เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน - ตอนที่ 10 [บทที่ 2 ดอกไม้ไฟ] ดอกไม้และหมู่ดาว
- Home
- เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน
- ตอนที่ 10 [บทที่ 2 ดอกไม้ไฟ] ดอกไม้และหมู่ดาว
วันหยุดฤดูร้อนใกล้จะจบลงแล้ว
ในชีวิตแรกของผม
โรงเรียนมัธยมปลายไม่มีชั้นเรียนเสริมช่วงเทศกาลโอโบง
แต่ผมต้องไปเข้าค่ายที่สถาบันกวดวิชา
ดังนั้นทุกวันของผมเลยใช้เวลาไปกับการเรียน
ในชีวิตที่สองนี้ ผมทำงานพาร์ทไทม์อย่างหนัก ทำการบ้าน
และเรียนเสริมกับนัตสึกิในช่วงพักบ้าง
ช่วงวันหยุดฤดูร้อนนี้ชีวิตนักเรียนของผมนั้นสบายกว่าครั้งก่อนมาก
วันนี้ผมนัดเรียนกับนัตสึกิที่ห้องสมุดโรงเรียน
เพราะวันนี้ผมหยุดจากงานพาร์ทไทม์
เมื่อถึงสถานีและมาที่ประตูตั๋ว รถไฟกำลังออกไปพอดี….
เนื่องจากมันเป็นเวลานานแล้วที่ผมไม่ได้ขึ้นรถไฟ
ผมคงจะสับสนกับตารางเวลาของรถไฟ…
รถไฟขบวนถัดไปจะมาถึงในอีก 30 นาที
ผมถอนหายใจ
ในเมืองนี่อาจจะเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ
แต่ในพื้นที่ชนบท การรอรถไฟอาจใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมง
ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
ส่งข้อความถึงนัตสึกิเพื่อบอกว่าผมจะมาช้ากว่าที่นัด
ไม่รู้ว่าเธอจะอ่านข้อความของผมทันทีหรือเปล่า
เพราะไม่มีฟังก์ชัน [อ่านแล้ว] แต่อย่างน้อยถ้าผมมาช้าเกินไป
เธอก็คงจะตรวจสอบข้อความที่ส่งไปแล้ว
หลังจากนั้น ผมก็ใช้เวลาไปกับการเล่นมือถือประมาณ 10 นาที
ทันใดนั้นก็มีโทรศัพท์จากอิโอริโทรเข้ามา
ผมแทบจะไม่ติดต่อกับอิโอริเลย
แปลกใจที่เธอโทรมา จึงรับสายไป
“สวัสดีครับ นี่เก็นโนะครับ”
[โอ้ อากิใช่ไหม? นี่โทวะเอง]
“มีอะไรรึป่าวครับ?”
[เดี๋ยวๆ นี่อากิจะพูดจริงจังไปไหม?]
ผมไม่ชอบโทรศัพท์นานๆ
รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ก็พูดต่อไป
“มันก็ปกตินะ แค่คิดว่ามันแปลกที่อิโอริโทรมาหา”
พอพูดจบ อิโอริก็ตอบกลับมาว่า [อ๋อ โอเค!]
ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเธอเท่าไหร่
แต่น้ำเสียงของเธอฟังดูสดใส
[เอาเถอะ ฉันมีเรื่องจะถามหน่อยได้ไหม?
ได้ยินจากริการิโนะมาว่าคุณไม่ไปเรียนเสริมใช่ไหม?]
ริการิโนะ? คือใคร? แต่คงหมายถึงเพื่อนสาวสองคนของเธอ
“อืม ผมไม่ได้ไป”
[มันแปลกนะที่นักเรียนดีเด่นอย่างอากิไม่ไป! ทำไมล่ะ?]
“เพราะผมทำงานพาร์ทไทม์น่ะ”
[ห๊ะ? งานพาร์ทไทม์?! ขำอะ!]
มันมีอะไรตลกกัน…?
