เมียเก็บมาเฟีย ชุด เทพบุตรมาเฟีย - ตอนที่ 40
หลังจากขจัดเจ้าเสื้อผ้าเปียกน้ำออกจากไปจากเรือนกายเรียบร้อยแล้ว คอร์เนลก็มุ่งหน้ากลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองอีกครั้ง มือใหญ่กำลูกบิดทองเหลืองเอาไว้แน่น
‘ยาหยีคงกลับไปแล้วล่ะ ในเมื่อเวลามันผ่านมาตั้งสองสามชั่วโมงแล้วนี่’
หนุ่มหล่อขั้นเทพถอนใจออกมาแรงๆ อีกครั้งก่อนจะกระชากบานประตูจนมันเปิดออก จากนั้นจึงก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป เท้าใหญ่ดันเบาๆ ประตูไม้ก็ปิดสนิทลง แต่ระหว่างที่เขากำลังจะเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานนั้น หางตาก็รับภาพของสตรีคนหนึ่งที่กำลังนอนหลับใหลอยู่บนโซฟาริมหน้าต่างห้อง
ลมหายใจกระตุกแรงๆ ทันทีเมื่อเขาหันไปจ้องมองผู้หญิงคนนั้นเต็มๆ ตา
จะเป็นใครไปได้ล่ะ ก็แม่ยาหยีแสนหวานของเขาไง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าหล่อนจะหน้าด้านหน้าทนถึงเพียงนี้ คงห่วงพ่อมากสินะถึงได้ยอมลดศักดิ์ศรีนอนรออยู่อย่างนี้
ความปีติยินดีที่ได้เห็นว่าเจ้าหล่อนยังคงอยู่ที่นี่เปลี่ยนแปรเป็นความเดือดดาลและดูหมิ่นในพริบตา เมื่อสมองร้องบอกว่าที่ยาหยียังอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าหล่อนห่วงบิดาเท่านั้นเอง แม่คุณทูนหัวไม่ได้รู้สึกรู้สาใดๆ กับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
คอร์เนลกัดฟันแน่นขณะเดินเข้าไปกระชากร่างอรชรที่กำลังนอนหลับอยู่ให้ลุกขึ้นมาเผชิญหน้าด้วยกิริยาเหี้ยมเกรียมไร้ความปรานี
“อยากให้ผมเอาทำเมียนักใช่ไหม ถึงได้ยังอยู่ที่นี่น่ะ!”
“ฉัน…ฉันแค่อยากให้คุณปล่อยพ่อไป แล้วฉันจะยอม…”
ยาหยีพยายามอ้อนวอน แต่พอเห็นรอยยิ้มเลือดเย็นที่ผู้ชายตรงหน้าระบายออกมา หญิงสาวก็รู้ซึ้งเลยว่าคำขอร้องของหล่อนไม่มีทางสัมฤทธิผลอย่างแน่นอน ต่อให้หล่อนต้องแก้ผ้าทั้งตัวก็ตาม
“ให้ผมเอาโดยไม่จำกัดจำนวนครั้งใช่ไหมล่ะ?”
ทั้งน้ำเสียง คำพูด และสายตาของเขาที่มองมานั้น ทำให้หน้าของหล่อนลุกเป็นไฟ อับอาย อดสู แต่ก็ต้องกัดฟันทน
“คุณก็รู้ว่าฉันไม่มีทางเลือก และนี่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยพ่อได้”
ยิ่งแม่คุณแสดงออกมาว่าที่ทำแบบนี้เพราะกตัญญูมากเท่าไร คอร์เนลก็ยิ่งเจ็บใจ เจ็บแค้น และยิ่งต้องการจะเอาชนะ
“ก็ได้…เอาสิ ผมรับข้อเสนอของคุณ” นิ้วเรียวยาวกดลงบนต้นแขนกลมกลึงของหล่อนหนักกว่าทุกทีที่เขาแตะต้อง ใบหน้าคมสันก้มต่ำลงมาหา ลมหายใจร้อนระอุของคอร์เนลยังทำให้เลือดสาวของหล่อนร้อนผ่าวได้เช่นเดิม
“แล้วอย่าร้องล่ะ ถ้าผมไม่ให้คุณพักผ่อนน่ะ”
“อุ๊ย! จะทำอะไรคะ”
ร้องออกมาเมื่อร่างอรชรของตัวเองถูกคนตัวโตดันให้นอนหงายลงกับโซฟา ใบหน้าซีดสลับแดงเมื่อกายสาวของหล่อนถูกความแข็งแกร่งทรงพลังของคอร์เนลบดอัดลงมาหา
