เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน - ตอนที่ 30 [บทที่ 5 มิไร] ล้มลง
- Home
- เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน
- ตอนที่ 30 [บทที่ 5 มิไร] ล้มลง
การสอบเสร็จสิ้นลงแล้ว
ผมไม่สนใจว่าผลสอบจะออกมายังไง
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมคือ…
หยุดการฆ่าตัวตายของนัตสึกิให้ได้
ตั้งแต่วันงานเทศกาลจนถึงวันนี้
นัตสึกิไม่ได้ถูกกลั่นแกล้งรุนแรงอีก
แม้ว่าเธอจะยังคงถูกเมินอยู่ก็ตาม
แน่นอนว่าเธอกับโคโยอิ
ก็ไม่ได้ติดต่อกันเลยเช่นกัน
ผมคิดว่าความเครียดที่นัตสึกิแบกรับ
นั้นเบาลงกว่าช่วงมัธยมปลายครั้งก่อน
แต่ก็ยังไม่อาจมองในแง่ดีได้
พรุ่งนี้เป็นวันพิธีจบการศึกษา
หรือก็คือวันนี้…ในวัฏจักรของเหตุการณ์
นี่คือวันที่นัตสึกิ มิไร มักจะจบชีวิตตัวเองเสมอ
แต่ครั้งนี้ ผมสามารถสร้างความเชื่อใจ
ระหว่างผมกับนัตสึกิได้มากกว่าครั้งไหนๆ
…มันจะต้องได้ผล
ผมจะทำในสิ่งที่ครั้งก่อนผมทำไม่ได้
ผมมั่นใจว่าผมจะหยุดการฆ่าตัวตาย
ของนัตสึกิได้ในครั้งนี้
ไม่…ผมจะหยุดมันให้ได้แน่นอน…!
ด้วยความตั้งใจแน่วแน่นั้น ผมออกจากบ้าน
***
ช่วงบ่ายแก่ ๆ ผมมาถึงโรงเรียน
บรรยากาศภายในโรงเรียนที่ไร้เงานักเรียน
ชั้นปีที่สามดูเหงาหงอยไปหน่อย
หลังจากแวะดูห้องเรียนชั้นปีที่สามที่ว่างเปล่า
ผมเดินขึ้นบันได
ปกติแล้ว เธอจะเรียกผมไปตอนกลางคืน
หากผมไปที่ดาดฟ้าตอนกลางวัน
นัตสึกิคงไม่อยู่ที่นั่น
แต่นั่นคือสิ่งที่ผมคาดหวังอยู่แล้ว
ผมตั้งใจจะรอเธอ แล้วพาเธอกลับเข้าไปในตัว
อาคารเมื่อเธอขึ้นมาที่ดาดฟ้า
จากนั้นค่อย ๆ ฟังเรื่องราวของเธอ
และพยายามพูดเกลี้ยกล่อม
ผมคิดว่าปล่อยให้เธออยู่คนเดียวบนดาดฟ้า
คงเสี่ยงเกินไป
นี่คือสิ่งที่ผมคิดไว้
แต่เมื่อผมไปถึง
ประตูทางขึ้นดาดฟ้าที่ผมคาดว่าจะล็อก
กลับเปิดอยู่ ผมสูดลมหายใจลึกๆ
เพื่อทำใจให้สงบก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
ในตอนแรก ผมไม่เห็นใครอยู่บนดาดฟ้า
แต่เมื่อมองดูดี ๆ ผมเห็นนัตสึกิในชุดนักเรียน
กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่อีกฝั่งของราวกั้น
เธอขึ้นมาที่ดาดฟ้าเร็วกว่าที่ผมคาดไว้
การใช้แผนที่ผมเตรียมไว้อาจทำได้ยาก
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะล้มเหลว
ผมก้าวขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วเดินตรงไปหานัตสึกิ
“มันอันตรายที่จะอยู่ตรงนี้นะ”
ผมพูดกับเธอ
จากนั้นก็ปีนข้ามราวกั้นไปนั่งข้าง ๆ
“แค่นิดเดียวเอง ไม่เห็นจะต้องกังวลเลย
จริงไหม?”
นัตสึกิไม่ได้ดูตกใจกับการปรากฏตัวของผม
เธอเพียงแค่ยิ้มอย่างมีความสุข
“นายคิดว่าฉันจะอยู่ที่นี่เหรอ?”
