เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน - ตอนที่ 36 [บทที่ 5 มิไร] การช่วยเหลือ
- Home
- เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน
- ตอนที่ 36 [บทที่ 5 มิไร] การช่วยเหลือ
เก็นโนะ อากิระ
ถึงแม้ฉันจะไม่ค่อยได้คุยกับเขา
แต่ฉันก็รู้ว่า
เขาเป็นกัปตันของชมรมวอลเลย์บอลชาย
เป็นคนที่ได้รับความนิยม หน้าตาดี ฉลาด
และเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ
แต่แล้วจู่ๆ เขาก็สารภาพรักกับโคมาเอะ โคโยอิ
เพื่อนสมัยเด็กของเขาในห้องเรียน
และแน่นอนว่าเขาก็ถูกปฏิเสธ
ช่างเป็นเด็กผู้ชายที่น่าสงสารเสียจริง
ถึงเขาจะไม่ได้รบกวนฉันโดยตรง
แต่เขาก็ทำเหมือนฉันไม่มีตัวตน
ซึ่งทำให้ฉันไม่ชอบเขา
แต่ในวันนั้น บรรยากาศมันต่างออกไป
บางอย่างดูแปลกไป
และตอนที่เราคุยกัน ฉันกลับรู้สึกแปลกๆ
เหมือนได้รับการปลอบโยนอย่างน่าประหลาด
หลังจากนั้นไม่นาน
ฉันก็รู้ว่ามันเป็นเพราะเขาพูดภาษาญี่ปุ่น
มาตรฐานเพื่อให้ฉันเข้าใจง่าย
นั่นแหละที่ทำให้ฉันเริ่มคิดว่า
บางทีฉันอาจจะเข้ากับคนคนนี้ได้
[เมื่อไหร่ที่เธอตัดสินใจจะตาย
ผมจะตายไปพร้อมกับเธอ]
ฉันรู้ทันทีว่าเขาเป็นคนบ้า ตอนที่เขาพูดแบบนั้น
ฉันวิ่งหนีจากตรงนั้นทันที
แต่ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปิดเทอมฤดูร้อน
การแกล้งทุกวันจากพวกผู้หญิงโง่ๆ ก็หยุดไป
มีเพียงความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น
ฉันรู้ว่าเขาทำให้พวกนั้นหยุดเพื่อฉัน
ดังนั้น ฉันจึงเรียกเขาไปที่ดาดฟ้าและทำสัญญา
[เมื่อไหร่ที่ฉันตัดสินใจจะตาย—
นายจะต้องตายไปพร้อมกับฉัน]
บางทีเขาที่ถูกเพื่อนสมัยเด็กปฏิเสธ
อาจจะกำลังทุกข์อยู่เหมือนกัน
สำหรับฉัน เขาเป็นคนเดียวที่ดี
ในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้
ฉันไม่ได้อยากให้เขาตายจริงๆ
ถ้าฉันคิดแบบนั้น บางที
ฉันอาจจะเลิกมีความคิดเห็นแก่ตัว
ที่อยากตายก็ได้
***
“ขอโทษนะ มิไร
แม่พาลูกไปเข้าค่ายฤดูร้อน
ของโรงเรียนกวดวิชาไม่ได้แล้วล่ะ”
แม่พูดกับฉัน
ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่สำนึกผิดสักเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรค่ะแม่”
แม่บอกฉันว่าไม่สามารถพาฉันไปได้
เพราะการเงินของครอบครัวเราค่อนข้างไม่ดี
ถึงแม้แม่จะใส่เสื้อผ้าและกระเป๋าแบรนด์เนม
ใช้เครื่องสำอางราคาแพง
บางทีอาจเป็นเพราะเงิน
ที่ต้องใช้จ่ายกับเครื่องดื่มยามค่ำคืน
หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของแม่
อย่างไรก็ตาม มันชัดเจนว่าการนอกใจของแม่
มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาการเงินของครอบครัว
ถ้าฉันบอกพ่อ
บางทีเรื่องนี้อาจจะได้รับการแก้ไข
แต่นั่นหมายความว่าฉันแก้ไขมันเองไม่ได้
“เดี๋ยวหนูทบทวนเอาเองก็ได้ค่ะ”
“ขอบคุณนะ มิไร”
แม่แต่งตัวสวย ทาเครื่องสำอางอย่างงดงาม
และยิ้ม
จากใจจริงของฉัน…
ฉันรู้สึกว่ารอยยิ้มที่งดงามของแม่มันน่าเกลียด
วันที่เราดูดอกไม้ไฟด้วยกัน
