เพื่อนบ้านผมคือคุณหนูสาวเจ้าเสน่ห์ - ตอนที่ 9 ดอกไม้งามเปี่ยมไปด้วยหนามแหลม
ตอนที่ 09 ดอกไม้งามเปี่ยมไปด้วยหนามแหลมคม
“เดี๋ยวก่อน—”
คำกล่าวห้ามจากผู้คนล้อมรอบกายไม่เป็นผล
เงื้อมืออันธพาลหนุ่มเตรียมยื่นมือมั่นหมายคว้าอีกฝ่าย
อาศัยชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เงื้อมือที่ควรคว้าเอาข้อมือหญิงสาวผู้งดงามปานเทพธิดากับคว้าได้เพียงอากาศธาตุ ก่อนทุกสิ่งอย่างจะเกิดขึ้นรวดเร็ว รวดเร็วเกินกว่าจะตอบสนองได้ทันท่วงทีพร้อมส่งร่างมันกระเด็นล้มถอยหลังไปหลายต่อหลายก้าว
ดวงตากากเดนสองคู่ที่พบเห็นเพื่อนตัวเองโดนเล่นงานต่างเบิกกว้างขั้นสุด
ก่อนเสียงกรีดร้องหนึ่งเสียงจะดังลั่นทันที
ปัง!
“อ๊าก!”
“นพ!”
“สารเลว!”
“เป็นแค่เด็กน้อยบังอาจเล่นข้ามหัว!”
พอพบเห็นเพื่อนหนุ่มตัวเองโดนเล่นงาน
พวกมันทั้งสองต่างวิ่งหน้าตั้งเตรียมเล่นงานอีกฝ่าย
“…” เมญ่าเบี่ยงตัวหลบเล็กพอ
ก่อนวาดมือไปตามอากาศกระแทกฝ่ามือเข้ากลางใบหน้าส่งอีกหนึ่งกระเด็นไปตามอารมณ์และด้วยการเคลื่อนไหวยอดเยี่ยมบวกกับเรือนร่างทรงประสิทธิภาพ
หล่อนหมุนตัวหลบเลี่ยงหมัดอีกครั้งและก็เป็นอีกครั้งที่ฝ่ามือกระแทกเข้าใบหน้าอีกฝ่ายส่งร่างเนื้อคนสุดท้ายล่วงหล่นลงพื้น ทุกท่วงท่าทุกการลงมือล้วนหมดจด
งดงามสง่าเป็นที่สุด
ปัง!
ปัง!
“…”
“อึก!”
รอยแดงเริ่มปรากฎให้เห็นบนใบหน้าพวกมันสามคน
หากว่ากล่าวตามความเป็นจริงด้วยพละกำลังหญิงสาวเพียงคนเดียวจะต้านทานชายหนุ่มอันธพาลร่างใหญ่โตทั้งสามได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ซึ่งมันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ความเป็นจริงเบื้องหน้ามันช่างแตกต่างเหลือเกิน
นอกจากไม่พ่ายแพ้ไม่กลายเป็นเครื่องมือสนองตัณหาให้กับชายหนุ่มทั้งสาม หล่อนยังจัดการเด็ดขาดอาศัยฝ่ามือเดียวส่งร่างชายหนุ่มทั้งสามลอยกระเด็นถอยหลังตามเดิม
เพิ่มเติมคือไม่ได้ส่งไปร่างเดียวแต่ส่งไปถึงสามร่าง
“…” เมญ่ายิ้มสง่างาม
“พวกคุณเป็นฝ่ายหาเรื่องเองนะคะ”
“บัดซบ!”