ผมจับมือนัตสึกิไว้แน่น
ไม่ยอมปล่อยให้เธอไปไหน
“ก็…ประมาณนั้น”
ผมตอบ เธอบีบมือผมกลับอย่างแน่นหนา
“มันเหมือนพรหมลิขิตเลยนะ”
นัตสึกิพึมพำด้วยสีหน้าเหม่อลอย
ผมกัดริมฝีปาก
ผมจะไม่มีวันยอมรับ
ว่านี่คือพรหมลิขิตของนัตสึกิที่จะต้องตายในวันนี้
***
“วันที่เราคุยกันครั้งแรกตรงนี้
ดูเหมือนนายอยากจะตาย
ฉันคิดว่านายมันแค่คนโง่
ที่ถูกเพื่อนสมัยเด็กปฏิเสธ…
แต่ตอนนี้ ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นแล้ว”
นัตสึกิพูดต่อ น้ำเสียงเรียบเฉย
ขณะที่เท้าของเธอแกว่งไปมา
“ต่อให้เราอยู่จนชีวิตยาวนานเกินครึ่งศตวรรษ…
ก็ไม่มีอะไรดีเกิดขึ้นอยู่ดี
ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน
ก็ไม่มีวันได้รับรางวัล”
น้ำเสียงของนัตสึกิสงบนิ่ง
ราวกับพูดถึงเรื่องธรรมดา
“ไม่มีอะไรที่จะเกินจินตนาการของฉันเกิดขึ้น
ชีวิตก็แค่การยืนยัน
ยืนยันถึงชีวิตที่น่าสมเพช
และธรรมดายิ่งกว่าธรรมดา…
แล้วก็จบลงแค่นั้น”
เธอหันมามองผม
ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“แทนที่จะใช้ชีวิตที่น่าเบื่อแบบนั้นไปจนแก่ตัว
และคิดว่าสิ่งดีๆไม่เคยเกิดขึ้น…
จะไม่ดีกว่าเหรอที่จะจบมันวันนี้
ขณะที่ทุกอย่างยังคงสวยงามอยู่…
ให้ทุกอย่างจบไปพร้อมกับคนที่ฉันรัก?”
เธอพูดและบีบมือผมแน่น
ราวกับต้องการการยืนยันจากผม
จากนั้น เธอก็ลุกขึ้นยืน
ดึงมือผมให้ลุกขึ้นตามเธอ
ถ้าก้าวเพียงก้าวใหญ่ไปข้างหน้า
ผมจะตกลงไปทันที
และถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น
ผมมั่นใจว่าจะไม่มีชีวิตรอด
—และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงอยู่ตรงนี้
“ผมก็ชอบนัตสึกิเหมือนกัน”
ผมพูดพลางมองเธอ
“ฉันดีใจมาก… ดีใจจริง ๆ”
เธอกระซิบด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข
ราวกับฝันที่เป็นจริง
“งั้นเรามาใช้ชีวิตไปด้วยกันเถอะนะ
ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปด้วยกัน”
ผมกำลังจะเปิดปากพูดคำนั้นออกไป…
“ฉันคิดว่าฉันจะตายตอนนี้”
นัตสึกิพูดออกมาก่อน แล้วจู่ ๆ เธอก็จูบผม
ริมฝีปากอันนุ่มของนัตสึกิปิดปากของผม…
จากนั้น เธอก็พุ่งตัวลงไป
พร้อมทั้งดึงผมลงไปด้วย
บนแท่นที่ไม่มั่นคง น้ำหนักของคนที่อยู่บนตัว
ทำให้ผมเสียการทรงตัว
นัตสึกิและผมตกลงมาจากดาดฟ้า
–นี่เหรอ? นี่คือวิธีที่ผมจะตาย?
ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย…
ทำไมเธอถึงไม่ฟังผมบ้าง?