“แม่ของนัตสึกิ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยนะ”
เขาพูดประโยคนั้นหลังจากเห็นแม่ของฉัน
ฉันไม่อาจยอมรับคำพูดนั้นได้เลย
“อย่าพูดอะไรน่าขยะแขยงแบบนั้นอีก”
แม่ของฉันเป็นผู้หญิงที่ปล่อยตัว
ห่างไกลจากการเป็นคนสวย
แต่ฉันไม่สามารถพูดมันออกมาแบบนั้นได้
ฉันไม่อยากให้เขาคิดว่าลูกสาวของเธออย่างฉัน
เป็นผู้หญิงที่ปล่อยตัวเหมือนกัน
***
การกลั่นแกล้งที่โรงเรียนสงบลงอย่างเห็นได้ชัด
ความสัมพันธ์ของฉันกับเขาก็ดีขึ้น
เราใช้เวลาอย่างสงบสุขด้วยกัน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง
แม่ของฉันค่อยๆ ซึมเศร้ามากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าฉันกลับไม่ได้ถามถึงเรื่องนั้น
ฉันไม่แม้แต่จะอยากได้ยินเลยด้วยซ้ำ
***
ในที่สุด ฉันก็ใช้เวลาคริสต์มาสกับเขา
เป็นครั้งแรกที่ฉันมอบของขวัญ
ให้ใครสักคนที่ไม่ใช่พ่อแม่
ฉันคิดหนักมาก
เพราะไม่อยากให้ของที่ดูแพงจนเกินไป
ในใจ ฉันอยากให้มันเป็นสิ่งที่เขา
สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
แต่การให้ถุงมือหรือผ้าพันคอ
ดูจะเป็นการบอกความรู้สึกที่ชัดเจนเกินไป
ซึ่งฉันก็อายเกินกว่าจะทำแบบนั้น
ถึงอย่างนั้น เมื่อมีโอกาสแบบนี้
ฉันก็อยากให้เขามีความสุขกับของขวัญของฉัน
เมื่อเราผ่านการสอบเข้า
แล้วไปจากชนบทนี้ด้วยกัน
ไปโตเกียวด้วยกัน
ฉันเลือกสายคล้องโทรศัพท์ที่เป็นรูปเอมะ
(แผ่นไม้ขอพร)
ซึ่งมีคำว่า [สอบผ่าน] เขียนอยู่
หวังว่าเขาจะเข้าใจความรู้สึกของฉัน
…พอได้เห็นใบหน้าของเขา
ที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจ
มันทำให้ฉันมีความสุขมากจริงๆ
ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรเลย
แต่เขากลับมอบของขวัญที่แสนพิเศษให้ฉัน
มันคือพิพิธภัณฑ์พืชที่บรรจุดอกเจนเทียนเอาไว้
หลังจากกลับถึงบ้าน
ฉันลองค้นดูภาษาดอกไม้ของมัน
นอกจากความหมาย
[ชัยชนะ] ที่เขาบอกไว้แล้ว
ยังมีความหมายอื่นๆ อีกหลายอย่าง
และหนึ่งในนั้นก็สะดุดใจฉันเข้า…
[จะรักคุณในยามที่คุณเศร้าหมอง]
(悲しんでいるあなたを愛する
หมายถึงการมอบการสนับสนุน
ความใส่ใจ และความรักให้ใครสักคน
ในช่วงเวลาที่ยากลำบากหรือโศกเศร้า)
ใบหน้าของฉันร้อนผ่าว
หัวใจเปี่ยมไปด้วยความสุข
—ตราบใดที่ฉันได้อยู่กับเขา
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจากนี้
ทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี
ฉันเชื่อแบบนั้นจริงๆ
***
“มิไร แม่ขอโทษนะ
เลิกคิดเรื่องเข้ามหาวิทยาลัยเถอะ”
“…หา? หมายความว่ายังไงคะ?”
หลังจากวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จสิ้น
และใกล้ถึงพิธีจบการศึกษา
แม่พูดแบบนั้นกับฉัน
ฉันไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านั้นเลย
“แม่มีเพื่อนคนหนึ่งที่เดือดร้อนเรื่องเงิน
แม่ก็เลยให้เขายืมเงินไป
แม่ใช้เงินเก็บจนหมด
แล้วยังไปกู้เงินในชื่อของแม่เองด้วย…
แล้วตอนนี้ติดต่อเพื่อนคนนั้นไม่ได้แล้ว”
“ทำไมแม่ถึงทำแบบนั้นล่ะ…?”