หนึ่งในพวกมันยกมือทุบพื้นถนน
ก่อนลุกขึ้นยืนอาศัยพละกำลังเข้าว่า อาศัยความบ้าคลั่งขั้นสุดออกวิ่งเข้าหาหญิงสาวผู้งดงามปานเทพธิดาอีกครั้ง ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนเนื่องจากมันไม่ได้เข้าหาคนเดียว
แต่เข้าหาถึงสามคนด้วยฝ่ามือทั้งหกของเหล่าอันธพาล มันต้องมีสักข้างสักหมัดที่สามารถฝากร่องรอยบางสิ่งอย่างเอาไว้บนใบหน้าหยิ่งยโสของเมญ่า
มันควรจะเป็นแบบนั้นหากไม่โดนขัดขวางเสียก่อน
…‘ก้อนหิน?’
“…” เมญ่าหรี่ตามอง
เป็นช่วงจังหวะเวลาเดียวกับก้อนหินก้อนเล็กพุ่งแหวกอากาศกระแทกเข้ากับดวงตาของพวกมันทั้งสามและทันทีที่ก้อนหินเข้าปะทะกับดวงตาเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นทันที
และเมื่อเสียงกรีดร้องดังขึ้นก็เป็นสัญญาณบ่งบอกให้ลงมือหนักหน่วงขั้นสุด หล่อนไม่คิดปล่อยผ่านปล่อยให้โอกาสเบื้องหน้าเปล่าประโยชน์ เมญ่าเลือกพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายทันที
เข้าจัดการกระทืบพวกมันอย่างโหดเหี้ยม
“อ๊าก!”
“จะ เจ็บ!”
“อย่า!”
ตลอดการกระทืบ
เสียงกรีดร้องของพวกมันยังดังต่อเนื่อง
ฉากภาพทั้งหมดเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนอยู่ในสายตาเหล่าประชาชนคนปรกติธรรมดาทั้งหลาย พวกเขาต่างฝ่ายต่างหยิบยกแนวความคิดเห็นของตนเองออกมาทันที
กล่าวโดยไม่คิดสนใจใครคนอื่น
“นี่ฉันกำลังดูอะไรอยู่เนี่ย?”
“คนเดียวจัดการผู้ชายได้ทั้งหมด”
“นี่มัน ดอกกุหลาบเต็มไปด้วยหนาม”
ยิ่งได้ยินเสียงชื่นชมชื่นชอบอิสตรีเบื้องหน้าห้วงอารมณ์ความคิดของพวกมันยิ่งมืดมนบิดเบี้ยวเปลี่ยนจากความต้องการเล่นสนุกไปตามอารมณ์กลายเป็นเลวร้ายสุดอันตราย
อยากจะบดขยี้หล่อนให้แหลกละเอียดคามือ
หนึ่งในพวกมันลอบกำหมัดแน่นตัดสินใจเด็ดขาด
เตรียมลงมือประหัตประหารขั้นสุด
…‘เล่นตัวนักใช่ไหม?!’
“…”
“บัดซบ!”
“แกนะแก!”
“ตาย—”
หมัดใหญ่ถูกปลดปล่อยเตรียมอัดกระแทกแก้มซ้ายของหญิงสาว
เหล่าผู้คนมากมายล้อมรอบกายต่างร้องเสียงหลงออกมาหมดไม่ว่าชายหรือหญิง ขณะหมัดใหญ่มุ่งเข้าหาเมญ่าด้วยความเร็วสูง หล่อนเพียงนิ่งเงียบไม่คิดขยับไปไหน
เสมือนหมัดเบื้องหน้าเป็นเพียงเนื้อหนังมังสาปรกติธรรมดาไม่มีอะไรน่ากลัวเกรง หลงเหลือเพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้นก่อนหมัดใหญ่จะอัดกระแทกใบหน้า
ตอนนั้นเองที่เสียงเข้มกล่าวร้องตะโกนเข้าแทรกกลาง
เป็นคำเสียงดังกังวาลมากไปด้วยพลังอำนาจ
“หยุด!”
