เมียเก็บมาเฟีย ชุด เทพบุตรมาเฟีย - ตอนที่ 35
ผ่านมาเกือบสามชั่วโมงก็แล้ว สี่ชั่วโมงก็แล้ว แต่ยาหยีก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะฟังคำพูดใดๆ ของเพื่อนร่วมโต๊ะที่กำลังแลกเปลี่ยนความรู้กันเลยแม้แต่นิดเดียว ให้ตายเถอะ สมองของหล่อนวนเวียนและก็วกวนอยู่แต่กับเรื่องของคอร์เนลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ใบหน้าของเขาฉายชัดอยู่ในสมอง กลิ่นกายของเขายังอบอวลอยู่ในจมูกไม่จืดจาง และหล่อนก็โหยหาอ้อมแขนกำยำของเขาเหลือเกิน โหยหาหิวกระหายจนแทบจะทนไม่ได้อยู่แล้ว
“ลูกหยี…ยายลูกหยี…”
เสียงลินดาที่ดังขึ้นกลางโต๊ะ ทำให้ยาหยีหลุดออกมาจากวังวนเสน่หาที่ตัวเองตกลงไปทั้งกายและใจได้ชั่วขณะ
“อะไรนะ พวกเธอว่าอะไรนะ?”
ลินดาส่ายหน้า ถอนใจหนักๆ พร้อมกัน ขณะเอียงหน้าเข้ามากระซิบกระซาบข้างใบหูของเพื่อนสนิทเสียงเบาพอแค่ได้ยินกันสองคน
“เป็นมากแล้วนะลูกหยี ฉันว่าถ้าคิดถึงพ่อเทพบุตรนัยน์ตาสีเขียวคนนั้นมากก็ไปหาเขาเถอะ เพราะต่อให้นั่งตรงนี้จนพวกฉันเลิกติวกัน เธอก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอก ในเมื่อหัวใจของเธอไม่ได้อยู่ตรงนี้”
คำพูดของลินดาทะลุทะลวงเข้าสู่หัวใจของหล่อนและมันก็ตีแผ่ความจริงออกมาให้ได้เห็น ใช่สิ หล่อนนั่งตรงนี้มาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว แต่หล่อนก็ยังฟังเพื่อนๆ ไม่รู้เรื่องเลย สมองคิดถึง ร่างกายโหยหาแต่คอร์เนลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทว่ามันก็ยากนักที่จะยอมรับออกไป
“มะ…ไม่…ไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วมันแบบไหนล่ะ เธอเหม่อ เธอใจลอย ฉันเรียกตั้งนานเธอก็ไม่ได้ยิน แล้วจะให้คิดว่าเป็นอะไร หลับหรือไง” ลินดายังประชดเสียงแผ่วเบาที่ข้างหูของยาหยีเช่นเดิม ก่อนจะพูดต่อ
“เธอไม่ได้หลับ แต่เธอกำลังคิดถึงเขา คิดถึงผู้ชายคนแรกของเธอ”
หมดปัญญาที่จะเถียงออกไป ยาหยีได้แต่ก้มหน้านิ่ง ลินดาเห็นแล้วก็อดเวทนาไม่ได้ จึงลุกขึ้นและดึงแขนเพื่อนรักให้เดินตามตัวเองออกไปยังมุมลับตาคนแห่งหนึ่งภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยที่พวกตัวเองศึกษากันอยู่
“ไปหาเขาสิ…ไปเถอะ อย่าคิดว่าเป็นการง้องอนเลยลูกหยี รักเขาก็พูดออกไป”
เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้ว ลินดาจึงพูดเตือนสติ
“ถึงฉันจะรักเขา แต่เขาไม่มีทางรักฉันหรอกลินดา ฉันเป็นแค่ผู้หญิงที่เขาต้องนอนด้วยเพราะว่าไม่อยากขาดทุนเท่านั้นเอง มันแค่นั้นจริงๆ นะในสายตาของเขาน่ะ”
หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่ก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ และในที่สุดมันก็ไหลออกมาอาบแก้มจนต้องรีบเช็ดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว
“แต่เธออยากเห็นหน้าเขาไม่ใช่เหรอ แล้วเธอมีความสุขหรือไงหากต้องนั่งคิดถึงเขาตลอดเวลาแบบนี้ ไปเถอะน่า อาจจะแค่คืนเดียวหรือแค่ชั่วโมงเดียว แต่เธอก็จะมีความสุขกว่าที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้นะลูกหยี อนาคตไว้ค่อยคิดถึงมันเถอะ แค่วันนี้เรามีความสุขที่สุดก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”
“แต่ว่าฉัน…ฉัน…”
“เรื่องของหัวใจมันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรมารองรับเสมอไปหรอกนะ แค่ใช้หัวใจนำทางก็พอแล้ว” ลินดาดึงมือยาหยีขึ้นมากุมเอาไว้ บีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“เธอรักเขา อย่าปฏิเสธเลย”
ลินดาพูดขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสาวทำท่าจะปฏิเสธ
“ทำตามหัวใจตัวเองเถอะ บางทีสิ่งที่เธอคิดอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นคิดก็ได้นะ เชื่อฉันนะ ไปหาเขาซะ แล้วทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ อย่าฝืนหัวใจตัวเองนักเลย”
‘ทำในสิ่งที่หัวใจตัวเองต้องการอย่างนั้นเหรอ?
แล้วหากคอร์เนลขับไล่หล่อนล่ะ หากเขาบอกว่าไม่อยากเห็นหน้าหล่อนล่ะ จะทำยังไง’
“พรุ่งนี้เจอกันนะยาหยี และหวังว่าเธอจะไม่มาเคาะเรียกฉันตอนกลางดึกล่ะ เพราะฉันจะไม่มีวันเปิดรับแน่นอน”
ลินดายิ้มหวานให้กำลังใจคนหน้าแดงก่ำที่ยืนอยู่ตรงหน้า “ค้างกับเขาเถอะ ทำให้เขามีความสุข แล้วเธอก็จะมีความสุขไปด้วย ฉันไปนะ”
ลินดาเดินกลับไปที่โต๊ะติวหนังสือแล้ว แต่ยาหยีก็ยังยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม สมองดับ เท้าตายขึ้นมาในทันทีเมื่อคิดว่าตัวเองต้องไปเผชิญหน้ากับคอร์เนลในไม่ช้านี้ ไม่ใช่รังเกียจ แต่หวาดกลัวต่อสายตาเหยียดหยามของเขาที่จะมองมาต่างหาก
‘หล่อนคงต่ำยิ่งกว่าขยะแน่ๆ หากปล่อยให้ผู้ชายร้ายกาจคนนั้นรู้ความในใจ แต่ถ้าหากหล่อนไม่ไปหาคอร์เนล หัวใจของหล่อนก็คงจะต้องทุรนทุรายเพราะพิษแห่งความโหยหาอยู่แบบนี้ทั้งคืนทั้งวันแน่ๆ’
ยาหยีถอนใจออกมาเบาๆ พร้อมกับก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองอย่างไม่มีทางหลีกหนีได้พ้น และไม่ช้าเท้าบอบบางก็ก้าวเดินออกไปจากห้องสมุดประจำมหาวิทยาลัยอย่างเงียบเชียบ
คฤหาสน์ใหญ่โตเบื้องหน้ายังคงวิจิตรตระการตาเฉกเช่นทุกครั้งที่ได้พิศมอง ยาหยีจ่ายเงินค่ารถแท็กซี่เสร็จแล้วจึงก้าวลงมายืนที่หน้ารั้วขนาดใหญ่ มือบางยกขึ้นกระชับกระเป๋าที่สะพายอยู่ข้างลำตัวเอาไว้แน่น ขณะที่เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นตามฝ่ามือและไรผมอย่างมหาศาล