ชายหนุ่มหัวเราะร่วนเหนือศีรษะสวยของยาหยี
“ก็จะเริ่มยกแรกยังไงล่ะ”
ปากร้อนผ่าวงับลงมาเบาๆ ที่กลีบปากล่างหวานหยดย้อยของหล่อน รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมของคอร์เนลเขย่าโสตประสาทของหล่อนให้บ้าคลั่ง
“ที่โซฟาก่อน จากนั้นก็ค่อยไปต่อกันที่พื้นพรม และหากผมยังไม่หมดแรงกับเซ็กส์ร้อนๆ ของคุณละก็ เราอาจจะได้ซ้ำอีกรอบบนโต๊ะทำงานตัวใหม่ของผม หรือว่าเป็นห้องน้ำ ในอ่าง หรือใต้ฝักบัว ผมจัดให้ได้ทุกที่นั่นแหละ”
ยาหยีไม่สามารถโต้ตอบอะไรเขาออกไปได้เลยแม้แต่คำเดียว เพราะสมองของหล่อนตายดับไปตั้งแต่ตอนที่ถูกมือแกร่งร้อนผ่าวปลดเปลื้องเสื้อเชิ้ตออกไปจากตัวแล้ว
“ผมพยายามแล้วนะที่จะไม่ทำแบบนี้กับคุณ แต่คุณดันหาเรื่องใส่ตัวเอง”
ลมหายใจของคอร์เนลติดแหง็กอยู่แค่ลำคอทันทีเมื่อสายตาปะทะเข้ากับเนินอกสาวอวบใหญ่ที่ล้นทะลักบราเซียร์สีขาวออกมา สายตาของเขาประสานเข้ากับดวงตาหวานฉ่ำของเจ้าหล่อนเข้าโดยบังเอิญ และนั่นก็ทำให้กายหนุ่มรุ่มร้อนบ้าคลั่ง การควบคุมตัวเองแทบจะสะบั้นลงในพริบตา
‘ให้ตายเถอะ เขาคงยื้อเวลาเล้าโลมเจ้าหล่อนไม่ได้นานนักหรอก’
และเมื่อสิ้นสุดความอดทน ใบหน้าหล่อเหลาก็ค่อยๆ ก้มลงไปหา ยาหยีครางออกมาด้วยความขัดใจเมื่อเขาก้มช้ากว่าปกติมากมายเหลือเกิน จนในที่สุดหล่อนเองต้องเป็นฝ่ายกระชากศีรษะทระนงนั้นลงมาจูบเสียเอง
“อืม…”
คอร์เนลคำรามออกมาด้วยความถูกอกถูกใจกับความร้อนแรงของแม่สาวน้อยใต้ร่าง ตอนนี้ความรู้สึกขัดแย้งทุกอย่างถูกความปรารถนากลบทับจนมิดชิดทีเดียว
ชายหนุ่มจูบตอบปากหวานๆ ที่ดูจะกระตือรือร้นตอบสนองอย่างล้นเหลือของยาหยีด้วยความเร่าร้อนหนักหน่วง และเขาก็ได้รับรางวัลเป็นลิ้นเล็กๆ ซุกซนที่แทรกเข้ามาในอุ้งปากของตัวเอง สติสตังของคอร์เนลบินหายไปในบัดดลเมื่อแม่สาวน้อยแอ่นกายขึ้นหา
“คุณร้อนกว่าทุกครั้งเลยนะยาหยี”
“คอร์เนล…ได้โปรด…”
มือบางกระชากเสื้อผ้าของชายหนุ่มแรงๆ จนกระดุมหลุดออกไปหลายเม็ด จากนั้นก็ไล้ผิวเรียบตึงของเขาด้วยปลายนิ้วนุ่มๆ ของตัวเอง คอร์เนลคำรามออกมาด้วยความรัญจวน รู้สึกว่าโซฟามันคับแคบไปถนัดตา
“ลงมานี่เถอะ”
คนตัวโตพลิกกายลงนอนบนพื้นพรมโดยไม่ลืมดึงร่างงามระทดระทวยของยาหยีให้ตามลงมาทาบทับ ปากของทั้งคู่ยังประกบกันแน่น รสชาติจากปากของหล่อนทำให้เขาลุ่มหลงบ้าคลั่ง มือแกร่งเอื้อมไปด้านหลังปลดตะขอบราเซียร์ออก เต้างามดีดผึงออกมาสู่สายตา คอร์เนลสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ครั้งสองครั้ง ก่อนจะงาบงับปลายถันสีกุหลาบนั้นเอาไว้เต็มปากเต็มคำ
ยาหยีดิ้นสะบัดอย่างรุนแรง เผยอปากร้องครางลั่น
“คอร์เนล…ได้โปรด…”