ความคิดของผมถูกขัดจังหวะ
ด้วยแรงกระแทกที่วิ่งไปทั่วร่างกาย
ในขณะที่สติของผมเลือนราง
ผมเห็นร่างกาย
ที่ยังคงมีเค้าของนัตสึกิอยู่เลือนราง
ถึงแม้สติจะพร่ามัว
ผมก็รู้ทันทีว่ามันสายเกินไปอีกครั้ง
ถูกครอบงำด้วยจุดจบที่ไม่เป็นธรรม
และความช่วยเหลือที่ไร้ผล
—ผมเผลอพูดคำที่ไม่ควรพูดออกไป
“ถ้าอยากตายขนาดนั้น… ก็ตายไปคนเดียวสิวะ”
***
ผมตื่นขึ้นมา เห็นเพดานที่ไม่คุ้นเคยในสายตา
และไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย
ผมไม่สามารถรู้สึกอะไรได้ทั้งร่าง
ดูเหมือนว่าผมจะรอดชีวิต…
“คุณเก็นโนะคะ ฉันคิดว่าเขาฟื้นแล้ว
กรุณาเรียกหมอมาเถอะ!”
คำพูดของพยาบาลดังขึ้นในหูของผม
หมอรีบเข้ามาและอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น
เป็นโชคดีที่โรงเรียนยังมีคนอยู่ตอนนั้น
และครูได้เรียกรถพยาบาลทันที
เขาพูดด้วยความลังเลอย่างมากว่า…
ร่างของนัตสึกิทำหน้าที่เป็นเบาะรองให้ผม
หมอบอกว่ายาชายังอยู่ในร่างกายของผม
และสติรวมถึงประสาทสัมผัสยังไม่ชัดเจน
แต่ถ้าผมทำกายภาพบำบัด
ผมจะสามารถใช้ชีวิตประจำวัน
ได้ตามปกติอีกครั้ง
หลังจากนั้น ครอบครัว
และตำรวจมาเยี่ยมห้องพักฟื้น
ในระหว่างการสอบปากคำ
ผมตอบอย่างชัดเจนว่า
“[ผมโดนลากไปเกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตาย]”
ไม่นานนัก พ่อนัตสึกิก็มาถึง
เขาน้ำตาคลอและคุกเข่าลงขอโทษผม
ผมไม่อยากพูดอะไร จึงไม่ได้ตอบอะไรเขา
ก่อนที่ผมจะรู้ตัว เขาก็ออกจากห้องไปแล้ว
เราคงไม่ได้พบกันอีก
ในขณะที่ผมพักฟื้นในโรงพยาบาล
โดยไม่มีอะไรให้ทำ ผมก็ได้แต่นั่งคิดซ้ำไปซ้ำมา
ทุกอย่างไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
ผ่านประสบการณ์นี้ ผมเข้าใจอย่างดี
–โชคชะตาของนัตสึกิ
คือการกระโดดลงไปที่นั่นในวันนั้น
ผมไม่สามารถช่วยเธอได้
แค่รู้เท่านี้ก็พอแล้ว
ผมทำทุกอย่างที่ทำได้แล้ว แต่ผมช่วยเธอไม่ได้
ดังนั้น จึงไม่มีอะไรให้เสียใจอีก
แต่ผมก็ไม่อยากตายอีกต่อไป
การฆ่าตัวตายต้องใช้พลังมหาศาล
ถ้าไม่มีความทุกข์ เศร้า ความยากจน
หรือความโกรธเป็นเชื้อเพลิง
คนเราก็ไม่สามารถฆ่าตัวตายได้ด้วยตัวเอง
จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
–ผมต้องอยู่ต่อไป โดยไม่มีความหมายใดๆ
***
หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล
ผมต้องไปทำกายภาพบำบัดทุกวัน
โรงเรียนที่เคยตอบรับผม
กลับปฏิเสธการลงทะเบียนของผม
ผมจึงทุ่มเทกับการทำกายภาพบำบัดอย่างหนัก
มันเป็นกระบวนการที่เจ็บปวด
แต่ในความเจ็บปวดนั้น
มันกลับทำให้ผมไม่ต้องคิดถึงอะไร
“วันนี้กายภาพบำบัดก็หนักเหมือนเดิมใช่ไหม?”
“อืม”
ผมตอบโคโยอิที่อาสาพาผมไปโรงพยาบาล
ด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“ถ้าเดินได้อีกครั้งก็คงดีเนอะ”
ผมตอบรับคำพูดที่สดใสของโคโยอิ
ด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“ว่าแต่ ทำไมเธอถึงเป็นคนพาผมไปล่ะ โคโยอิ?”