ตอนนี้ทั้งความโหยหา ทั้งความหวาดหวั่น ต่างระดมพุ่งเข้าใส่กลางหัวใจของหล่อนอย่างรุนแรงเลยทีเดียว โอ้…สวรรค์ นี่หล่อนคิดถูกหรือคิดผิดกันนะที่ตัดสินใจเดินเข้ามาหาพ่อมัจจุราชรูปหล่อบาดจิตอย่างคอร์เนล ซีร์ยานอฟคนนี้
หัวใจเต้นรัวแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก หญิงสาวพยายามข่มความหวาดหวั่นเอาไว้ ขณะกัดฟันเดินเข้าไปหายามสองสามคนที่หน้ารั้ว
“ฉันมาหา…”
“เชิญครับคุณผู้หญิง”
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายามพวกนี้จะจำหล่อนได้ ทั้งๆ ที่หล่อนเคยมาที่คฤหาสน์หลังนี้โดยไม่ได้นั่งรถคันหรูของคอร์เนลเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง
“เอ่อ…ขอบคุณค่ะ”
ง่ายดายจนไม่น่าเชื่อ แต่กระนั้นยาหยีก็เดินผ่านรั้วใหญ่เข้ามาจนได้ ระยะทางไม่ไกลเท่าไรนักจากรั้วใหญ่จนถึงตัวตึก แต่ทำไมนะ ทำไมหัวใจของหล่อนถึงได้เต้นแรงระรัวราวกับพึ่งไปวิ่งมาราธอนรอบโลกมาซะอย่างงั้น
“คุณยาหยี!”
กำลังจะก้าวเข้าไปภายในตึกใหญ่ แต่เสียงของเชอรี่แม่บ้านร่างท้วมก็ดังขึ้นเสียก่อน ยาหยีรีบหันไปมองแล้วก็ระบายยิ้มบางๆ ให้
“ป้านั่นเอง”
เชอรี่มองซ้ายมองขวาก่อนจะรีบลากยาหยีให้เดินตามตัวเองไปที่มุมตึกลับตาคน
“คุณมาที่นี่โดยไม่มีคำสั่งจากนายน้อยไม่ได้นะคะ”
“เขาจะฆ่าฉันอย่างนั้นหรือคะป้า”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจชัดเจน ใช่สินะ วันนี้เขาไม่ได้ให้คนไปรับหล่อนมา หรือแม้แต่จะโทรตามสักครั้งก็ไม่มี แต่เป็นหล่อนเองที่เสนอหน้ามาหาเพราะทนแรงคิดถึงไม่ไหว เป็นหล่อนเองที่โง่มากจนยอมบากหน้ามาหา หล่อนมันน่าสมเพชเวทนาจริงๆ
หญิงสาวกัดปากที่สั่นระริกเอาไว้แน่น ดึงมือของตัวเองออกจากมือของคู่สนทนา ก่อนจะเอ่ยลาด้วยน้ำเสียงขมขื่นจนคนฟังถึงกับอึ้งไปด้วยความสงสาร
“ฉันกลับก็ได้ ขอโทษที่มารบกวนค่ะ”
จากที่เคยคิดจะสู้เพื่อให้ได้อยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกสักคืน แต่ตอนนี้ความคิดนั้นเปลี่ยนไปแล้ว หล่อนควรจะกลับ ควรจะไปอยู่ในที่ของตัวเอง ที่นี่มันเลิศเลอและอันตรายเกินไปสำหรับผู้หญิงอ่อนด้อยประสบการณ์ชีวิตอย่างหล่อน
และมันก็เป็นความคิดผิดมหันต์เลยจริงๆ ที่หล่อนมาหาเขาที่นี่ในวันนี้ ความจริงหล่อนก็น่าจะเข้าใจฐานะของตัวเองดีตั้งแต่ที่คอร์เนลเผ่นแน่บออกจากหอพักไปเมื่อคืนนี้แล้วนี่ ทำไมยังคิดใฝ่สูง คิดเข้าข้างตัวเองอีกล่ะ
‘พอเถอะ หยุดเถอะ เลิกคิดว่าจะได้รับเศษเสี้ยวของหัวใจจากผู้ชายคนนั้นสักที หยุดได้แล้วยาหยี!’
