เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน - ตอนที่ 14 [บทที่ 4 รอบที่ 3] การตัดสินใจ
- Home
- เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน
- ตอนที่ 14 [บทที่ 4 รอบที่ 3] การตัดสินใจ
“นี่ นายไม่เป็นไรแน่นะ?”
เสียงของนัตสึกิที่เต็มไปด้วยความกังวลดังขึ้น
ในหูของผม
ผมหมดแรงที่จะฝืนยืน
–ทำไมผมถึงยังมีชีวิตอยู่
ทั้งที่ทุกอย่างมันควรจะจบลงไปแล้ว?
ผมไม่เข้าใจเหตุผลของปรากฏการณ์ลึกลับนี้…
ผมพยายามสงบสติ
ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อจะตอบนัตสึกิ
–!?
แต่ทันทีที่เห็นใบหน้าของเธอ
ผมกลับรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง
หลังจากนั้น ความทรงจำของผมก็เริ่มเลือนลาง
ความทรงจำในช่วง 28 ปี
หลังจากที่ผมเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์
ความทรงจำครึ่งปีในชีวิตครั้งที่สอง
และความทรงจำ 18 ปีในอดีตของร่างนี้
ทั้งหมดปะปนกัน
ถาโถมเข้ามาในหัวของผมอย่างรวดเร็ว
ผมรู้สึกเหมือนสมองส่วนฮิปโปแคมปัส
กำลังลุกไหม้
เหมือนมันพยายามควบคุมความทรงจำ
ที่ผมไม่ควรจะรับรู้
อนาคตอีกสิบปีข้างหน้า
วันก่อนพิธีจบการศึกษาอีกหกเดือนต่อมา
ทั้งหมดกลับกลายเป็นอดีตในสมองของผม
ความรู้สึกเกี่ยวกับเวลา
และสถานที่ของผมสับสนจนไม่เป็นระบบ
ตัวตน ความคิด
ความทรงจำของผมมัวหมอง
และผสมปนเปกันไปหมด
ตอนนี้มันคือเวลาไหน?
ผมอยู่ที่ไหน?
ผมเป็นใคร?
“นายแน่ใจนะว่าไม่เป็นไร? ถ้ารู้สึกไม่ดี
จะนอนพักหน่อยไหม?”
นัตสึกิ มิไร วางมือบนหน้าผากผม
และพูดกับผมด้วยน้ำเสียงห่วงใย
ความอบอุ่นจากมือที่มีเลือดเนื้อของเธอ
ช่วยดึงผมกลับมาสู่ความเป็นจริง
–ใช่แล้ว วันนี้คือช่วงวันหยุดฤดูร้อน
หลังจากที่นัตสึกิช่วยผม
เรื่องการเรียนในห้องสมุด
เธอก็พาผมมาที่ดาดฟ้า
เมื่อมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน
ผมเห็นดอกไม้ไฟยังคงถูกจุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผมค่อยๆ ตั้งสติจากอาการมึนงง
และหันไปพูดกับนัตสึกิ
ในขณะที่ยังคงใช้มือจับศีรษะที่ปวดอยู่
“นัตสึกิ…”
“อะ… อือ? เป็นอะไรไปหรือเปล่า?
ฉันกำลังจะไปซื้อชา นายจะเอาด้วยไหม?”