“ใจเย็นคนสวย…อีกนิดเดียว”
คอร์เนลพลิกกายสาวสลักเสลาของยาหยีให้เปลี่ยนมาอยู่ด้านล่าง เขาขึ้นไปทาบทับเอาไว้ทั้งตัว มือใหญ่ข้างหนึ่งฟอนเฟ้นบีบขยำ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งกำลังปลดเปลื้องกางเกงยีนขายาวอย่างขะมักเขม้น
และเพียงไม่นานร่างอวบอิ่มของยาหยีก็เหลือเพียงแค่กางเกงชั้นในตัวน้อยเท่านั้นที่ปกปิดร่างกาย คอร์เนลสูดหายใจแรงๆ อีกครั้งและอีกครั้งเมื่อสายตามองต่ำลงมาจากหน้าท้องแบนเรียบ เหมือนถูกสะกดด้วยเวทมนตร์ขลัง
“สวยมาก…”
คล้ายกับกำลังละเมอ ก่อนที่คอร์เนลจะก้มลงมอบความเสียวซ่านให้กับเต้าสาวอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มขบเม้มดูดดึงอย่างหิวกระหาย มือสากลูบไล้ฟอนเฟ้นไปทั่วเรือนกายสาว บีบขยำบั้นท้ายอวบก่อนจะวกมาที่ด้านหน้า
“คอร์เนล…”
สาวน้อยสะอื้นฮักเป็นชื่อของเขาในทันทีเมื่อเพลิงสวาทโหมเข้าใส่กายสาวอย่างบ้าคลั่ง สะโพกกลมกลึงส่ายสะบัดรุนแรง
“ได้โปรด คอร์เนล…” ร่างเปลือยสลักเสลาส่ายไปมากับพื้นพรม แล้วสองมือบางก็จิกเล็บลงบนไหล่กว้างทรงพลังเต็มแรงอย่างลืมตัวเมื่อคนตัวโตตอกย้ำความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของบนผิวกายของหล่อน
“ยาหยี…ทูนหัว…”
มันช่างเหมาะเจาะเหลือเกิน ทำไมเขาถึงได้รู้สึกดีขนาดนี้นะ ทำไมต้องเป็นยาหยีด้วยที่ทำให้เขารู้สึกราวกับเป็นเจ้าของโลกทั้งใบแบบนี้ คอร์เนลคิดอย่างมึนงงขณะพาตนเองและสาวน้อยใต้ร่างขยับเข้าใกล้ฝั่งฝันมากขึ้นทุกขณะ
“คอร์เนล…”
เสียงครางเบาๆ ของยาหยีผลักดันให้เขาไปไกลเกินกว่าที่จะควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ และในที่สุดทุกอย่างก็แตกระเบิดเข้าใส่หน้า สะเก็ดดาวพร่างพรายเต็มสองตา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงแสนธรรมดาอย่างยาหยีจะทำให้เขามีความสุขจนแทบสิ้นสติแบบนี้ ไม่น่าเชื่อ มันเหลือเชื่อ แต่เจ้าหล่อนก็ทำให้เขาสุขสมอย่างรุนแรงในทุกครั้งที่ได้เมกเลิฟกัน
คอร์เนลรอจนตัวเองสามารถหายใจได้ราบรื่นเป็นปกติจึงพลิกกายลงจากร่างอรชรที่ยังนอนนิ่งงันอยู่อย่างรวดเร็ว เขาลุกขึ้นจัดการกับเนื้อตัวของตนเองจนเรียบร้อยแล้วก็เดินออกไปจากห้องทำงาน ที่หล่อนมานอนให้เขาตักตวงสวาทโดยไม่คิดจะพูดจาอะไรกับหล่อนเลยแม้แต่คำเดียว
น้ำตาไหลซึมออกมาขณะพยุงกายให้ลุกขึ้นนั่ง ความหวานปะแล่มของรสรักที่คอร์เนลมอบให้เมื่อครู่นี้นั้นจากหายไปในพริบตา ท่าทางห่างเหินไม่แยแสของเขาช่างไม่ต่างจากคมมีดแหลมเลยแม้แต่นิดเดียว ทำไมนะ ทำไมเขาถึงใจร้ายกับหล่อนแบบนี้
หล่อนอยากให้เขากอดหล่อนต่ออีกสักนิด จูบซับน้ำตาให้หล่อนอีกสักหน่อย แล้วพูดจาหวานๆ สักคำก่อนจะลุกหนีไป แต่ก็คงเป็นเพียงแค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงเท่านั้นแหละ
มือบางยกขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง ขณะกัดฟันลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าของตัวเองที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นขึ้นมาสวมใส่ด้วยมือที่สั่นระริก กระดุมเม็ดสุดท้ายกำลังจะเข้าไปอยู่ในรังดุมแต่เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นมาซะก่อน จากนั้นมันก็ถูกเปิดออก ยาหยีหันไปมองด้วยสายตาหวั่นเกรง แล้วก็ต้องเป่าปากโล่งใจเมื่อเห็นว่าเป็นแม่บ้านร่างท้วมนามว่าเชอรี่
‘เขาคงสั่งให้ป้าเชอรี่มาไล่หล่อนล่ะมั้ง’
ความเจ็บช้ำถล่มใส่หัวใจของยาหยีอย่างอำมหิต น้ำตาที่พึ่งเช็ดมันแห้งไปหมาดๆ ไหลทะลักออกมาอีกแล้ว
“ฉันกำลังจะไปเดี๋ยวนี้แหละป้า”
“อ้าว…คุณรู้แล้วหรือคะ ไหนนายน้อยบอกว่าคุณยังไม่รู้ ป้าล่ะงงจัง”
ยาหยีพยักหน้ารับด้วยความขมขื่นที่ปิดไม่มิด
“ฉันรู้ฐานะตัวเองดีค่ะว่าควรจะทำตัวยังไง ไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะ ฉันจำทางได้”
“จำทางได้?” คราวนี้เชอรี่อุทานออกมาเสียงสูงปรี๊ดเลยทีเดียว
“แต่คุณยังไม่เคยไปห้องอาหารนี่คะ ทำไมถึงบอกว่าจำทางได้ล่ะ”
คำพูดของคู่สนทนาทำเอาน้ำตาที่กำลังไหลอยู่หยุดไปชั่วขณะ ยาหยีจ้องหน้าแม่บ้านร่างท้วมนิ่ง ความข้องใจอัดแน่นเต็มกระแสเสียง
“ห้องอาหาร? นี่ป้ากำลังหมายถึงอะไรกันคะ”
“ก็นายน้อยให้ดิฉันมาเชิญคุณไปทานอาหารค่ำที่ห้องอาหารยังไงล่ะคะ เอ…ไหนคุณบอกว่ารู้แล้วยังไงล่ะคะ”
‘นี่เขาให้คนมาพาหล่อนไปทานอาหารด้วยอย่างนั้นหรือ เห็นชัดๆ ว่าใช่’ ยาหยีถอนใจออกมา กัดปากแน่นจนเจ็บ ความน้อยใจเริ่มแผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง และมันก็รุนแรงจนน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
“ฉันไม่ไป ฉันจะกลับไปที่หอ” หญิงสาวก้าวผ่านธรณีประตูไป เชอรี่รีบวิ่งตามหน้าตาตื่น
“ไม่ได้นะคะ คุณจะกลับไม่ได้ นายน้อยกำลังรอคุณอยู่”
เชอรี่พยายามท้วงแต่ยาหยีไม่ยอมฟังแม้แต่นิดเดียว ยังคงเดินลิ่วๆ ไปตามทางเดินที่ปูด้วยพรมหนาสีสวยไม่ยอมหยุด
“ก็ให้รอไปสิ รอให้ถึงสว่างเลยยิ่งดี”
“แต่นายน้อยไม่ชอบให้ใครขัดใจนะคะ ได้โปรดอย่าหาเรื่องใส่ตัวเองเลยค่ะ ที่นายน้อยเชิญคุณให้ร่วมโต๊ะอาหารด้วยถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดแล้วนะคะ ผู้หญิงมากมายต่างรอโอกาสแบบคุณอยู่แต่ก็ไม่เคยได้รับสักคน”
ยาหยีหยุดเดิน พร้อมๆ กับหันกลับไปจ้องหน้าเชอรี่เขม็ง
“ฉันขอสละสิทธิ์ ให้เขาไปเรียกบรรดาอีหนูของตัวเองมากินด้วยเถอะ ฉันไม่ต้องการ”
ความน้อยใจ ความเจ็บปวดจากท่าทางเย็นชาของเขา ทำให้ยาหยีเลือกที่จะไม่อ่อนข้อให้อีก หล่อนไม่อยากเห็นหน้าเขาในตอนนี้ ผู้ชายใจดำยิ่งกว่าอีกาอย่างคอร์เนล
