมีความคิดไร้สาระว่า
ฉันไม่ควรทำให้นายมีความสุขก็ช่าง
แต่นายต้องรับผิดชอบชีวิตฉันที่รอดมาได้
เพราะงั้น… นายต้องรับผิดชอบ
ทำให้ฉันมีความสุขด้วย”
ด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกล่าวหา สายตาที่ดุดัน
นัตสึกิ มิไร
ถ่ายทอดความรู้สึกของเธออย่างแน่วแน่
“รู้ไหม ตั้งแต่วันนั้นเมื่อสิบปีที่แล้ว
ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อนาย เพราะงั้น
เพื่อชดเชยให้ฉัน
นายต้องมีชีวิตอยู่เพื่อฉันตลอดไป”
“ดังนั้น พูดออกมาตอนนี้เลย ที่นี่ เดี๋ยวนี้
คำพูดที่นายไม่ได้พูดกับฉันเมื่อสิบปีก่อน”
—ผมเคยกลัวมาก่อน
ครั้งแรกและครั้งที่สี่
ผมตายตอนอายุ 28 ปีในเดือนสิงหาคมทุกครั้ง
เพราะอย่างนั้น ผมถึงกลัวว่าในครั้งนี้
ผมจะตายตอนอายุ 28 ปี
ในเดือนสิงหาคมเหมือนเดิม
ถ้าผมตายหลังจากอยู่กับนัตสึกิ
ทิ้งเธอไว้ในโลกนี้ตามลำพัง
ผมคงเสียใจไปตลอดกาล
—ผมใช้เรื่องนั้นเป็นข้ออ้าง
ที่จะไม่เผชิญหน้ากับเธออย่างจริงจัง
ปรากฏการณ์ย้อนเวลาที่เกิดขึ้น
เมื่อผมตายด้วยความเสียใจนั้น
ไม่มีใครรับประกันได้ว่า
มันจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต
ฝันร้ายนั้นยังคงคุกคามผมอยู่
—แต่ตอนนี้ผมผ่านมาได้แล้ว
เมื่อเดือนที่แล้ว ในเดือนสิงหาคม
ตอนที่ผมอายุ 28 ปี
ผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
ตอนนั้นเองที่ผมรู้ว่าผมกำลังจะตาย
เมื่อผมตระหนักถึงสิ่งนั้น—
ความเสียใจถาโถมเข้ามาจนล้นหัวใจ
เสียใจมากจนเหมือนอยากหัวเราะออกมา
[ผมน่าจะสารภาพความรู้สึก
กับนัตสึกิก่อนจะตาย…] ผมคิดในใจ
นัตสึกิ มิไร
บางทีตั้งแต่ช่วงเวลาที่ผมหลงใหล
ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเธอ—
—ตอนจบของผมอาจถูกกำหนดไว้แล้ว
เพื่อจะไม่มีวันซ้ำรอยอีก
และเพื่อจะได้ตายไปพร้อมกับเธออีกครั้ง—
“เอาล่ะ จากนี้ไปผมจะมีชีวิตอยู่เพื่อนัตสึกิ…
เราจะสร้างครอบครัวที่มีความสุข
และเมื่อเราแก่ตัวลงจนมีแต่ริ้วรอยเต็มหน้า
เราจะพูดกับกันและกันว่า ‘มันเป็นชีวิตที่ดี’
แล้วเราจะจากไปโดยไม่มีความเสียใจ
ในตอนสุดท้ายของชีวิต—
นัตสึกิ มิไร ได้โปรดอยู่กับผมตลอดไปได้ไหม…”
หลังจากได้ยินคำพูดของผม
นัตสึกิหน้าแดงก่อนจะก้มหน้าลงพึมพำเบาๆ
“ฉันไม่ได้ขอให้พูดอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”
จากนั้นเธอเงยหน้าขึ้น
สบตากับผมด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข
เธอเดินเข้ามาใกล้ เช็ดน้ำตา
ที่ไหลลงมาตามแก้มของผมโดยที่ผมไม่รู้ตัว
เธอยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับสีหน้าที่ทั้งลำบากใจ
และมีความสุข ก่อนจะหันมาพูดกับผมว่า
“ฉันสัญญา—”
นั่นคือคำพูดเดียวกับที่เธอเคยพูดกับผม
ในวันที่ความสัมพันธ์ของเราเริ่มต้นขึ้น
—”เมื่อฉันตาย นายจะต้องตายไปกับฉัน”
แต่ผมรู้ดีว่าคำพูดเหล่านั้นในครั้งนี้
มันเต็มไปด้วยความอบอุ่น
ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
จบไปแล้วครับ WN เรื่องแรกของผม
ขอบคุณทุกท่านที่ตามมากันจนจบ เย้~
รู้สึกยังไงก็สามารถพิมพ์บอกกันได้นะครับ
แล้วก็อย่าลืมเอาไปบอกต่อ
พวกเราจะต้องไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่ขม
คนอื่นๆก็ต้องขมไปกับเรา ฮึบ!
ผลงานเรื่องต่อไปเอาขมๆหรือหวานๆดีน้า
เอาไว้ถึงตอนนั้นค่อยคิดละกัน
ขอบคุณที่ติดตามครับขอบคุณจริงๆ
ขอให้ทุกคนมีวันที่ครับ
ไว้เจอกันใหม่
สำหรับคนที่ชอบเรื่องนี้มากๆ
หรือคนที่อยากสนับสนุกค่ายา
540 237 2841
ไทยพานิช (ภัทราวุธ)
ขอบคุณทุกท่านครับ