นัตสึกิยื่นหน้าเข้ามาใกล้และถามผม
ภาพสุดท้ายของเธอที่ผมเห็นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
แวบขึ้นมาในหัวของผม
ผมจะไม่ยอมให้ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเธอ
ซ้ำรอยอีกเป็นอันขาด
แม้สมองของผมที่ยังทำงานไม่ปกติ
ก็รู้ถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน
ผมหยิบผ้าขนหนู
และขวดชาพลาสติกออกจากกระเป๋า
จากนั้นก็พูดกับนัตสึกิ
“ผมหวังว่าจะได้รับคำแนะนำจากเธอต่อไป
หวังว่าเราทั้งคู่จะได้เข้ามหาวิยาลัย
ที่โตเกียวด้วยกัน”
ผมพยายามยิ้มอย่างเต็มที่เท่าที่ทำได้
เธอจ้องหน้าผมอย่างว่างเปล่า
ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดกับผม
“นายควรกังวลเรื่องตัวเองก่อนนะ”
จากนั้นเธอก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผากของผม
อย่างเบามือด้วยผ้าขนหนู
กลิ่นหอมหวานของน้ำยาปรับผ้านุ่ม
ลอยมากระทบจมูก
“ขอบคุณนะ”
ผมพูดเบาๆ
และลุกขึ้นยืนด้วยความช่วยเหลือของเธอ
แม้ร่างกายของผมจะยังโอนเอนเล็กน้อยก็ตาม
***
ขณะที่อยู่บนรถไฟ
ความคิดของผมก็เริ่มชัดเจนขึ้น
อย่างแรกเลย ไม่มีข้อสงสัยใดๆ
—ผมได้ย้อนเวลามาอีกครั้ง
แม้จะเป็นครั้งที่สองแล้ว
แต่ผมก็ยังไม่ชินกับมันอยู่ดี
มีเพียงไม่กี่สิ่งเท่านั้น
ที่ผมสามารถคิดได้
เกี่ยวกับปรากฏการณ์ลึกลับนี้
อย่างไรก็ตาม มีสองสิ่งที่เหมือนกันระหว่างการ
ย้อนเวลาครั้งแรกและครั้งที่สอง
หนึ่ง— ความตายของผมคือจุดเริ่มต้น
สอง— ผมเสียใจกับความตายของตัวเอง
ในครั้งแรกที่ย้อนเวลา
ความเสียใจของผมมาจากการที่ไม่ได้สารภาพ
ความรู้สึกกับโคโยอิ
แต่ครั้งนี้… มันแตกต่างออกไป
เมื่อผมเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของนัตสึกิ
ในวาระสุดท้ายของเธอ
ความเสียใจนั้นหนักอึ้งจนทนไม่ไหว
ผมเสียใจที่ไม่เคยยื่นมือไปหาเธอ
ไม่เคยอยู่เคียงข้างเธอ
และเลือกที่จะผลักไสเธอออกไปแทน
ผมเคยคิดว่าการจบชีวิตตัวเองอีกครั้ง
อาจทำให้ทุกอย่างจบลง
แต่ผมช่างไร้เดียงสาเกินไป
ผมตระหนักได้ว่าความตายไม่อาจแก้ไขความ
เสียใจของผมได้
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าผมจะทำอะไร
ไม่ว่าผมจะพยายามแค่ไหน—
—ผมอาจต้องใช้ชีวิตซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ตลอดไป
ความคิดนั้นทำให้ผมแทบเสียสติ
เหมือนผมถูกขังอยู่ในวัฏจักรไม่มีที่สิ้นสุด
สักครู่หนึ่ง ความคิดที่จะกระโดดลงไปบนราง
รถไฟก็แวบเข้ามาในหัว
หากรถไฟที่กำลังพุ่งเข้ามานั้น
สามารถทำลายทุกสิ่งได้
บางทีผมอาจจะพบกับความสงบเสียที
แต่พอรถไฟชะลอความเร็ว
และสถานีปรากฏตรงหน้า
ผมก็ลังเล
ผมไม่สามารถตัดสินใจได้
ผมแค่หยิบบัตรโดยสารยื่น
ให้เจ้าหน้าที่สถานีแล้วเดินผ่านประตูออกมา
“นี่ วันนี้ดูเหมือนนายจะไม่ค่อยโอเคนะ?”
