เมียเก็บมาเฟีย ชุด เทพบุตรมาเฟีย - ตอนที่ 69
เอริก้าเดินมาคว้าแก้วเครื่องดื่มจากถาดที่บริกรกำลังถืออยู่ขึ้นมาจิบอย่างอารมณ์ดี พลางทอดสายตามองไปรอบๆ งานเลี้ยง แล้วอารมณ์ที่กำลังแจ่มใสอยู่ก็มีอันต้องกระตุกวูบ เมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างสลักเสลาสวยงามของผู้หญิงคนหนึ่งที่ตัวเองรู้จักดีทีเดียว
“นังขวัญ…”
หญิงสาวมองขวัญชีวาที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวบุญธรรมด้วยสายตาริษยา ใบหน้าก็สวยหยาดเยิ้มหวานปานน้ำผึ้ง หุ่นก็เช้งกระเด๊ะทั้งๆ ที่กินแต่อาหารเหลือเดนจากหล่อน แถมชุดที่ใส่มาก็สวยงามราวกับถูกตัดเย็บด้วยช่างจากแบรนด์ดังก้องโลกอีกต่างหาก
“มันไปเอาชุดที่ไหนมานะ”
เอริก้าเดินเข้าไปหาขวัญชีวาทันทีเมื่อถูกเจ้าความสงสัยครอบงำเต็มหัวใจ
“น้องเอม…”
“แกเอาชุดที่ไหนมา เสี่ยที่ไหนลงทุนซื้อชุดแพงแบบนี้ให้แก”
เมื่อเดินเข้ามาถึง เอริก้าก็แผลงฤทธิ์แผลงเดชใส่ผู้หญิงที่ตัวเองเกลียดชังโดยไม่สนใจเลยว่าบิดาที่กำลังยืนคุยกับนักธุรกิจชั้นนำของรัสเซียทางด้านหลังจะได้ยิน
“คือพี่…”
“ไม่ต้องมาแทนตัวว่าพี่! แกไม่ใช่พี่ของฉัน! เป็นแค่ขี้ข้ารองตีนฉันเท่านั้นเอง”
เอริก้าหยิกหมับลงบนต้นแขนเปลือยของขวัญชีวาด้วยความหมั่นไส้ ไม่แคร์ต่อสายตาของใครหลายๆ คนที่จับจ้องมองมาแม้แต่น้อย
“บอกมาว่าไปเอาชุดสวยๆ แบบนี้มาจากที่ไหน”
“พี่…เอ่อ…ขวัญตัดเอง”
“ไม่เชื่อ! คนอย่างแกมีฝีมือที่ไหนกันล่ะ ทำอะไรไม่ดีสักอย่างนอกจากประจบจนพ่อรักน่ะ”
ขวัญชีวาส่ายหน้า พยายามเดินหนีแต่ก็ถูกเอริก้าคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน
“ไปคุยกันที่อื่น ตรงนี้ฉันตบแกไม่ถนัด”
เอริก้าฉุดกระชากลากร่างของพี่สาวบุญธรรมให้เดินตามตัวเองไปยังระเบียงที่อยู่ไกลออกไปจากห้องจัดเลี้ยง และเมื่อลับสายตาคนอื่น ฝ่ามือเรียวเล็กแต่หนักหน่วงของเอริก้าก็ฟาดใส่ใบหน้าของขวัญชีวาเต็มแรง สองครั้งติดกันจนร่างอรชรของขวัญชีวาร่วงลงไปกองกับพื้น เอริก้าตามลงไปจิกหัวขึ้นมาอีกครั้ง แล้วตะคอกถาม
“ฉันอุตส่าห์ทำทุกทางเพื่อให้แกไม่ได้มางานเลี้ยงนี้ตีเสมอกับฉัน แต่แกก็ยังมา”
“ขวัญไม่ได้อยากมา แต่พ่อขอร้องให้มา น้องเอม…ปล่อยเถอะ ขวัญเจ็บ”
“เจ็บสิดี เจ็บให้ตายไปเลยยิ่งดี รู้ไหมว่าหากฉันขอพรประเสริฐในโลกนี้ได้ข้อหนึ่งละก็ ฉันจะขอให้แกหายไปจากชีวิตของฉัน หายไปจากสายตาของฉัน นั่นก็หมายถึงให้แกตายไปจากโลกนี้ยังไงล่ะ” เอริก้าผลักร่างของขวัญชีวาแรงๆ จนหญิงสาวล้มลงกับพื้นอีกครั้ง
“ทำไมน้องเอมเกลียดขวัญถึงเพียงนี้”