“ตอนที่แม่รู้สึกแย่…
คนที่ช่วยแม่ไม่ใช่พ่อหรือแม้แต่ลูก
แต่เป็นเพื่อนคนนั้น แม่ยอมทำทุกอย่างเพื่อเขา”
แม่พูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ เหมือนโทษฉัน
“คนนั้นเป็นชู้ของแม่ใช่ไหม?”
“ชู้? อย่าพูดแบบนั้นสิ
แค่ช่วยเพื่อนที่เดือดร้อนเท่านั้นเอง”
แม่พูดโดยไม่ปิดบังความรำคาญในน้ำเสียง
พลางใช้มือปัดผมหน้าม้าที่รกรุงรังของเธอ
ฉันยืนอึ้ง… และทุกความรู้สึกที่ฉันเก็บกดไว้
จนถึงตอนนี้พลันทะลักออกมา
“หนูไม่เข้าใจเลย!
ทำไมแม่พูดอะไรแบบนี้กับหนู?!
มันเป็นความผิดของแม่ทั้งหมด
มันไม่เกี่ยวอะไรกับหนูเลยด้วย!
แม่ต้องแก้ไขปัญหานี้เองสิ!
ยังไงหนูจะไปมหาวิทยาลัยโตเกียว!”
“เงียบไปเลย!”
แม่ตะโกนและตบหน้าฉัน
“ทั้งหมดนี้ก็เพราะลูกด้วยส่วนหนึ่ง!
ตอนที่ลูกถูกกลั่นแกล้งตอนอยู่มัธยมต้น
ถึงแม้ว่า
ลูกจะสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายดีๆ ได้
แต่ก็ถูกกลั่นแกล้งอีก จนต้องย้ายโรงเรียน!
แม่ย้ายมาด้วยเพราะคิดว่าเป็นการช่วยลูก
แต่แม่ไม่รู้ว่าชนบทนี้มีคนที่ใจร้ายขนาดนี้
ถ้าแม่รู้ แม่คงไม่ย้ายมา…
ไม่สิ ตั้งแต่แรก
มันคงจะดีกว่าถ้าลูกไม่ถูกกลั่นแกล้ง!”
ฉันไม่เคยเห็นแม่โกรธขนาดนี้มาก่อน
ถึงแม้ว่าคำพูดของแม่จะฟังดูสับสน
แต่ฉันสัมผัสได้ว่าแม่เกลียดฉัน
แม่ถอนหายใจลึกก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วพูดกับฉัน
“แต่มันจะโอเค
ถ้าลูกอดทนไม่เข้ามหาวิทยาลัยสักปี
แล้วมาช่วยแม่ทำงาน
เราสองคนจะใช้หนี้คืนได้แน่นอน”
“หนูไม่เคยทำงานมาก่อนเลย…”
“ทุกอย่างจะไม่เป็นไร
เพราะเราจะทำงานด้วยกัน…
แม่ขอโทษนะ มิไร
บางทีแม่อาจจะทำให้อนาคตของลูก
ลำบากเกินไป เพราะลูกไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย”
แม่พูดแบบนั้นแล้วก็กอดฉัน
ตอนแรกฉันเรียน
เพราะอยากให้แม่ภูมิใจในตัวฉัน
แต่ตอนนี้ ฉันอยากไล่ตามความฝันของตัวเอง…
“ลูกไม่จำเป็นต้องพยายามเป็นเด็กดี
ขนาดนั้นอีกแล้ว”
แม่พูดขึ้น
คำพูดนั้นทำลายทุกความพยายาม
ที่ฉันเคยทำลงทั้งหมด
“เพื่อนของแม่ เขาเคยเป็นหัวหน้าแม่
เสนอว่าจะช่วยเรื่องหนี้ เขาบอกว่าเขาสามารถ
แนะนำงานที่ได้เงินดีมากได้
และถ้าเป็นแม่กับลูก
เขาจะให้ค่าตอบแทนที่ดีกว่าทั่วไป”
“…งานแบบไหนเหรอคะ?”
ฉันไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้อะไรเลย
ฉันพอจะเดาได้ว่ามันเป็นงานแบบไหน
“–เอ่อ–คือยังไงดี–
เขาบอกว่าเขาจะแนะนำงานที่แม่ชอบ
เขาบอกว่ามันดี เพราะมิไรสวยเหมือนแม่”
คำพูดของแม่มาถึงหูฉันชัดเจน
แต่จิตใจฉันปฏิเสธที่จะยอมรับ
“…หนูไม่อยากทำแบบนั้น”
ทันทีที่พูดจบ แม่ตบหน้าฉันอีกครั้ง
“อย่าดื้อสิ!