นัตสึกิที่เดินอยู่ข้างๆ ผมพูดขึ้น
ระหว่างทางจากทางออกสถานี
ไปยังที่จอดจักรยาน
“ตั้งแต่บนดาดฟ้ามาถึงที่นี่
นายเงียบมาตลอด แถมยังทำหน้าตาเจ็บปวด…
บ้านฉันใกล้กว่าบ้านนาย
ทำไมนายไม่ไปพักที่บ้านฉันหน่อยล่ะ?”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากรบกวนเธอ”
นัตสึกิถอนหายใจก่อนจะตอบคำพูดของผม
“แล้วถ้าฉันเป็นห่วงว่านายจะถึงบ้านอย่าง
ปลอดภัยไหม จนทำให้ฉันไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ
นายจะรับผิดชอบไหม?”
“…เธอเป็นห่วงผมเหรอ?”
“หา? ใครจะไปเป็นห่วงนายกัน!”
นัตสึกิตอบทันควัน แต่หลังจากนั้นก็ส่ายหัวทันที
“โกหกน่ะ… ฉันเป็นห่วงนายจริงๆ”
เธอหันหน้าที่ดูจริงจังมาทางผม
แน่นอนว่าการกระทำของผม
ตั้งแต่บนดาดฟ้าจนถึงตอนนี้
มันต้องดูแปลกประหลาดมากพอ
ที่จะทำให้ใครก็ตามที่มองเห็นต้องรู้สึกกังวล
“งั้นเอาแบบนั้นก็ได้”
ถือเป็นโอกาสที่ดี
ผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับนัตสึกิ มิไร
ผู้หญิงที่ตายไปพร้อมกับผม
ผมคิดว่ามันคงดี
ถ้าได้รู้จักชีวิตของเธอมากขึ้นสักนิด
ผมเข็นจักรยานออกจากที่จอด
แล้วเดินไปพร้อมกับนัตสึกิ
“ให้ฉันปั่นจักรยานให้ไหม?”
ดูเหมือนเธอจะเสนอให้เรานั่งไปด้วยกัน
เธอเคยให้ผมปั่นจักรยานไปส่ง
โดยไม่ลังเลมาก่อน
แต่ครั้งนี้เธอดูตอบสนองต่างออกไป
“ไม่ล่ะ เดินไปแบบนี้ก็พอ”
“งั้นก็ได้ เดี๋ยวฉันเข็นจักรยานให้เอง”
พูดจบ เธอก็แย่งจักรยานไปจากมือผม
ทุกครั้งที่สัมผัสได้ถึงความใจดีของเธอ
ผมอดคิดไม่ได้ว่า—
“นี่…”
“อะไรเหรอ?”
“อย่าใจดีกับฉันนักเลย”
ความโง่เง่าของตัวเองทำให้ผมรู้สึก
เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับความจริง
ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
พอเห็นผมทำหน้าจริงจัง
นัตสึกิก็เผลอหลุดขำออกมา “ฟุฟุ!”
“ร่างกายนายก็อ่อนแอ จิตใจก็อ่อนแออีกเหรอ?