ผมไม่สามารถตามทันอารมณ์ของอิโอริได้เลยจริงๆ
“ตามนั่นแหละ”
ผมยังคงตามอารมณ์ของอิโอริไม่ทัน
[อืม งั้นก็ช่างเถอะ… เอาเถอะ เพราะว่าแบบนี้สินะ
พวกริกะริโนะเลยบอกมาว่า
โทวะกับอากิอาจจะไปเดทกันแทนที่จะไปเรียนเสริมใช่ไหม]
“อ๋อ ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิดนะ”
ผมรีบขอโทษไปเพราะคิดว่าเธอคงจะต้องการบ่นเรื่องนี้
แต่ดูเหมือนว่าอิโอริจะไม่สนใจ และพูดต่อไป
[เอาล่ะ งั้นวันนี้ว่างมั้ย? ไปเดทกันจริงๆ ดีกว่า]
“ขอโทษนะ วันนี้ผมมีนัดแล้วน่ะ”
ผมตอบไปทันที
[อ๋อ งั้นก็เสียดาย… เอาไว้คราวหน้าเมื่อไหร่ที่อากิว่าง!
หลังจากที่เสร็จจากงานพาร์ทไทม์ก็ได้นะ!]
“ผมยุ่งกับงานพาร์ทไทม์ เลยคงจะยากหน่อย
แต่ถ้ามีเวลาผมจะบอกนะ”
[อือ! โทวะว่างตลอดอยู่แล้ว ถามมาได้เลยเมื่อไหร่ก็ได้!]
“โอเค ไว้เจอกันนะ”
[อือ!]
หลังจากที่คุยกันเสร็จ ผมก็วางสาย
ผมรู้สึกขอโทษกับอิโอริ แต่ไม่รู้จริงๆ
ว่าผมอยากจะชวนเธอไปไหนหรือเปล่าแม้แต่ตอนที่ผมหยุดงาน
“ขอโทษที่มาช้า”
เมื่อมาถึงโรงเรียนและมาที่ห้องสมุดหลังจากเวลานัดกับนัตสึกิ
ผมก็เข้าไปในห้องและหานัตสึกิได้ไม่ยาก
“ไม่เป็นไรหรอก รถไฟที่ชนบทมันรอนานฉันเข้าใจ”
เธอตอบโดยที่ไม่มองมาที่ผม
เธอดูเหมือนจะไม่ได้โกรธผมที่มาช้าขนาดนั้น
“ที่นั่งตรงนี้จองไว้ให้แล้วสินะ”
ผมพูดไปขณะที่นั่งลงตรงที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับนัตสึกิและมองไปรอบๆ
“วันนี้ไม่มีนักเรียนคนอื่นมาที่ห้องสมุดเพราะไม่มีเรียนเสริม
และถ้าอยากเรียนก็คงไปเรียนที่บ้านหรือที่สถาบันกวดวิชาแทนมั้ง
ยิ่งนักเรียนปีหนึ่งกับปีสองที่อยู่ในชมรมยิมนาสติกก็คงไม่มาเลย”
เมื่อพูดถึง [สถาบันกวดวิชา]
นัตสึกิก็ดูเหมือนจะลังเลที่จะตอบคำถามของผม
“เอ่อ… แล้วเธอไม่ไปสถาบันกวดวิชาเหรอ?”
ผมหยิบกระเป๋าออกมา เอาการบ้านที่ต้องทำในวันนี้ออกมาเตรียม
และเตรียมอุปกรณ์การเขียนแล้วก็หันไปมองนัตสึกิ
เธอดูเหมือนจะลังเลที่จะตอบคำถามนี้
“ฉันอยากจะเอาชนะปัญหาของตัวเองให้ได้ในแบบของฉันเอง”
เมื่อได้ยินคำตอบที่ช้าและดูไม่มั่นคงของนัตสึกิ
ผมรู้สึกเหมือนเธออาจจะโดนแกล้งที่สถาบันกวดวิชาสินะ
หรืออาจจะมีอะไรร้ายแรงกว่านั้น
เข้าใจแล้ว
ผมเลยไม่ถามต่อ และเริ่มทำการบ้านของตัวเองต่อไป
นัตสึกิไม่ได้พูดอะไรเลยเช่นกัน
เราทั้งคู่ทำการบ้านไปเงียบๆ สักพักหนึ่ง
…
“คิดว่าแค่นี้พอแล้วล่ะ”
ผมได้ยินเสียงนัตสึกิแล้วก็หันไปมองที่หน้าต่าง
พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ดูเหมือนผมจะตั้งใจทำการบ้านนานเกินไป
ผมลุกขึ้นยืดตัวและนั่งลง
นัตสึกิกับผมเก็บเอกสารและอุปกรณ์การเขียนที่วางอยู่บนโต๊ะใส่กระเป๋า
“หลังจากนี้นายยังมีเวลาอีกใช่ไหม?”
