เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน - ตอนที่ 28 [บทที่ 5 มิไร] คืนดี
- Home
- เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน
- ตอนที่ 28 [บทที่ 5 มิไร] คืนดี
“เธอเคยอยู่ในห้องน้ำแล้วโดนสาดน้ำสกปรกใส่
พร้อมกับเสียงหัวเราะของคนอื่นไหม?
เธอเคยเจอแมลงสาบถูกใส่ไว้ในกล่องข้าว
ของเธอไหม?
เคยโดนดูถูกด้วยคำพูดหยาบคาย
ต่อหน้าทุกคนไหม?
เคยโดนฉีกชุดนักเรียนของตัวเองจนขาดไหม?
เคยโดนขังไว้ในโรงยิมที่เต็มไปด้วยฝุ่น
แล้วปล่อยทิ้งไว้นานหลายชั่วโมงไหม?
เธอรู้ไหมว่ามันรู้สึกยังไง
ที่ต้องเปิดกล่องรองเท้าของตัวเอง
ด้วยความระแวงในทุกๆเช้า?”
นัตสึกิพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบ
อิโอริได้แต่เงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
“ไม่เคยใช่ไหม?
แล้วเธอจะเข้าใจได้ยังไง
ว่าฉันรู้สึกแย่ขนาดไหนในตอนนั้น?
ไม่หรอก เธอไม่มีทางเข้าใจได้เลยใช่ไหม?
พวกเธอตอนนั้นหัวเราะกันอย่างมีความสุข
ถ้าเธอเข้าใจความรู้สึกที่น่ากลัวนั้น
เธอจะไม่มีวันหัวเราะได้แบบนั้น!”
นัตสึกิพูดเสียงดังขึ้น
ก่อนจะคว้าคอเสื้อของอิโอริแล้วจ้องเขม็ง
“ฉันจะบอกให้ว่าเธอคืออะไร
เธอก็แค่สัตว์ที่คล้ายมนุษย์
เป็นข้ออ้างที่น่าสมเพชของสิ่งมีชีวิต
ที่ไม่มีความเข้าใจในความรู้สึกของมนุษย์
แทบจะน่าสังเวชเลย
ที่เธอเกิดมาในร่างมนุษย์
โดยความผิดพลาดอะไรบางอย่าง
และไม่เหมือนกับเธอ ฉันคือมนุษย์ตัวจริง
ดังนั้นฉันจะให้คำแนะนำ
กับเศษซากต่ำกว่ามนุษย์อย่างเธอ”
อิโอริตัวสั่นไปทั้งร่าง
ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ของนัตสึกิ
“ตลอดชีวิตที่เหลือของเธอ
เธอควรตระหนักว่าเธอไม่ใช่มนุษย์
เพราะถ้าเธอประมาทแม้แต่นิดเดียว
เธอจะหลวมตัวเข้าไปพัวพันกับอาชญากรรม
หรือเรื่องเลวร้ายอะไรบางอย่าง
จนสุดท้ายก็ต้องเจอตำรวจแน่
ฉันไม่อยากให้เงินภาษีประชาชน
ถูกใช้อย่างไร้ประโยชน์
ดังนั้นระวังอย่าทำอะไรผิดอีก!”
นัตสึกิผลักอิโอริออกไปอย่างแรง
ราวกับไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะร้องไห้
จากนั้นเธอก็พูดต่อด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“อย่างที่ฉันบอกไปก่อนหน้านี้
ฉันไม่สนใจสิ่งที่เธอทำกับฉันอีกแล้ว
มันเสียเวลาเกินไปที่จะใส่ใจ
กับเรื่องที่เศษซากไร้ค่าของมนุษย์อย่างเธอทำ”
อิโอริยกมือขึ้นปิดหน้า
บางทีเธอคงไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของเธอ
“งั้น…จะออกไปจากสายตาของฉันได้หรือยัง?”