ขวัญชีวาเงยหน้าขึ้นถามน้ำตาไหลพราก หล่อนทนให้เด็กสาวที่อ่อนกว่าแค่สองเดือนกดขี่ข่มเหงมาตลอดสิบกว่าปีก็เพื่อทดแทนบุญคุณของอังเดรที่มีเมตตาไปขอหล่อนมาอุปการะ ทั้งๆ ที่รู้ว่าแท้จริงแล้วอังเดรต้องการให้หล่อนมารับใช้ลูกสาวของตัวเองเพียงเท่านั้น
“ก็แกทำให้พ่อเกลียดฉันยังไงล่ะ”
“พ่อรักน้องเอมมากนะ น้องเอมได้โปรดอย่าคิดแบบนั้นเลย”
“รักเหรอ รักแต่ให้แกคอยเฝ้าฉันทุกฝีก้าว ฉันไปทำแท้ง แกก็เสนอหน้าไปบอก คงได้หน้ามาหลายกระบุงสินะ”
เอริก้ายิ้มเหี้ยม ขณะทรุดกายลงนั่งบนส้นเท้า จ้องหน้าขวัญชีวาราวกับโกรธแค้นกันมานับร้อยๆ ชาติ ขวัญชีวาร่ำไห้ด้วยความเสียใจ
“จำเอาไว้นะนังขี้ข้า ฉันจะตบแกแบบนี้”
เอริก้าไม่ได้พูดเปล่า แต่สาธิตด้วยการฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้างามของขวัญชีวาอีกครั้ง และหัวเราะร่วนออกมา
“ตบทุกวัน ตบจนแกจะไสหัวออกไปจากบ้านของฉันนั่นแหละ”
เอริก้าผุดลุกขึ้นยืน มองร่างของขวัญชีวาที่สั่นเทาด้วยแรงสะอื้นอย่างสะใจ ก่อนจะหมุนตัวและเดินจากไปอย่างอารมณ์ดีเหลือเกิน
ขวัญชีวามองตามร่างของน้องสาวบุญธรรมไปทั้งน้ำตานองหน้า ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนและเดินออกไปอีกทางหนึ่งซึ่งตรงกันข้ามกับทางที่เอริก้าเดินไป ช่องทางแคบๆ ปูด้วยพรมหนาสีน้ำตาลเข้ม แสงไฟระยิบระยับบนศีรษะส่องทางจนสว่างไสว หญิงสาวพาร่างกายที่สะอื้นไม่หยุดของตัวเองมาหยุดตรงริมสระน้ำขนาดใหญ่ อดทึ่งกับความสามารถของมนุษย์ไม่ได้ ที่สามารถเนรมิตทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามใจคิด แม้แต่สระน้ำขนาดใหญ่บนตึกสูงระฟ้าก็ตาม
หญิงสาวใช้สองมือดึงชายชุดราตรีขึ้นมาไว้ที่หน้าขา ขณะเดินไปทรุดตัวลงที่ขอบสระ เรียวขางามหย่อนลงไปในน้ำเย็นเยือก เตะเพียงเบาๆ สายน้ำก็กระเซ็นมาโดนแก้มนวล ขวัญชีวาถอนใจออกมากับเหตุการณ์ซ้ำซากที่เกิดขึ้นกับตัวเอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอริก้าทำร้ายหล่อน แต่มันน่าจะเกินสองร้อยครั้งแล้วมั้งที่น้องสาวบุญธรรมทำแบบนี้กับหล่อน
‘เจ็บ ทรมาน และแสนอึดอัดเสียงนุ่มทุ้มแต่แสนอันตรายของใครบางคนดังขึ้นจากทางด้านหลัง ขวัญชีวาตัวแข็งทื่อ กลีบปากสั่นระริก หยุดเท้าที่กำลังไกวอยู่ในน้ำเพลินลงทันที
“จะไม่หันหน้ามาแนะนำตัวให้ผมรู้จักหน่อยหรือครับ”
คราวนี้น้ำเสียงของคนแปลกหน้าด้านหลังไม่ได้เป็นประโยคบอกเล่าธรรมดาเสียแล้วสิ แต่มันเป็นการสั่งกลายๆ ขวัญชีวากัดปากที่สั่นระริกของตัวเองจนเจ็บขณะทำใจกล้าลุกขึ้นยืนและหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงนุ่ม