“ก็ไม่ได้มีอะไรนะ แล้วเธออยากไปที่ร้านอาหารแล้วทำการบ้านต่อไหม?”
นัตสึกิส่ายหัวตอบคำถามของผม
“สวนที่นายเคยพาฉันไปนะ
ที่มีดาดฟ้าไว้ดูวิวทิวทัศน์ของชนบททั้งหมดน่ะ มันก็ไม่ได้แย่นะ”
อาทิตย์ที่แล้วในวันหยุดของผม ผมพานัตสึกิไปที่นั่น
“ดีใจที่เธอชอบ”
“ทั้งที่ตอนอยู่บนดาดฟ้าเธอกลัวจนแทบช็อคเพราะเจองูนี้เนอะ”
เมื่อนึกถึงคำพูดนั้น
นัตสึกิก็มองมาที่ผมด้วยสายตาไม่พอใจแล้วพูดว่า
“ลืมเรื่องนั้นไปซะ”
แล้วเธอก็หายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ
“เพื่อเป็นการตอบแทน วันนี้ฉันจะพานายไปดูอะไรดีๆเอง”
พูดจบเธอก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง
อะไรคือสิ่งดีๆ ที่เธอจะพาไปดูล่ะ?
ผมไม่ได้คาดหวังอะไรเท่าไหร่ แต่ก็ตามเธอไป
นัตสึกิขึ้นบันไดไปที่ดาดฟ้าของอาคารโรงเรียน
แล้วเธอก็ย่อตัวลง
เปิดกุญแจที่ล็อคด้วยคลิปสองอันที่บิดเป็นเกลียว
“เธอเก่งนะเนี่ย…
เทคนิคที่เธอใช้ก็มีประโยชน์ในหลายๆด้านด้วย”
ผมชมไปด้วยความประทับใจ
“หยุดพูดอะไรไร้สาระได้แล้ว”
นัตสึกิตอบมาพร้อมกับดุเบาๆ
เธอขึ้นไปบนดาดฟ้า และผมตามขึ้นไป
“แล้วอะไรคือสิ่งดีๆ ที่เธอจะพาไปดูล่ะ?”
“ยังไม่เห็นหรอก”
เธอพูดพลางมองไปที่ท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง
ผมสงสัยว่าเธอมีวันพิเศษอะไรที่ทำให้ต้องมาดูดาวกันหรือเปล่า
ผมมองไปที่ท้องฟ้าเหมือนที่เธอมอง
มันเป็นวันที่ท้องฟ้าค่อนข้างสวย
เราสามารถเห็นดาวได้อย่างชัดเจน
มาคิดๆดู…ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมมองท้องฟ้ายามค่ำคืนแบบนี้เมื่อไหร่?
“บางคนบอกว่าท้องฟ้าในเมืองมันแคบ
แต่ท้องฟ้าในชนบทมันกว้าง
แต่นายไม่คิดเหรอว่าอันนี้ไม่ค่อยถูกต้องน่ะ?”