นัตสึกิพูดพลางจ้องอิโอริ
อิโอริพูดเพียงคำเดียว
“ฉันขอโทษจริงๆ”
หลังจากพูดคำนั้นจบ
เธอก็เดินออกจากดาดฟ้าไป
ผมสลับสายตาระหว่าง
แผ่นหลังของอิโอริที่เดินจากไป
กับใบหน้าไร้ความรู้สึกของนัตสึกิ
ดูเหมือนนัตสึกิคงต้องการเวลาสักพัก
เพื่อสงบจิตใจ ผมตัดสินใจตามอิโอริไป
เมื่อผมออกจากดาดฟ้าไป
ก็พบว่าอิโอรินั่งคุดคู้อยู่และกำลังสะอื้น
“อิโอริ เธอโอเคไหม?”
ผมย่อตัวลงแล้วถามเธอ
“นายมันแย่มาก อากิ”
อิโอริตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ทำไมนายถึงมาหาฉัน?
ทั้งๆ ที่เธอดูเหมือนจะไม่เป็นไร
แต่นายก็รู้ว่าเธอไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม?
นัตสึกิรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าโทวะ
นายควรจะอยู่กับเธอสิ”
อิโอริพูดด้วยเสียงสะอื้น
ทั้งที่เธอเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
แต่เธอก็ยังพูดแบบนั้น
เธอพูดถูก
ผมรู้ดีว่านัตสึกิไม่ได้แค่โกรธ
แต่เธอเจ็บปวดมาก
ผมแค่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับนัตสึกิ
เลยหลีกหนีมาใช้อิโอริเป็นข้ออ้าง
“ฉันจะไปขอโทษนัตสึกิเหมือนกัน…
ขอบคุณนะ อิโอริ”
“รีบๆไปหาเธอสิ”
อิโอริพูดโดยไม่แม้แต่จะมองผม
ผมอยากจะตบไหล่เธอ
แล้วบอกว่าเธอทำได้ดีมาก
แต่ผมรู้ว่าถ้าทำแบบนั้น
อิโอริคงจะเกลียดผมจริงๆ
ผมเปิดประตูดาดฟ้าอีกครั้งและก้าวเข้าไป
ผมยืนอยู่ต่อหน้านัตสึกิ
ที่ยืนอยู่ด้วยท่าทางเหนื่อยล้า
และเรียกเธอเบาๆ
“ผมอยากจะขอโทษนัตสึกิเหมือนกัน”
“เรื่องพายัยนั่นมาที่นี่เหรอ?
ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ ไม่เป็นไร ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้ว”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น…
มันเป็นเรื่องที่ผมอยากจะขอโทษด้วยตัวเอง”
“…ฉันไม่อยากได้ยินคำขอโทษ
แค่เพื่อทำให้ตัวเองสบายใจหรอกนะ”
นัตสึกิมองมาที่ผม
ด้วยสายตาที่เหมือนกำลังพยายามยึดเหนี่ยวผม
ผมไม่ควรผลักเธอไปไกลกว่านี้
ใช่ ผมคิดแบบนั้น
แต่นี่มันเพราะผมห่วงเธอจริงๆ งั้นเหรอ?
หรือผมแค่พยายามหนี
จากการต้องเผชิญหน้ากับเธออีกครั้ง?
“…ตอนที่นัตสึกิรู้สึกเจ็บปวด
และทุกข์ทรมานตลอดเวลาที่ผ่านมา
ผมสังเกตเห็นมัน
แต่ผมก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น
และหัวเราะไปกับคนอื่น
ผมแอบมองจากที่ไกลๆ
โดยที่ไม่ยอมลงมือทำอะไรเลย
ผมมันเป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่ง
ที่ไม่เคยสนใจความรู้สึกของคนอื่นเลย…
ผมขอโทษจริงๆ”
ทั้งๆ ที่ผมตั้งใจจะช่วยนัตสึกิ
แต่ผมกลับสรุปเอาเองถึงความรู้สึกของคนอื่น
คิดว่าตัวเองเข้าใจ
ทั้งที่จริงๆ แล้วผมทำอะไรไม่ได้เลย
ไม่ว่าผมจะอายุมากขึ้นแค่ไหน
ไม่ว่าผมจะวนซ้ำชีวิตมัธยมปลายกี่ครั้ง
ผมก็ยังคงไร้ค่าเหมือนเดิม
“นายไม่เหมือนคนอื่นนะ!”