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ” เชอรี่รีบดึงแขนของยาหยีเอาไว้และพูดต่อ ขณะที่ยาหยีน้ำตาซึมยืนฟังนิ่ง
“นายน้อยไม่เคยฆ่าคนหรอกค่ะ แต่ที่ป้าถามคุณไปอย่างนั้นก็เพราะมันเคยปากน่ะค่ะ เพราะปกติแล้วนายน้อยไม่เคยอนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามายุ่งวุ่นวายในอาณาจักรของตัวเอง”
“งั้นฉันก็ยิ่งควรจะกลับ…”
“อย่าไปเลยค่ะ บางทีนายน้อยอาจจะกำลังรอคุณอยู่ก็ได้ นายน้อยสนใจคุณมากกว่าผู้หญิงทุกคนที่ป้าเคยเห็น”
แม่บ้านวัยกลางคนพูดไปตามความจริงที่ตัวเองได้เห็นมา แต่กระนั้นยาหยีก็ยังยืนยันคำเดิม
“ฉันขอตัวค่ะ”
“หากคุณไปจากที่นี่ในวันนี้ พ่อของคุณก็อาจจะไม่เหลือแม้แต่ลมหายใจ”
และด้วยต้องการเหนี่ยวรั้งยาหยีเอาไว้ ทำให้เชอรี่หลุดปากเรื่องของยอดชายออกไปจนได้ แล้วมันก็ได้ผลชะงัดนักเพราะยาหยีที่กำลังเดินหนีไปเท้าตายทันที ใบหน้างามหันกลับมาร้องถามด้วยความตื่นตกใจ
“ป้าว่าอะไรนะคะ พ่อ! พ่อฉันอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ”
ยาหยีวิ่งกลับมาจับร่างท้วมของเชอรี่เขย่าแรงๆ ด้วยความลืมตัว ดวงหน้านวลซีดเผือดไร้สีเลือดลงในทุกวินาที
“เอ่อ…”
“บอกมานะป้า บอกฉันมา บอกมาสิว่าพ่อของฉันอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ” น้ำตาไหลพราก ความห่วงใยในสวัสดิภาพของบิดาท่วมท้นหัวใจอย่างรุนแรง แล้วยิ่งเห็นคู่สนทนาอ้ำอึ้งหน้าตาตื่นด้วยแล้ว หล่อนก็ยิ่งห่วงพ่อแทบคลั่ง
“ป้าได้โปรดเถอะ บอกฉันมา…บอกมา!”
เชอรี่ทนแรงสงสารไม่ไหวจึงยอมเอ่ยปากบอก
“ป้าบอกก็ได้ แต่คุณต้องเงียบเอาไว้นะคะ”
ยาหยีรีบพยักหน้ารับทั้งน้ำตา หล่อนเห็นคู่สนทนาชะโงกหน้ามองซ้ายแลขวาอยู่สองสามครั้งก่อนจะยอมเอ่ยความจริงออกมา
“ใช่ค่ะ พ่อของคุณถูกนายน้อยลากตัวมาเมื่อคืน”
“แล้วนายน้อยของป้าทำร้ายพ่อฉันหรือเปล่า เขาทำอะไรพ่อฉันไหม” ด้วยความเป็นลูกทำให้หญิงสาวอดห่วงใยบิดาไม่ได้ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าท่านเป็นฝ่ายผิดก็ตาม
เชอรี่รีบส่ายหน้าและเริ่มต้นเล่า
“นายน้อยไม่ได้ทำอะไรรุนแรงหรอกค่ะ แค่เค้นถามว่าพ่อของคุณเอาเพชรสีทองไปไว้ที่ไหน แต่พ่อของคุณไม่ยอมปริปากบอก เลยทำให้นายน้อยโกรธมาก”
ยาหยีสะอื้นฮักด้วยความสงสารบิดา ขณะวิงวอนขอให้คู่สนทนาช่วย
“ฉันขอพบพ่อหน่อยได้ไหมคะ ป้าจ๋า ช่วยฉันหน่อย”
“แค่ป้าบอกเรื่องนี้กับคุณก็ผิดมหันต์แล้ว”
