เมียพรหมจรรย์ ชุด ภรรยาของมหาเศรษฐีซาตาน - ตอนที่ 35
ไทเลอร์มองท่าทางห่างเหินของจันทร์เจ้าขาด้วยความไม่เข้าใจ เขาเห็นหล่อนแสดงท่าทางหมางเมินใส่เขาแบบนี้ตั้งแต่มื้อค่ำแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าหล่อนจะทำมันยาวนานมาจนถึงในห้องนอนด้วยแบบนี้ นี่หล่อนเป็นอะไรไปนะ
นี่เป็นครั้งแรกที่ไทเลอร์สนใจความรู้สึกของคนอื่น…
“ปวดท้องประจำเดือนหรือเจ้าขา”
เขาจะดึงร่างของหญิงสาวเข้ามากอด แต่เจ้าตัวสะบัดแรงๆ จนหลุด และตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่ใช่หรอกค่ะ”
“อ้าว… ไม่ใช่แล้วทำไมทำหน้าบูดแบบนี้ล่ะ ยิ้มให้ฉันหน่อยสิ ฉันจะได้หายคิดถึง”
จันทร์เจ้าขาฟังแล้วก็อยากจะหัวเราะออกมาให้เป็นคราบน้ำตายิ่งนัก เขาจะต้องมาคิดถึงหล่อนทำไมกัน ในเมื่อหล่อนไม่ได้มีค่าในสายตาของเขาเลยสักนิด
“ฉันเพลียค่ะ เหนื่อยมาก ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
“จริงสิ วันนี้เธอเริ่มงานในครัววันแรกนี่ ฉันลืมถามเธอเลยว่าเป็นยังไงบ้าง งานหนักไปหรือเปล่า”
เขาพยายามที่จะชวนหล่อนคุย เพื่อทำให้เจ้าหล่อนอารณ์ดี แต่แม่คุณก็ยังฟาดงวงฟาดงาใส่เช่นเดิมจนเขาแสนจะอ่อนใจ
“อย่ามาสนใจฉันเลยค่ะ”
แล้วแม่เจ้าประคุณก็เดินลิ่วๆ หายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้ไทเลอร์มองตามไปด้วยความสับสนมึนงงตามอารมณ์ของเจ้าหล่อนไม่ทัน
“ผู้หญิงนี่เข้าใจยากชะมัด”
แล้วไทเลอร์ก็ล้มตัวลงนอน รอคอยจนหญิงสาวก้าวออกมาจากห้องน้ำ เขาแกล้งหลับตาเมื่อหล่อนสอดตัวเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกัน จากนั้นก็รีบคว้าร่างแน่งน้อยเข้ามากอดแน่น พร้อมระดมจูบอย่างไม่ให้เจ้าหล่อนได้หายใจหายคอ
“อย่าค่ะ…”
“จะทำ… พยศนัก จะต้องปราบให้เชื่องให้ได้”
คนพูดจูบไม่หยุดด้วยความโหยหาและคิดถึง แต่ไม่นานก็ต้องเงยหน้าขึ้นจากเนื้อตัวหอมกรุ่นอย่างประหลาดใจกับท่าทางของเจ้าหล่อน
“ทำไมถึงทำตัวแข็งแบบนี้ล่ะ โกรธอะไรฉันอีก”
“ไม่มีค่ะ อาจารย์อยากจะทำอะไรก็เชิญ รีบทำให้เสร็จๆ ฉันจะได้พักผ่อน”
คนตัวโตอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนที่เขาจะผุดลุกขึ้นนั่ง ท่าทางที่มีความสุขจางหายไปจนหมดสิ้น
“ฉันไม่อาจจะตรัสรู้ได้หรอกนะว่าเธอกำลังเป็นบ้าอะไร แต่ขอร้องล่ะอย่าแสดงท่าทางรังเกียจรังงอนใส่ฉันแบบนี้ ถ้าไม่อยากให้ฉันกอดก็บอกกันดีๆ”
เขาโกรธจัดเลยทีเดียวหล่อนรู้ เพราะตอนนี้เขากระโดดลงไปจากเตียงนอนแล้ว
“และฉันสาบานเลยว่าจะไม่แตะต้องเธออีกแม้แต่ปลายก้อย หากเธอไม่อนุญาต”
ไทเลอร์เดินดุ่มๆ ตรงไปยังประตูห้อง รอบกายกำยำนั้นทอรัศมีอำมหิตออกมาจนคนมองอย่างหล่อนแสบตา
“นั่น… อาจารย์จะไปไหนเหรอคะ”
เขาหยุดเดินและตอบแต่ไม่แม้แต่จะหันกลับมาชายตามอง
“ก็ในเมื่อเธอไม่ต้องการให้ฉันแตะต้อง ฉันก็จะไปนอนที่อื่น”
“แต่มันไม่จำเป็น…”
หล่อนยังพูดไม่ทันจบเขาก็สวนกลับในทันที อย่างเลือดเย็นสุดๆ ด้วย
“มันจำเป็นสิ เพราะถ้านอนที่นี่ ฉันได้กลายเป็นไอ้บ้ากามข่มขืนเมียตัวเองอย่างแน่นอน”
ปัง!