แล้วก็รู้สึกไม่ต่างจากถูกกระแสไฟฟ้าสักพันสักหมื่นโวลต์ดูดอย่างแรง เมื่อสายตาได้ปะทะเข้ากับดวงตาสีน้ำเงินอมดำของผู้ชายตรงหน้า เขาเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารของผู้ชายที่หล่อระดับโลกเสียมากกว่าจะมีตัวตนจริงๆ
ใบหน้าสี่เหลี่ยมประกอบด้วยเครื่องเคราที่เหมาะเจาะลงตัว หรือจะเรียกให้มันเพราะพริ้งนั่นก็คือผู้ชายคนนี้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติตั้งแต่หัวจรดปลายเท้านั่นแหละ
ก็ดูสิ ดวงตาสีน้ำเงินอมดำที่หากอยู่บนใบหน้าของผู้ชายคนอื่นคงจะดูดุดันและน่าเกลียดมากกว่าน่ามอง แต่พอมันอยู่บนใบหน้าสี่เหลี่ยมบึกบึนของเขาคนนี้ มันช่างดูน่ามอง น่าหลงใหล และน่าหลงรักหัวปักหัวปำเสียเหลือเกิน
ไหนจะจมูกที่มองแล้วน่าจะโด่งเกินไป แล้วยังจะปากที่เหมือนจะกว้างไปนั่นอีก ทุกอย่างมันดูเลอะเทอะเปรอะเปื้อนยังไงก็ไม่รู้ แต่พอมันมาอยู่บนใบหน้าของผู้ชายคนนี้ มันดูหล่อเว่อร์อย่างร้ายกาจ นี่เขาคนนี้คงเป็นตัวแทนของเทพบุตรในคราบซาตานใช่ไหมเนี่ย
“คุณ…”
“ผมวินซ์ เอเมอร์ตัน เจ้าของเพนต์เฮาส์ที่พวกคุณกำลังสนุกกันอยู่นี่แหละ”
เขาแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ขณะกวาดตาขึ้นๆ ลงๆ ไปตามเนื้อตัวของหล่อนอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ถึงเขาจะหล่อลากไส้แต่ก็ไม่มีสิทธิ์มามองหล่อนราวกับกำลังประเมินราคาสินค้าแบบนี้ มันไร้มารยาทนัก
“เจ้าของ? คุณก็คงเป็นเจ้าของโรงแรมเครือเอเมอร์ตันใช่ไหมคะ”
“ถ้าคุณฟังนามสกุลของผมดีๆ ก็น่าจะรู้”
เขายิ้มบางๆ แต่กระนั้นก็ทำให้ขวัญชีวาจ้องมองตาค้างเลยทีเดียว ผู้ชายคนนี้ช่างเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความหล่อเลิศกับความป่าเถื่อน และคำจำกัดความที่เหมาะสำหรับนายวินซ์ เอเมอร์ตันคนนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น ‘เทพบุตรซาตาน’ ใช่ เหมาะสมกับเขาชะมัดเลยล่ะ
“แต่ถ้าจะให้ผมนั่งบอกกิจการในครอบครองทั้งหมด ก็คงต้องนั่งฟังผมทั้งคืนแหละคนสวย…นี่ยังไม่บอกผมเลยนะว่าคุณเป็นใคร”
คนตัวโตที่ตอนนี้อยู่ในชุดลำลองสบายๆ และหากหล่อนตาไม่ฝาด หล่อนเห็นขากางเกงที่เขาพับขึ้นไปอยู่ใต้เข่าเปียกเล็กน้อย นี่แสดงว่าเขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มานั่งเตะน้ำเล่นอย่างนั้นหรือ แต่จะเป็นใครก็ช่างเถอะ หล่อนไม่ควรจะเสวนาด้วยทั้งนั้น
“ฉันไม่ชอบการข้องแวะกับคนแปลกหน้า ขอตัวนะคะ”
ขวัญชีวาตัดบทดื้อๆ พยายามจะเดินหนีแต่เจ้าชุดราตรียาวที่มีบางส่วนเปียกน้ำก็ทำให้หล่อนเคลื่อนไหวลำบากเสียเหลือเกิน และมันก็ช้ากว่าที่หล่อนจะหนีอุ้งมือร้อนผ่าวของพ่อเทพบุตรซาตานได้ทัน
“นี่ปล่อยนะ”
“บอกผมสิว่าคุณชื่ออะไร?”