“แต่ว่า…”
เชอรี่ยังพูดไม่ทันจบประโยค เสียงห้าวของคอร์เนลก็ดังขึ้นซะก่อน ทั้งเชอรี่และยาหยีต่างหันไปมองยังต้นเสียงพร้อมๆ กัน
“ไปทำงานอย่างอื่นเถอะเชอรี่ ทางนี้ฉันจะจัดการเอง”
“ค่ะนายน้อย”
เชอรี่รับคำและรีบเผ่นแน่บจากไปในทันที ทิ้งให้หล่อนต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายใจทมิฬเพียงลำพัง หญิงสาวถอยหลังหนีเมื่อคนตัวโตก้าวเข้ามาหา
“อย่าเข้ามานะ”
“นึกแล้วว่าต้องดื้อ ผมถึงต้องมาจัดการเอง”
แม้จะพยายามถดถอยหนีเช่นไร แต่ในที่สุดเขาก็คว้าข้อมือของหล่อนไว้จนได้ พยายามดิ้นรน พยายามขัดขืน แต่สุดท้ายก็ถูกกอดรัดแน่นอยู่ดี
“ปล่อยนะ ปล่อย…”
คนตัวโตก้มลงมาหา นัยน์ตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีที่จ้องมองมานั้นอัดแน่นไปด้วยความหิวกระหายรุนแรง จนคนถูกมองอย่างหล่อนหัวใจสะท้านสะเทือน
“อย่าลืมสิว่าคุณอยู่ในฐานะอะไร ทำทุกอย่างเพื่อพ่อ แม้จะต้องนอนกับผมแบบอันลิมิตก็ตาม”
คำเตือนนุ่มๆ ของเขาทำให้ความวาบหวามที่กำลังก่อตัวขึ้นในหัวใจสลายหายไปในทันที สาวน้อยเม้มปากแน่น และรีบเบี่ยงหน้าหนีปลายจมูกโด่งงามด้วยความน้อยอกน้อยใจ ที่แท้ก็เพราะไม่อยากขาดทุนนี่เองถึงได้มาทำดีแบบนี้กับหล่อน
“ฉันไม่มีวันลืมหรอกค่ะ”
“ไม่ลืมก็ดีแล้วนี่ งั้นไปกินข้าวกัน แล้วเราจะได้ไปทำกิจกรรมสนุกๆ กันต่อในห้องนอนของผม”
จากกอดเปลี่ยนมาเป็นโอบประคองแบบบังคับแทน หญิงสาวพยายามขืนตัวเอาไว้ไม่ให้เดินตามเขาไป แต่ก็ทำไม่สำเร็จ สุดท้ายก็ต้องมาหยุดที่หน้าห้องอาหารแสนโอ่อ่าจนได้ เขาพาหล่อนเข้ามาหยุดหน้าโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ที่มีอาหารมากมายเรียงรายอยู่ตรงหน้า
“เราทานกันแค่สองคนหรือคะ”
“ใช่…” คอร์เนลตอบเสียงราบเรียบ ขณะเลื่อนเก้าอี้ให้หล่อนนั่ง ก่อนที่ตัวเองจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวติดกับหล่อนนั่นแหละ
“ฉันกินเป็นปีเชียวนะเนี่ย” สาวน้อยพูดติดตลกลืมความน้อยใจไปชั่วขณะ
“แต่สำหรับผมแค่มื้อเดียว”
เขาตอบเสียงโทนเดิมเปี๊ยบ จากนั้นก็เชื้อเชิญให้หล่อนตักนู่นชิมนี่จนเกือบครบทุกจาน ความจริงหล่อนก็อยากจะอิดออดแข็งข้อหรอกนะ แต่ท้องเจ้ากรรมมันไม่ยอมเห็นด้วยน่ะสิ มันร้องคร่ำครวญอยากสวาปามอาหารน่ากินทั้งหลายนี้จนหน้ามืดตามัวแล้ว ดังนั้นหล่อนจึงก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารตรงหน้าโดยไม่ปริปากพูดจาอะไรกับเจ้าของบ้านอีกเลยแม้แต่คำเดียว คอร์เนลเห็นก็อดอมยิ้มบางๆ ด้วยความเอ็นดูไม่ได้ เขากินไปพลางมองแม่สาวน้อยไปพลางอย่างสบายอารมณ์
และในที่สุดชายหนุ่มก็ค้นพบว่าการนั่งกินข้าวคนเดียวมาตลอดชีวิตนั้นมันเป็นสิ่งที่ผิดพลาดมหันต์เลยทีเดียว