ไม่ต้องห่วง วันนี้ฉันจะใจดีกับนายแค่วันเดียว”
ใบหน้าของนัตสึกิในตอนนี้เต็มไปด้วยความ
อ่อนโยน
อกที่ว่างเปล่าของผมรู้สึกแน่นและเจ็บปวด
ไม่มีใครใจดีกับนัตสึกิมาก่อน
——แต่เธอกลับยิ้มให้กับคนเลวอย่างผมอย่าง
อ่อนโยน
เพราะผมมันคนเลว
การต้องทนทุกข์มันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
ถ้าถูกเธอดูถูกหรือหัวเราะเยาะ
ผมอาจจะรู้สึกดีขึ้น
แต่นั่นมันเป็นไปไม่ได้
นัตสึกิ มิไร
ผู้หญิงที่กำลังเดินเคียงข้างผมในตอนนี้
——ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการกระโดดลงจาก
ดาดฟ้าพร้อมกับผมเลย
***
อพาร์ตเมนต์ที่นัตสึกิพักอยู่
อยู่ห่างจากสถานีเพียงแค่เดิน 10 นาที
มันเป็นห้องหัวมุมบนชั้นบนสุดของอาคาร
อพาร์ตเมนต์ใหม่เอี่ยมห้าชั้น
ที่มีประตูล็อกอัตโนมัติ
“รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”
นัตสึกิเอามือล้วงกระเป๋าเพื่อหากุญแจ
แต่ก่อนที่เธอจะหยิบกุญแจออกมา
ประตูก็เปิดออก
“อ้าว มิไร ยินดีต้อนรับกลับ”
ผู้หญิงที่ดูสวยมาก อายุประมาณผมในชีวิตแรก
หรืออาจจะแก่กว่านิดหน่อยออกมาจากประตู
“กลับมาแล้วค่ะ แม่ จะออกไปข้างนอกเหรอ?”
คำพูดของนัตสึกิทำให้ผมสะดุ้ง
ดูเธอน่าจะอายุราว 30 ปี
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้
“ใช่ อย่าลืมล็อกประตูให้เรียบร้อยนะจ๊ะ
อ๊ะ! นั่นแฟนของลูกเหรอ?”
“ไม่ใช่ค่ะ
เขาแค่เพื่อนที่มาพักเพราะไม่ค่อยสบาย”
นัตสึกิตอบทันทีพร้อมกับขมวดคิ้ว
แม่ของนัตสึกิดูมีความสุขที่ได้ยินแบบนั้น
“จ้ะ งั้นก็พักผ่อนให้เต็มที่นะ”
เธอยิ้มให้ผม แต่ผมไม่รู้จะตอบอะไร
“…ขอบคุณครับ”
“จ้ะ งั้นแม่ไปก่อนนะ”
“เดินทางปลอดภัยนะคะ”
นัตสึกิตอบด้วยน้ำเสียงหม่นๆ
แม่ของมิไรใส่รองเท้าส้นสูงแล้วออกจากห้องไป
“แม่ของเธอนี่เป็นคนสวยจริงๆ”
“อย่าพูดอะไรน่าขยะแขยงแบบนั้นสิ”
นัตสึกิตอบคำพูดของผมด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
แล้วเดินเข้าไปในห้องของเธอ
“ขอโทษที่มารบกวน”
ผมพูดแล้วเดินตามเธอเข้าไป
นัตสึกิเปิดประตูห้องหนึ่งที่เชื่อมต่อจากห้องครัว
และห้องรับประทานอาหารแล้วเรียกผมเข้าไป
“นี่ห้องฉัน นั่งรอก่อนนะ
เดี๋ยวไปเอาเครื่องดื่มมาให้”
หลังจากพยักหน้าตอบ
ผมก็นั่งลงหน้าตรงโต๊ะที่อยู่กลางห้อง
ผมเคยไปที่ห้องของโคโยอิหลายครั้ง
แต่มันไม่มีอะไรเหมือนกับห้องของนัตสึกิเลย
ห้องของโคโยอิเต็มไปด้วยของตกแต่งน่ารักๆ
พวกสิ่งของที่เธอชอบ
ในขณะที่ห้องของนัตสึกิซึ่งมีขนาดประมาณ
5 เสื่อทาทามิ
มีเพียงโต๊ะและเก้าอี้สำหรับอ่านหนังสือ
ชั้นวางที่เต็มไปด้วยหนังสือเรียน
และเตียงสำหรับนอน
ไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงงานอดิเรก
หรือความชอบของเธอเลย
มันไม่ใช่ว่าห้องนี้สะอาดเรียบร้อย
แต่เหมือนจะมีของอยู่น้อยมากตั้งแต่แรก
“ขอโทษที่ให้รอนะ”
นัตสึกิกลับเข้ามาในห้อง
เธอถือเครื่องดื่มเกลือแร่ แก้ว
และเครื่องวัดอุณหภูมิในมือ
นัตสึกินั่งลงข้างๆ ผม
“นี่”
แล้วเธอก็ยื่นเครื่องวัดอุณหภูมิให้ผม
ผมเดาว่าเธอคงอยากให้ผมวัดไข้
ผมรับมาและทำตามอย่างว่าง่าย
ไม่กี่นาทีต่อมา เสียงปิ๊บดังขึ้น
ผมตรวจดูอุณหภูมิ
“36.8 องศา ปกติดีสินะ”
หลังจากที่ผมพูด นัตสึกิก็พูดว่า
“งั้นก็ดีแล้ว”
และยื่นแก้วเครื่องดื่มเกลือแร่ให้ผม
“ขอบคุณนะ”
ผมรับมาและจิบมัน
ความชุ่มชื้นซึมซาบไปทั่วร่างกาย
“ในเมื่อนายมาที่นี่แล้ว
ทำไมไม่พักอีกสักหน่อยล่ะ?”