ความรู้สึกต่อเวลา
หรือความทรงจำของผมยังคงเลือนลาง
เธอมีสีหน้าที่เจ็บปวดเมื่อได้ยินคำถามนั้น
แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ปิดเทอมฤดูร้อนพอดี ฉันเลยอยากดูแล
เพื่อนสมัยเด็กตอนที่กลับบ้าน”
“อ้อ งั้นเองเหรอ”
ผมตอบกลับไปอย่างไร้อารมณ์
ดูเหมือนฤดูจะเปลี่ยนไปเป็นฤดูร้อนแล้ว
“…ใช่ พรุ่งนี้นายไปกายภาพบำบัด
เวลาเดิมใช่ไหม?”
“อืม”
วันต่อมา โคโยอิก็พาผมไปโรงพยาบาลอีกครั้ง
แม้จะเป็นความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ
แต่ความใส่ใจของโคโยอิช่วยให้ผม
ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไปในแต่ละวัน
***
เวลาผ่านไปนานตั้งแต่ผมเริ่มต้น
การทำกายภาพบำบัด
แม้ว่าร่างกายยังมีผลกระทบหลงเหลืออยู่บ้าง
แต่ผมก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
ความเบื่อหน่ายในการใช้ชีวิตอยู่ในชนบท
ทำให้ผมตัดสินใจย้ายไปโตเกียว
[นักศึกษามหาวิทยาลัยมักมีเวลาว่างเยอะ
นายไม่ต้องกังวลหรอก]
ผมคิดว่าพ่อแม่พูดอะไรทำนองนี้
โคโยอิมาช่วยผมจัดของในอพาร์ตเมนต์แบบ
1K ที่ผมจะเริ่มต้นอาศัยอยู่ตั้งแต่วันนี้
(มีแค่ห้องนอนและห้องครัว)
ขณะที่โคโยอิใส่ใจดูแลผม
ความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในหัว
“พูดถึงเรื่องนี้ โคโยอิ…
พวกเราดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่นะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของผม เธอพยายามยิ้ม
แต่ก็ทำไม่ได้ น้ำตาไหลเงียบๆลงมาบนใบหน้า
“ฉันขอโทษนะ อากิระ…”
โคโยอิเอ่ยคำขอโทษ
“อากิระ นี่ไม่ใช่ความผิดของนายเลย ฉันเข้าใจ
ว่านายรู้สึกแย่เพราะช่วยเด็กคนนั้นที่ถูกกลั่น
แกล้งไม่ได้ แต่…มันไม่ใช่ความผิดของนาย
แน่นอน”
โคโยอิสวมกอดผม น้ำตาของเธอไหลไม่หยุด
“คนที่กลั่นแกล้งเธอ คนที่แสร้งทำเป็นไม่เห็น
และทุกคนที่ปล่อยให้เธอจนตรอก…
พวกเขาใช้ชีวิตต่อไป
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”
ความอบอุ่นจากเธอส่งผ่านถึงผม
“มันไม่ใช่ความผิดของอากิระ และมันก็ไม่ใช่
ความผิดของเด็กคนนั้นที่คิดแต่เรื่องฆ่าตัวตาย
คนรอบข้าง รวมถึงตัวฉันเองที่ผลักดันให้เธอ
ถึงทางตัน…พวกเราทุกคนผิดกันหมด”
“แต่มันคือความผิดของผม
คนไร้ค่าที่ไม่สามารถช่วยใครได้เลย…”
ผมพูดออกไปอย่างขมขื่น
โคโยอิส่ายหัวและตอบกลับ
“ได้โปรด…อย่าแบกรับมันไว้คนเดียวเลย
อย่างน้อยที่สุด ฉันจะไม่มีวันลืมความผิด
ที่ฉันมีต่อเด็กคนนั้น ฉันจะรับมันไว้ด้วย
และจะอยู่เคียงข้างนาย
ฉันอยากสนับสนุนนาย…”
เธอเงยหน้าขึ้น มองผมด้วยสายตาที่แน่วแน่
และพูดว่า
“—อากิระ นายสมควรที่จะมีความสุข”
ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะมีความสุข
แม้ว่าผมจะรู้ดีว่าเป็นแบบนั้น…
แต่น้ำตาที่ไหลของเธอ
และสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
ค่อยๆ ทลายกำแพงในใจผมลง
ก่อนที่ผมจะรู้ตัว
ริมฝีปากของเราก็สัมผัสกันอย่างแผ่วเบา…
มันเริ่มหวานกับเพื่อนสมัยเด็กไง
บอกแล้วว่ามันจะเริ่มหวาน