“…”
หมัดที่ควรอัดกระแทกใบหน้าเมญ่าพลันหยุดนิ่ง
อีกทั้งระยะหยุดนิ่งยังห่างจากใบหน้าเพียง 3 เซนติเมตรเท่านั้น เรียกได้ว่าหากเสียงร้องตะโกนดังช้ากว่านี้อีกเพียงไม่กี่วินาทีโศกนาฎกรรมใหญ่คงไม่พ้นต้องเกิดขึ้น
เหล่าอันธพาลที่พบเห็นตำรวจหนุ่มเข้ามาแทรกแซงต่างร้องเสียงหลงทันที
ร้องเหมือนหนูที่เจอแมวน้อยไล่ล่า
“ตะ ตำรวจ”
“หนี!”
“…”
“เจอกันครั้งต่อไป!”
“ไม่จบแบบนี้แน่!”
พวกมันหันมามองเมญ่าด้วยแววตาอาฆาตแค้นขั้นสุดส่งท้าย
ก่อนวิ่งหนีหายลับไปจากสายตา แน่นอนว่าเหล่าพลเมืองดีทั้งหลายเตรียมกระชากตัวกดหัวพวกมันลงพื้น แต่ด้วยความหวาดหวั่นหวาดกลัวบวกกับพละกำลังของพวกมัน
พวกเขาเลยทำได้แค่ปล่อยผ่านปล่อยให้พวกมันหลบหนีไปทั้งแบบนั้น ผลลัพธิ์ท้ายสุดเหล่าอันธพาลทั้งหลายก็หลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พวกมันเหล่าอันธพาลเลวร้ายพวกนั้นหลบหนีไปได้ก็คือตำรวจหนุ่มตรงหน้า
หน้าที่ที่ควรกระทำตามจับอีกฝ่าย กับเป็นอันต้องนิ่งชะงักแข็งค้างไม่เป็นอันทำอะไร ซึ่งต้นสายปลายเหตุคงไม่พ้นต้องเป็นใบหน้าเมญ่าที่สะกดทุกสายตาไม่เว้นกระทั่งตำรวจ
ไม่เว้นกระทั่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
หลังจากผ่านพ้นไปหลายวินาที
เหมือนตำรวจหนุ่มจะเริ่มฟื้นคืนสติกลับมา
ก่อนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“คะ คือ”
“คะ?”
“…” เสน่ห์ของหล่อนมากล้นเกินไป
เพียงแค่ตอบกลับปรกติธรรมดา
ก็ทำให้ตำรวจหนุ่มเลือกบ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงสายตาไม่กล้าจ้องมอง
เขากล้ายืนยันเต็มปากเต็มคำในช่วงชีวิตของเขาตลอดหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาพบเห็นอิสตรีผู้ครอบครองความงามหวานหยดย้อยกระทั่งดาราแถวหน้ายังด้อยค่า
ทั้งยังด้อยกว่ามาก มากจนไม่อาจสรรหาคำกล่าวมาบรรยายเปรียบเทียบ
…‘สวยมาก’
“…”
“มะ ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ทั้งหมดต้องขอบคุณคุณตำรวจที่เข้ามาเห็นพอดี”
“ช่วยได้มากเลยค่ะ”
เมญ่าก้มขอบคุณตามมารยาท
ขอบคุณตำรวจหนุ่มที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
ทำเอาตำรวจหนุ่มเกิดอาการประหม่าไปชั่วขณะ
“คะ ครับ”
หน้านี่เรียกได้ว่าแดงก่ำไปจนถึงต้นคอ
เอาเข้าจริงแม้ตำรวจหนุ่มจะไม่โผล่หน้าออกมาหรือทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์เบื้องหน้า เหล่าผู้คนที่กำลังจับจ้องมองอยู่ก็ล้วนเข้าใจดีว่าสุดท้ายปลายทางผลลัพธ์ของมันจะออกมาเป็นแบบไหน
การเข้ามาของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในห้วงจังหวะเวลานี้ มันก็แค่ทำให้เรื่องราวที่ง่ายดายอยู่แล้วมันง่ายดายยิ่งกว่าเดิมมากขึ้นเท่านั้น หรือก็คือจะมีหรือไม่มีก็ได้
ดวงตาตำรวจหนุ่มกะพริบตามองกวาดไปทั่วบริเวณ
พยายามมองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“…” ก่อนร้องถามกลับไป
“แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ?”