นัตสึกิพูดขึ้นอย่างกะทันหันขณะที่เธอมองไปที่ท้องฟ้า
“มันจริงที่ท้องฟ้าในเมืองมันดูแคบ เพราะอาคารสูงมาบดบัง
แต่ว่าไม่คิดว่าท้องฟ้าในชนบทมันน่ารำคาญจากสายไฟที่มีอยู่เยอะ”
“คงใช่”
“แต่เพราะที่นี่ไม่มีอะไรบดบังท้องฟ้าเลย ทำให้คิดว่าท้องฟ้าในชนบทมันกว้างจริงๆ”
มันก็แค่การพูดคุยธรรมดา ๆ
แต่ผมก็ถามสิ่งที่ค้างคาใจ
“นัตสึกิ วันนั้น… เธอไม่ได้มองขึ้นไปที่ท้องฟ้าเลย เธอมองลงไปที่พื้น”
ตอนที่ผมเห็นเธอครั้งแรกบนดาดฟ้านี้ เธอมองลงไปที่พื้นในขณะที่ฝนตก
“บางครั้งการมองขึ้นไปมันเหนื่อย
เลยอยากมองลงไปและรู้สึกผ่อนคลายบ้างนะ”
นัตสึกิพูดออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
เธอคงคิดว่าปัจจุบันที่เธอถูกคนรอบข้างรังแกมันเจ็บปวด
อาจจะเป็นเพราะเธอยังมีความหวังที่
จะได้กลับไปโตเกียวในปีหน้าเลยพยายามอดทนอยู่
— แต่ท้ายที่สุดแล้ว หัวใจของเธอก็แตกสลาย
และเลือกที่จะจากไปเอง
“โอ้ เริ่มแล้ว”
นัตสึกิพูดเบาๆ และชี้ไปที่ท้องฟ้า
เมื่อผมหันไปตามทิศทางที่เธอชี้
ก็เห็นแสงสว่างที่สดใสเต้นระยิบระยับในท้องฟ้ายามค่ำคืน
แสงสีสันสดใสเหล่านั้นบานสะพรั่งขึ้นทีละดอก
ผมนิ่งเงียบและมองดูมัน
ผมไม่ทันสังเกต แต่ดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันที่มีงานเทศกาลดอกไม้ไฟ
นัตสึกิคงจะตั้งใจแนะนำให้ผมมาศึกษาที่โรงเรียนที่ต้องนั่งรถไฟมา
แทนที่จะไปที่ร้านอาหารแบบปกติ ก็เพื่อพาผมมาดูการแสดงดอกไม้ไฟนี้
“ขอบคุณนะ นัตสึกิ”
“ฉันคิดว่ามันจะเป็นการพักผ่อนที่ดีสำหรับเราสองคน”
เธอพูดออกมาแล้วก็พูดต่อ
“แค่… มันเล็กกว่าที่คิดไว้มากเลย”
ผมหัวเราะเบาๆ
คิดว่าเป็นนิสัยของเธอที่ทำให้เธอสามารถสร้างศัตรูได้ง่าย
“แผนของฉันพังแล้วล่ะ
ดูเหมือนจะไม่สามารถตอบแทนนายได้กับดอกไม้ไฟที่เล็กและแย่แบบนี้”
“ไม่เป็นไร”
เมื่อผมตอบไป
นัตสึกิก็ขมวดตา
เหมือนพยายามจะมองไกลไปกว่าดอกไม้ไฟที่อยู่ในระยะไกล
“ตอนที่ฉันยังเรียนอยู่ในประถม
แม่กับพ่อพาฉันไปดูดอกไม้ไฟในโตเกียว…
มันสวยกว่าเยอะเลย”
ดอกไม้ไฟที่โด่งดังที่สุดคืองานดอกไม้ไฟที่สะพานซุมิดากาวะ
มีงานดอกไม้ไฟอีกหลายงานในโตเกียว
และแน่นอนว่ามันมีงบประมาณและขนาดที่ใหญ่กว่าที่นี่ในชนบทมาก
“เธอคงพูดถูก”
“ถ้าเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในโตเกียวได้
ฉันจะพานายไปดูนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ผมมองไปที่เธอ
เราสองคนไม่ได้สบตากัน
เพราะเธอกำลังมองขึ้นไปที่ดอกไม้ไฟ
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังมองไปที่ใบหน้าของเธอแล้วตอบ
“ได้ ผมจะรอ”
เมื่อได้ยินคำตอบของผม นัตสึกิก็ยิ้มให้ผมเงียบๆ
เห็นรอยยิ้มของเธอทำให้ผมรู้สึกขำตัวเอง
— น่าเสียดาย มันเป็นสัญญาที่จะไม่มีวันได้ทำให้เป็นจริง