นัตสึกิส่ายหน้า ปฏิเสธคำพูดของผม
“ใช่ ผมไม่เหมือนคนอื่น…
ทั้งที่ผมเองก็ทำร้ายนัตสึกิเหมือนกัน
แต่ผมกลับมานั่งข้างๆเธอ
โดยไม่เคยเอ่ยคำขอโทษที่เหมาะสมเลย
และแกล้งทำเหมือนว่าตัวเองเปลี่ยนไปแล้ว…
ผมมันต่ำทรามที่สุดยิ่งกว่าคนไหนๆ อีก”
“ถ้าอย่างนั้น…!”
นัตสึกิร้องออกมาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา
เมื่อได้ยินคำพูดของผม
“…ถ้านายรู้สึกผิดจริงๆ
งั้นกระโดดลงไปจากดาดฟ้าสิ!”
เหมือนวันนั้นที่เราคุยกันครั้งแรกที่นี่
นัตสึกิชี้ไปที่อีกฝั่งของราวกั้น
แล้วพูดแบบนั้นกับผม
แต่ตอนนี้ มันต่างจากวันนั้น
“ถ้านัตสึกิต้องการให้ผมตายจริงๆ ผมก็จะทำ”
ผมข้ามเส้นนั้นไปแล้วในชีวิตผ่านมา
ผมเชื่อว่าผมสามารถก้าวข้ามความเจ็บปวด
ทุกข์ทรมาน และความกลัวอีกครั้ง
พร้อมจบชีวิตตัวเองด้วยมือของตัวเอง
เมื่อเปรียบเทียบกับการตายต่อหน้าโคโยอิ
ด้วยความอาฆาตแล้ว
แบบนี้มันเป็นความตายที่ดีกว่ามาก…
“แต่ถ้าเธออนุญาตให้ผมมีชีวิตอยู่ได้อีกสักนิด
ผมคงตายไม่ได้ถ้าไม่มีนัตสึกิ
ผมทิ้งนัตสึกิไว้ไม่ได้…
เพราะผมอยากมีชีวิตอยู่กับนัตสึกิ
ผมกระโดดลงไปจากที่นี่ไม่ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของผม
นัตสึกิคว้าชายเสื้อวอร์มของผมไว้
ก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้น
ผมย่อตัวลงไปและจ้องมองใบหน้าของเธอ
“สำหรับนาย… แค่สำหรับนายเท่านั้น
ฉันไม่อยากให้นายรู้ว่า
ฉันมันเป็นคนที่แย่ขนาดนี้”
นัตสึกิพูดเสียงแผ่ว เหมือนกับยอมจำนน
ราวกับว่าเธอกำลังจะร้องไห้
“ฉันรู้ว่าเธอรวบรวมความกล้าทั้งหมด
เพื่อมาที่นี่และขอโทษฉัน
แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็รู้สึกเหมือนจะพอใจไม่ได้
ถ้าไม่ได้เหยียบย่ำเธอ…
ฉันนี่แหละที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ห่างไกล
จากความเป็นมนุษย์ที่สุด”
เหมือนเป็นการสารภาพบาป
นัตสึกิพูดออกมาด้วยเสียงแผ่ว
…ถ้านั่นคือการสารภาพบาป
แล้วเธอกำลังขอการให้อภัยจากใครกันล่ะ?
“เธอเป็นน่ะมนุษย์”
ผมเองก็ไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่พระพุทธเจ้า…
ผมก็เป็นแค่มนุษย์ที่โง่เขลาอย่างที่สุด
นั่นแหละคือเหตุผล
ที่ผมสามารถให้อภัยคนอื่นได้
ทั้งต่อบาปของพวกเขา ต่อความโง่เขลา
และต่อทุกสิ่งที่พวกเขาทำผิดพลาด
“ผมโกหก ผมทำร้ายคนอื่น
และถึงแม้จะเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น
ผมก็ยังเอาความรู้สึกของตัวเองมาก่อน
และทำร้ายคนอื่น รวมทั้งตัวผมเอง
นัตสึกิก็เหมือนกัน…
เราทั้งสองคนเป็นแค่มนุษย์ที่สิ้นหวัง
และไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว”
ผมไม่รู้ว่าในอนาคตนัตสึกิและผม
จะสามารถเป็นคนที่ใจดีกับคนอื่นได้ไหม
นัตสึกิเองก็ถอยห่างจากคนอื่นมามากเกินไป
จนถึงตอนนี้
แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เพื่อปกป้องตัวเอง
แต่ด้วยทักษะการสื่อสารของเธอในปัจจุบัน
เธอคงจะต้องเผชิญกับความยากลำบาก
ในวันข้างหน้าแน่นอน
ถ้าเธอสะดุดล้ม
ผมจะอยู่ข้างเธอเพื่อปลอบโยนเธอได้ไหม?