เสียงบานประตูไม้ถูกกระแทกเข้าใส่กับวงกบเต็มแรง จนคนที่นั่งร้องไห้อยู่บนเตียงสะดุ้งด้วยความตื่นตระหนก น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม หัวใจกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานเป็นที่สุด เขาไปแล้ว เขาไม่ใยดีหล่อนเลยสักนิด
สามวันแล้วที่หล่อนไม่ได้เห็นหน้าไทเลอร์เลย ถึงแม้ว่าหล่อนกับเขาจะอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่เขาก็ไม่เคยย่างกายออกมาให้หล่อนได้เห็นเลยสักนิด แถมในยามเช้าที่หล่อนเคยนั่งรถไปกับเขา ก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นรถอีกคันที่มีคนขับรถแทน
เขาเกลียดหล่อนแล้ว… หญิงสาวร้องไห้
หรือไม่ก็คงถึงวาระที่หล่อนจะถูกเขี่ยทิ้งแล้วนั่นแหละ… ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในหัวใจรุนแรงเหลือเกิน มันบีบคั้นให้หล่อนร่ำไห้ออกมาปานจะขาดใจ สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็จบ สุดท้ายความฝันลมๆ แล้งๆ ของหล่อนก็พังทลายลง เหลือไว้แต่ความสิ้นหวังแล้วสินะ
หญิงสาวรีบยกมือขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง ขณะกอดหนังสือแนบอกและเดินไปตามทางเดินเพื่อมุ่งตรงไปยังห้องเรียนในวิชาแรกของเช้าวันนี้ แต่ยังไม่ทันถึงห้องเรียนเลย ศัตรูตัวฉกาจที่คิดว่าหายไปจากโลกใบนี้แล้วก็โผล่พรวดมาขวางหน้าซะงั้น
“สวัสดีจันทร์เจ้าขา…”
“ฟิลิเซีย…”
หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจ ก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วยความกังขาเป็นที่สุด
“เธอ… เธอถูกไล่ออกไปแล้วนี่”
ฟิลิเซียระบายยิ้มหยัน พลางไหวไหล่กว้างของตัวเองน้อยๆ
“เธอจะไปรู้อะไรแม่จันทร์เจ้าขา อาจารย์ไทเลอร์กับพ่อของฉันน่ะสนิทสนมกันมาก และเราสองคนก็มีแผนจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ด้วย อุ๊บ…”
คนพูดแกล้งยกมือขึ้นปิดปากคล้ายกับลืมตัว
“ฉันพูดอะไรออกไปเนี่ย แต่ช่างเถอะ ไหนๆ ก็พูดออกมาแล้ว ฉันก็จะบอกเธอให้หมดเลยก็แล้วกัน ฉันกับอาจารย์ไทเลอร์น่ะเป็นคู่หมั้นกันมาก่อน ตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝั่งต้องการดองสองตระกูลเข้าด้วยกัน”
“ไม่จริง…”
“มันยิ่งกว่าจริงเสียอีกจันทร์เจ้าขา เธออย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลย ถ้าฉันไม่ใช่คนสำคัญของอาจารย์ไทเลอร์ ฉันจะมายืนอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ได้ยังไงกัน คิดดูสิ…”
คนฟังหน้าซีดเผือดแต่ก็ไม่คิดจะเชื่อสิ่งที่ได้ยินง่ายๆ
“ฉันไม่เชื่อ… เธอโกหก ถ้าเธอเป็นคู่หมั้นของอาจารย์ไทเลอร์จริงๆ ทำไมอาจารย์ถึงไม่ได้แสดงท่าทางพิเศษอะไรกับเธอล่ะ”