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกคุณสักหน่อย ปล่อยนะคะ ฉันจะกลับเข้าในงานเลี้ยงแล้ว”
แม้จะพยายามขัดขืนแค่ไหนแต่ข้อมือก็ไม่สามารถหลุดออกมาจากกรงนิ้วที่แข็งดุจคีมเหล็กของผู้ชายหล่อระเบิดตรงหน้าได้
“ถ้าไม่บอกผมดีๆ ผมจะเข้าไปประกาศตามล่าหาคุณในงาน ดูสิว่าตอนนั้นจะยังอมพะนำชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองได้หรือเปล่า”
“นี่คุณ!”
จ้องมองเขาตาเขียว แต่วินซ์ไม่สนใจ ก้มหน้าเข้ามาใกล้อีกจนปลายจมูกแทบจะชนกัน
“ให้เวลาคิดสิบวินาที…หนึ่ง…สอง…”
“ก็ได้…ฉันบอกก็ได้ ขวัญชีวา ซีร์ยานอฟ แค่นี้พอใจหรือยัง”
“คุณเป็นอะไรกับคอร์เนล ซีร์ยานอฟ อย่าบอกนะว่าเป็นเมีย เพราะผมไม่เชื่อ”
น้ำเสียงของผู้ชายตรงหน้ากระด้างและดุดันขึ้นจนหญิงสาวอกสั่นขวัญแขวน ตอบไปด้วยน้ำเสียงสั่นระริกที่ตัวเองปิดเท่าไรก็ไม่ยอมมิด
“ญาติห่างๆ แล้วนี่จะปล่อยได้หรือยัง”
วินซ์ เอเมอร์ตันปล่อยข้อมือบางให้เป็นอิสระ ขณะก้าวถอยหลังออกห่างสองสามก้าว
“ไปสิ ผมอยากอยู่คนเดียวแล้วล่ะ”
“ไม่ต้องมาไล่หรอกค่ะ ฉันไปแน่อยู่แล้ว”
แม้จะแปลกใจที่จู่ๆ ก็ถูกคนที่จับมือของหล่อนไว้ไม่ให้ไปไหนเมื่อครู่ขับไล่ แต่ขวัญชีวาก็ไม่อยากเสี่ยงที่จะอยู่เผชิญหน้ากับผู้ชายหน้าดุ ตาดุคนนี้ตามลำพังต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว แม้เขาจะหล่อปานเทพบุตรที่ตกลงมาจากชั้นฟ้าก็ตาม
ขวัญชีวารีบพาตัวเองมุ่งหน้ากลับเข้าไปในงานเลี้ยงอย่างรวดเร็ว วินซ์มองตามไปจนลับตาก่อนรอยยิ้มเลือดเย็นจะผุดขึ้นมาที่มุมปากหยักสวยของเขามหาศาลนัก
“จุดจบของซีร์ยานอฟใกล้มาถึงแล้วสินะ”