ช่วยทำให้แม่รู้สึกว่า
การให้กำเนิดลูกนั้นคุ้มค่าหน่อยเถอะ
อย่าทำให้แม่ต้องลำบากไปมากกว่านี้…”
—เข้าใจแล้ว
ฉันจะไม่มีวันได้พบแม่ที่สวย
และใจดีคนนั้นอีกต่อไป
พอพ่อรู้เรื่องนี้
เขาจะรักแม่เหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว
ไม่เพียงแค่นั้น ฉันมั่นใจ—
—ว่าเขาคงจะไม่ให้อภัยฉัน
ที่ไม่บอกเรื่องชู้นี้กับพ่อ
“หนูเข้าใจแล้วค่ะ”
นี่คือทั้งหมดที่ฉันพูดออกไป
“ขอบคุณนะมิไร
เขาบอกว่าเริ่มได้ทันทีที่ลูกเรียนจบมัธยมปลาย
เราไปพบเขาด้วยกัน
หลังพิธีจบการศึกษาอีกวันดีไหม?”
คำพูดของผู้หญิงตรงหน้า
ที่ดูมีความสุขไม่เข้าถึงจิตใจฉันเลย
“ขอบคุณนะ มิไร แม่รักลูกนะ”
…ฉันไม่สนอะไรอีกแล้ว
–ตายให้มันจบๆไปดีกว่า
วันนั้น ฉันเขียนจดหมายลาตาย
เมื่อฉันตัดสินใจตายแล้ว
ความคิดในหัวกลับปลอดโปร่งขึ้น
ฉันไม่รู้สึกกังวลหรืออึดอัดอีกต่อไป
และคืนนั้นฉันก็นอนหลับสนิท
จากนั้น ฉันไปโรงเรียนแต่เช้าตรู่
แล้วขึ้นไปบนดาดฟ้าจ้องมองท้องฟ้า
ฉันนึกถึงวันที่ฉันได้พูดคุยกับเขา
เป็นครั้งแรกบนดาดฟ้านี้
[เมื่อไหร่ที่เธอตัดสินใจจะตาย
ผมจะตายไปพร้อมกับเธอ]
ฉันรู้ว่าเขาจะรักษาสัญญานั้น
ฉันคิดว่าสัญญานั้น
จะหยุดความคิดฆ่าตัวตายของฉันไว้ได้
แต่ฉันคิดผิด
ผู้ชายที่ฉันรัก เขาจะตายไปพร้อมกับฉัน
ในช่วงเวลาที่ฉันยังคงสวยงาม
เมื่อคิดถึงความเจ็บปวดทั้งหมดที่ฉันเคยทน…
นี่จะเป็นรางวัลสุดท้ายของฉัน
รางวัลที่แสนวิเศษแบบนี้
ฉันคงไม่ถูกเฆี่ยนตีอีกแล้ว ใช่ไหม?
***
“เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงไม่อยากให้นายรู้…
ฉันไม่อยากให้นายคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่แย่!
แต่มันแย่มากเลยนะ
ทำไมนายถึงต้องมาเห็นเรื่องแบบนั้นด้วย…”
นัตสึกิพูดพลางน้ำตาไหลอาบแก้ม
ผมรู้อยู่แล้วถึงบางส่วนของสิ่งที่เธอพูด
จากจดหมายลาตายที่ผมถืออยู่ในมือ
แต่การได้ฟังเรื่องราวจากปากของเธอโดยตรง
มันทำให้ผมรู้ว่าผมยังเข้าใจเธอไม่ดีพอ
“นัตสึกิไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
ผมไม่คิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่แย่หรอก”
“โกหก! ถ้าฉันเป็นเด็กที่ดีกว่านี้
ฉันคงไม่ถูกกลั่นแกล้งจนต้องย้ายโรงเรียน!
ถ้าฉันบอกพ่อทันทีที่รู้เรื่องแม่มีชู้
เรื่องทั้งหมดคงไม่เป็นแบบนี้!”