เธอพูดพร้อมกับมองหน้าผม
ในระยะใกล้จนไหล่ของเราเกือบจะชนกัน
ผมพยักหน้าและตอบรับโดยไม่พูดอะไร
—ตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้
ผมก็สังเกตเห็นบางอย่าง
ไม่มีวี่แววของพ่อเธอ
และแม่ของเธอก็ทำงานตอนกลางคืน
บางทีสภาพครอบครัวของเธอ
อาจจะซับซ้อนในบางแง่มุม
ถ้าอย่างนั้น
การที่เธอย้ายโรงเรียนในปีสองของมัธยมปลาย
อาจจะเกี่ยวข้องกับปัญหาครอบครัว
แม้ผมจะพยายามคาดเดา
แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมคิดจะถามเธอโดยตรง
แต่หัวข้ออาจเป็นเหมือนระเบิดสำหรับนัตสึกิ…
ผมจึงตัดสินใจไม่บังคับให้เธอพูด
จนกว่าเธอจะเต็มใจพูดเอง
แทนที่จะพูดเรื่องนั้น
ผมเลือกพูดสิ่งที่ผมไม่ได้บอกเธอก่อนหน้านี้
“วันนี้เธอช่วยผมไว้เยอะมากเลย
ขอบคุณนะ ถ้าวันไหนที่เธอมีปัญหา…
ผมจะอยู่ข้างๆ เธอเอง”
ใบหน้าของเธอที่อ้าปากค้างดูตลกก็จริง
แต่ก็น่ารักไปอีกแบบ
เมื่อเห็นเธอแบบนั้น
ผมจึงตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในปัจจุบันต่อไป
เพื่อป้องกันไม่ให้นัตสึกิต้องตายในวันนั้น
วันพิธีจบการศึกษา
ผมอยากให้นัตสึกิมีชีวิตอยู่
จนถึงพิธีจบการศึกษา
ได้เข้ามหาวิทยาลัยที่โตเกียว
และได้ดูดอกไม้ไฟด้วยกัน
และหลังจากนั้น
ผู้ชายที่ต้องการเธอ
และใส่ใจเธอจากใจจริงจะปรากฏตัว—
—และเมื่อถึงตอนนั้น
ผมจะได้จบชีวิตของตัวเองลง
โดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก
บางทีทุกอย่างอาจจะจบลง
“—เฮ้อ ตอนนี้ฉันไม่รู้จะตอบยังไงเลย”
นัตสิกิพูดล้อเล่น
พร้อมกับมองไปทางอื่นอย่างเขินอาย
ห่างหายไปนาน ไม่ได้ไปเปิดการ์ดโปเกม่อนอะไรนั้นแล้วได้แต่การะการ EX จนหัวร้อนหรอก ผมหายไปทำงานมาจริ๊งๆ