ตำรวจหนุ่มเปิดปากถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
แม้ตอนแรกเขาจะพอคาดเดาได้ไม่มากก็น้อยว่าปัญหาพวกนี้มันมีต้นสายปลายทางมาจากไหน แต่พอได้มาเห็นในระยะประชิดเขาถึงได้เข้าใจแจ่มแจ้งว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ด้วยความงดงามปานเทพธิดาของเมญ่ากระทั่งตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ยังเผลอเหม่อลอยนิ่งแข็งค้างไปหลายต่อหลายวินาทียิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มชายหนุ่มสันดานเสียทั้งสาม
หลังจากรับฟังเรื่องราวทั้งหมดตำรวจหนุ่มลอบพยักหน้าให้กับตัวเอง
…‘นารีเป็นเหตุสินะ’
“…”
“เรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“เดี๋ยวผมจัดการให้”
“ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อครู่อีก”
“ติดต่อหาผม”
“ผมจะมาหาคุณทันที”
กล่าวจบเจ้าตัวก็ยื่นเศษกระดาษให้
เป็นเศษกระดาษที่แนบเบอร์โทรศัพท์ของเขาเอาไว้ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจตนาแท้จริงของชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบเป็นมายังไงเป็นมาแบบไหน
แต่เมญ่าไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม นอกเสียจากรอยยิ้มงดงามงามสง่าเป็นเอกลักษณ์ก่อนเก็บเศษกระดาษเข้ากระเป๋าทำเหมือนทุกสิ่งอย่างเป็นเพียงเรื่องปรกติธรรมดา
แน่นอนว่าหล่อนไม่ลืมกล่าวขอบคุณตามมารยาทกลับไป
“ขอบคุณค่ะ”
“…”
ตำรวจหนุ่มที่เห็นท่าทีเมินเฉยของหล่อน
ก็เริ่มเกิดห้วงอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งแปลกประหลาดผุดเข้ามาในหัวสมอง ส่วนเป็นห้วงอารมณ์ความรู้สึกแบบไหนคงมีเพียงแค่เจ้าตัวคนเดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้ตระหนักรู้
แววตาที่เคยแปรเปลี่ยนไปในตอนแรกหวนคืนกลับมารวดเร็ว
รวดเร็วจนไม่เปิดเผยร่องรอยผิดปรกติให้เห็น
“…” ก่อนตำรวจยิ้มกล่าวตอบ
กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเป็นที่สุด
“ไม่เป็นไรครับ”
“เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว”
“…”
“ว่าแต่คุณมาคนเดียวหรือมากับคนอื่น?”