นัตสึกิปฏิเสธคำพูดของผมทันที
“ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแบบนั้น…
แต่เพราะฉันได้เจอนาย
ฉันถึงคิดว่ามันก็ดีนะที่ได้ย้ายมาที่นี่
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความผิดของฉัน
ที่ทำให้พ่อกับแม่ไม่มีความสุข…
แต่ถึงอย่างนั้น
ฉันก็ยังคิดว่ามันดีที่ได้เจอนายที่นี่…”
นัตสึกิจ้องมาที่ผมและเอ่ยด้วยความเจ็บปวด
“แน่ล่ะ ฉันคงเป็นผู้หญิงที่แย่จริงๆ
คนที่ทำให้ใครมีความสุขไม่ได้เลย…”
ความสิ้นหวัง การยอมแพ้
และการดูถูกตัวเองฉายชัดบนใบหน้าของเธอ
ความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน
ที่เธอสะสมไว้จนถึงตอนนี้…
ได้ทำลายหัวใจของนัตสึกิ
อย่างไม่อาจเยียวยาได้
“นะ… ช่วยตายไปพร้อมกับฉันที่นี่ได้ไหม?
ไม่อย่างนั้น สำหรับฉัน…”
—ไม่อย่างนั้น
เธอจะไม่มีทางหลุดพ้นจากความทุกข์ได้เลย
คำกระซิบที่เปี่ยมด้วยความสิ้นหวังของเธอ
แทรกซึมเข้ามาในหูของผม
ผมกอดเธอแน่นด้วยสองแขน แล้วพูดกับเธอ
“ผมคิดว่าผมยังคงหลงตัวเองเกินไป”
คำพูดของอิโอริที่เคยกระตุ้นผม
ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ได้ทำทุกอย่าง
ผิดไปเสียทั้งหมด
“ผมมาที่นี่ด้วยความมั่นใจว่า
ผมจะช่วยหัวใจของนัตสึกิได้ แต่สุดท้าย
ผมก็ไม่ได้เข้าใจเธอจริงๆ
และการช่วยเหลือที่เธอต้องการ
มันแตกต่างจากสิ่งที่ผมอยากจะให้เธอ”
การพูดว่า
[ต้องอยู่ต่อไปไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน]
นั้นพูดง่าย
แต่เธอจะได้รับการเยียวยา
จากคำพูดเหล่านั้นไหม?
ไม่เลย
หัวใจของเธอไม่ได้รับการเยียวยา
เพราะคำพูดแบบนั้น
สำหรับเธอ การช่วยเหลือเดียวที่เธอเชื่อ
คือการตายไปพร้อมกับผม
และก็ไม่มีอะไรที่ผมจะช่วยเธอได้
มากไปกว่านี้อีกแล้ว
ผมไม่มีทรัพย์สินพอ
ที่จะใช้หนี้ที่แม่ของเธอก่อไว้ในตอนนี้
ผมไม่สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์
ในครอบครัวของเธอได้
สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้
ไม่ใช่การดันเธอไปข้างหน้า
เพื่อให้เธอเดินต่อไป
สิ่งที่ผมทำได้ คือการตกลงไปในหุบเหว
พร้อมกับเธอแค่นั้นเอง
“มันเป็นสัญญาใช่ไหม?”
นัตสึกิหยุดร้องไห้หลังจากได้ยินคำพูดของผม
ในตอนนั้น ผมยังคงกอดเธอไว้
และลุกขึ้นยืนพร้อมกับเธอในอ้อมแขน
“เธอจะกลัวถ้ามองลงไป ดังนั้น
อย่างน้อยที่สุดในครั้งสุดท้ายนี้
มองแค่ผมก็พอ”
ผมพูดกับนัตสึกิ
เธอดูเขินเล็กน้อย
และพึมพำว่า “อืม” พร้อมพยักหน้า
“ผมขอโทษ–ที่ไม่สามารถช่วยเหลือนัตสึกิได้
ผมไม่เหมือนกับตัวเอกในนิยายที่แสนวิเศษ”
“ขอบคุณนะ… อากิระ
ฉันได้รับการช่วยเหลือมากพอแล้ว”
เธอพูดแบบนั้นพร้อมกับจูบแก้มผมเบาๆ
จากนั้น ผมก็กอดเธอแน่น
จะไม่ปล่อยให้เธอไปจากผม
จะไม่ปล่อยไปจากอ้อมแขนขอผมอีก–
—แล้วเราก็กระโดดลงจากดาดฟ้าด้วยกัน
ใครที่เข้ามาเพราะ tag romance
เราคือพวกเดียวกันครับ
เพราะผมก็โดนหลอกมาคือกัน
ถึงขั้นต้องมาแปลให้ทุกคนอ่าน