“แต่ป้าจ๊ะ ช่วยฉันหน่อยเถอะนะ ฉันรับรองว่าจะไม่บอกใคร แล้วจะถามเรื่องเพชรนั่นให้ด้วย นะป้า ช่วยฉันหน่อย”
แม้จะวิงวอนอ้อนวอนให้ตาย แต่เชอรี่ก็ไม่สามารถจะช่วยเหลืออะไรเด็กสาวตรงหน้าได้จริงๆ หล่อนไม่ได้มีอำนาจมากมายขนาดนั้น และหากคอร์เนลรู้เข้า หล่อนถูกไล่ออกจากงานแน่ๆ
“แม้ป้าจะอยากช่วยแค่ไหน แต่ป้าก็ช่วยไม่ได้จริงๆ มีแค่นายน้อยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ความหวังของคุณสำเร็จได้”
สมองของยาหยีเหมือนหยุดทำงานลงไปแล้วเมื่อได้ยินคำตอบของสตรีต่างวัยตรงหน้า ขอร้องคอร์เนลเหรอ อ้อนวอนผู้ชายคนนั้นเหรอ เขาจะตามใจหล่อนทำไม ในเมื่อหน้าของหล่อนเขายังไม่อยากมองเลยด้วยซ้ำ
น้ำตาไหลพราก แรงสะอื้นทำให้กายสาวสั่นเทา
“แต่นายน้อยของป้า…เขา…ไม่ได้อยากพบฉัน เขาเกลียดขี้หน้าฉันแล้ว”
“ไม่จริงหรอกค่ะ นายน้อยคลั่งคุณจะตายไป เมื่อคืนก็หน้าบูดหน้าบึ้งกลับมาบ้าน ทั้งๆ ที่ก่อนออกไปบอกว่าจะไปค้างที่หอพักกับคุณ”
‘ที่หน้าบูดหน้าบึ้งกลับมาก็เพราะเบื่อสาวอ่อนหัดไร้ประสบการณ์อย่างหล่อนมากกว่า’
หญิงสาวคิดด้วยความชอกช้ำ ขณะพยายามร้องสั่งหัวใจตัวเองให้คล้อยตามคำพูดของแม่บ้านร่างท้วมตรงหน้า แต่จนแล้วจนรอดหล่อนก็เชื่อไม่ลง
“เขาเบื่อฉัน”
เชอรี่ค้านคำพูดของยาหยีอีกครั้งด้วยการส่ายหน้าไปมาช้าๆ
“นายน้อยอยู่ในห้องทำงานทางทิศเหนือค่ะ ห้องเดิมนั่นแหละ คาดว่าคุณคงจำได้นะคะ”
จบคำพูดร่างท้วมของแม่บ้านวัยกลางคนก็เดินหายไปจากสายตา ยาหยีถอนใจออกมาด้วยความสับสน สมองมึนงง หัวใจจังงังกับสิ่งที่ได้รู้ยิ่งนัก พ่อของหล่อนกำลังตกอยู่ในอุ้งมือของผู้ชายที่หล่อนเผลอใจไปหลงรัก แล้วหล่อนจะทำยังไงดี จะทำยังไงเพื่อให้คอร์เนลยอมปล่อยบิดาของหล่อนไป แม้เขาจะเคยรับปากว่าจะไม่ฆ่าท่าน แต่หากเขาคิดจะขังพ่อของหล่อนไปตลอดชีวิตล่ะ หล่อนจะยอมได้หรือ จะยอมให้ผู้บังเกิดเกล้าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในสถานที่กักขังแบบนั้นได้ยังไง
สาวน้อยกัดฟันแน่น ข่มความหวาดหวั่นต่อสายตาดูถูกเหยียดหยามของคอร์เนล ขณะก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของชายหนุ่มที่หล่อนจำมันได้ดีว่าอยู่ตรงไหน ความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นภายในห้องนั้นยังติดตราและตรึงใจไม่จาง และถ้าหากเขาต้องการให้หล่อนยอมพลีกายให้อีกเพื่อแลกกับอิสรภาพของบิดา หล่อนก็ยินดีจะทำ
แล้วหล่อนทำแบบนี้เพื่อใครกันล่ะ? บิดา? หรือว่าตัวของหล่อนเอง?