“มาคนเดียวค่ะ”
“มาคนเดียวมันอันตรายนะครับ”
“ยิ่งเป็นช่วงเวลาแบบนี้ด้วย”
“ยิ่งไม่สมควรออกไปไหนมาไหนคนเดียว”
กล่าวมาถึงจุดนี้สีหน้าตำรวจหนุ่มพลันจริงจังมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
ก่อนพยายามกล่าวบอกย้ำเตือนให้หญิงสางเบื้องหน้าระมัดระวังตัวให้มาก ยังดีที่ครั้งนี้หล่อนพานพบเจอเพียงกุ้งน้อยหอยน้อยเป็นแค่เด็กน้อยปรกติธรรมดา
ยังไม่ใช่รุ่นใหญ่เจ้าพ่อพื้นที่ไม่งั้นเรื่องราวมันคงไม่จบง่ายดายเหมือนที่เป็น
“…” ตำรวจหนุ่มลอบถอนหายใจ
“ครั้งนี้ถือว่าคุณโชคดีที่เจอเด็กน้อยพวกนั้นเข้า”
“เกิดไปเจอพวกแก๊งปล้นธนาคารแทน”
“เรื่องราวมันอาจไม่จบที่อีกฝ่ายวิ่งหนีหาย”
“…”
“ดิฉันจะระวังให้มากค่ะ”
เมญ่าพยักหน้าตอบกลับไม่มีออกอาการให้เห็น
มองจากภายนอกสถานการณ์เหมือนจะดีเหมือนบรรยากาศจะเป็นใจให้เขาเดินหน้าสนทนาต่อ แต่ความเป็นจริงมันโหดร้ายกว่านั้นหล่อนเพียงกล่าวตามมารยาทขั้นพื้นฐาน
ไม่มีห้วงความรู้สึกอื่นใดเข้ามาแทรกแซง กระทั่งสีหน้าแววตาก็ยังไม่แปรเปลี่ยน มันเลยทำให้อีกฝ่ายที่คิดเข้าหาพยายามต่อความยาวสาวความยืดเริ่มรู้สึกอึดอัด
อึดอัดกับการกระทำของตน
อึดอัดกับความเห็นแก่ตัวเกินควรของตน
สุดท้ายปลายทางก็จำต้องยอมถอย
“…” ยอมปล่อยให้หล่อนจากไป
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว”
“งั้นผมขอตัวกลับไปทำงานต่อนะครับ”
“ขอบคุณที่ทำงานหนักค่ะ”
“…”
ตำรวจหนุ่มหันมามองเมญ่าส่งท้าย
คล้ายต้องการสลักหญิงผู้สาวงดงามปานเทพธิดาเอาไว้บนหัวสมอง สลักลึกถึงห้วงจิตใจ ทั้งยังเฝ้าปรารถนาอย่างแรงกล้าขอให้เขาได้พานพบเจอหน้าหล่อนอีกครั้ง
เมื่อตำรวจหนุ่มก้าวเท้าพ้นออกจากพื้นที่เกิดเหตุ รวมถึงเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนคลี่คลายเป็นที่เรียบร้อยเหล่าผู้เฝ้าจับจ้องมองทั้งหลายก็เริ่มแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเอง
รวมถึงตัวของชายหนุ่มสวมแว่นด้วย
…‘จบสักที’
“…”
พอเห็นเรื่องราวทั้งหมดจบสิ้น
ทราเวียร์ก็โยนหินในมือทิ้ง
สิ่งที่ควรกระทำก็กระทำไปหมดเรียบร้อยแล้ว ไม่มีเหตุผลอื่นใดให้อยู่ต่อการหยุดยืนอยู่ต่อมีแต่จะเปลืองเวลาเปล่าประโยชน์ทั้งยังสุ่มเสี่ยงโดนหล่อนพบเจอตัวอีกต่างหาก
เมื่อคิดได้ตัดสินใจเสร็จสิ้นเขาก็เลือกหันหลังก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าต่อ
…‘เราเองก็ไปบ้างดีกว่า’
“…”
แผ่นหลังของชายหนุ่มสวมแว่นเริ่มเพิ่มระยะห่างมากขึ้นเรื่อย ๆ
ก่อนจะหายลับไปจากสายตา
แน่นอนว่าฉากภาพทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของใครบางคนตลอดเวลา ทั้งพฤติกรรมปรกติธรรมดาหาค่าไม่ได้รวมถึงพฤติกรรมยอดเยี่ยมยากจะจดจ้องมอง
ทุกสิ่งอย่างล้วนอยู่ในแววตาสีฟ้าคู่งามทั้งสิ้น
“…” หล่อนเพียงเผยรอยยิ้มเบาบางสง่าส่งท้าย