“นายมันแย่ที่สุดเลย”
นัตสึกิพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ อย่างเหนื่อยหน่าย
เมื่อได้ยินคำพูดของผม
ผมลุกขึ้นและยื่นมือไปหานัตสึกิ
เธอยังดูหม่นหมองอยู่
ผมเอ่ยกับเธอว่า
“พรุ่งนี้
เราไปเดินเล่นรอบงานเทศกาลด้วยกันไหม?”
นัตสึกิมองหน้าผมก่อนจะยิ้มบางๆ
“ไม่”
“เข้าใจแล้ว”
ผมตอบกลับด้วยคำเดียว
เธอเคยตอบรับคำชวนของผมครั้งที่แล้ว
แต่การถูกปฏิเสธในครั้งนี้…
หมายความว่า
เธอปิดหัวใจของตัวเองแล้วใช่ไหม?
ขณะที่ผมกำลังกังวลเรื่องนี้ นัตสึกิพูดต่อ
“ฉันพูดแรงไปกับยัยนั่น…
แต่ฉันไม่สามารถไปขอโทษเธอได้จริงๆ
งั้นช่วยชวนเธอไปงานเทศกาลวัฒนธรรม
แทนฉันหน่อยนะ
แล้วก็ช่วยทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นด้วย”
“…แต่ผมอยากอยู่กับเธอ นัตสึกิ”
เธอดูประหลาดใจกับคำพูดของผม
ก่อนจะยิ้มบางๆ
เหมือนพยายามปกปิดความอาย
“ช่วยทำตามที่ฉันขอเถอะนะ”
“ได้ ในทางกลับกัน ผมก็มีเรื่องจะขอเหมือนกัน”
“นายมีสิทธิ์มาขออะไรฉันด้วยเหรอ?”
นัตสึกิพูดพร้อมรอยยิ้มแฝงความประชดประชัน
แม้ผมจะไม่สามารถตอบได้ว่าผมมีสิทธิ์หรือเปล่า
แต่ผมก็พูดออกไปโดยไม่สนใจคำพูดของเธอ
“มันน่าจะนานหน่อย
แต่ในคืนวันคริสต์มาสอีฟ
ไปที่ไหนสักแห่งด้วยกันนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของผม
นัตสึกิถอนหายใจด้วยความเอือมระอา
“คริสต์มาสอีฟเนี่ยนะ?
นายจะทำแบบนั้นได้ยังไง?
เราเป็นนักเรียนที่ต้องเตรียมตัวสอบ
ไม่ควรเสียเวลาไปกับเรื่องแบบนั้นเลยสักวัน
ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้!”
นัตสึกิพูด
พร้อมกับใช้ปลายนิ้วชี้จิ้มที่หน้าอกของผม
คริสต์มาสอีฟก็ไม่ได้อีก…
ผมรู้สึกผิดหวัง แต่เธอพูดต่อ
“งั้นวันนั้น… เรามาติวหนังสือกันก่อน
แล้วค่อยออกไปข้างนอกหลังจากนั้นได้ไหม?”
นัตสึกิดูเขินอายและหลุบตามองต่ำ
“ได้สิ ผมรอวันนั้นไม่ไหวแล้ว”
เมื่อได้ยินคำตอบของผม
นัตสึกิแหงนหน้าขึ้นมอง
“ฉันเองก็รอวันนั้นอยู่เหมือนกัน”
เธอยิ้มออกมาเบาๆ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
มันจะต้องเริ่ม Romance ได้แล้ว
ใช่ไหม…