ฟิลิเซียระบายยิ้มกว้าง ก่อนจะปั้นเรื่องขึ้นอย่างไร้ยางอาย
“เราตกลงกันเอาไว้น่ะ ว่าฉันจะไม่แสดงท่าทางหึงหวงอาจารย์กับผู้หญิงคนอื่น แต่บางครั้งฉันก็ทำไม่ค่อยได้ เลยทำกับเธอแบบนั้นไง…”
“ไม่จริง…”
“มันคือเรื่องจริง ฉันจะโกหกเธอไปทำไม เพราะถึงยังไงซะเธอก็ไม่ใช่คนสำคัญอะไรของอาจารย์ไทเลอร์อยู่ดี อีกไม่นานเธอก็จะถูกเขี่ยทิ้ง เหมือนๆ กับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขาผ่านมานั่นแหละ”
ฟิลิเซียยัดระเบิดลูกใหญ่ใส่มือของหล่อนเอาไว้ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะสะใจที่ดังลั่น
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ คุณเจ้าขา ผู้หญิงคนนั้น… ใครหรือครับ”
ผู้ชายที่ทำหน้าที่คุ้มกันหล่อนรีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาถาม หลังจากไปเข้าห้องน้ำมานานหลายนาที ในขณะที่อีกคนลาหยุดไปเพราะลูกชายป่วย
“ไม่มีอะไรหรอก เพื่อนฉันเอง”
แม้จะพยายามทำตัวให้เป็นปกติยังไง แต่จันทร์เจ้าขาก็ไม่สามารถซ่อนเร้นความเจ็บปวดเอาไว้แต่ในอกได้ เพราะคู่สนทนามองเห็นมันอย่างชัดเจน
“ทะเลาะกับเพื่อนหรือครับ”
“เปล่าหรอก ฉันก็แค่… รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย”
พูดจบก็หมุนตัวเดินออกกลับไปในทิศทางที่จากมา นั่นก็คือมุ่งหน้าออกไปนอกรั้วมหาวิทยาลัย
“นั่นคุณเจ้าขาจะไปไหนครับ”
หล่อนหยุดเดินและหันกลับไปตอบด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าจนน่าเวทนา
“ฉันลืมของเอาไว้ที่ Demon’s Palace จะกลับไปเอา”
“งั้นผมจะไปส่งนะครับ”
“อย่าเลย เดี๋ยวฉันก็มาแล้ว คุณอยู่รอฉันที่นี่แหละ”
“แต่ว่าคุณไทล์จะไม่พอใจ…”
ชื่อของเขาทำให้หล่อนน้ำตาแทบร่วงเลยทีเดียว หัวใจคล้ายกับถูกบีบคั้นด้วยอุ้งมือปีศาจนรก หล่อนเจ็บปวด ทรมานเหลือเกิน
“ฉันรับผิดชอบเรื่องนี้เอง คุณไปทำธุระส่วนตัวให้เสร็จเถอะ ท้องเสียไม่ใช่เหรอ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
จันทร์เจ้าขาฝืนยิ้มให้กับผู้ชายตรงหน้า ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากมหาวิทยาลัย โบกรถแท็กซี่ที่ขับมาพอดีและขึ้นไปอย่างรวดเร็ว บอดี้การ์ดที่ไทเลอร์จ้างเอาไว้ให้ติดตามจันทร์เจ้าขามองตามไปอย่างไม่ไว้ใจนัก แต่เพราะท้องเสียอย่างหนักจึงต้องรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ
ฟิลิเซียที่ยืนหลบอยู่ไม่ไกลนัก เห็นผลงานชิ้นโบว์แดงของตัวเองก็หัวเราะออกมาอย่างสะใจ ก่อนจะรีบเดินออกไปจากมหาวิทยาลัยก่อนที่ไทเลอร์หรือว่าคนอื่นๆ จะตามมาและจำหล่อนได้