เพื่อนบ้านผมคือคุณหนูสาวเจ้าเสน่ห์ - ตอนที่ 24 คำต่อว่ารุนแรง
ตอนที่ 24 คำต่อว่ารุนแรง
ภายในห้องนอนของสาวงามอันดับ 2
หล่อนคืออิสตรีผู้งดงามมากไปด้วยเสน่ห์ยอดเยี่ยม
หากแต่ในตอนนี้กับเลือกกระทำตรงกันข้ามกับช่วงเวลาปรกติธรรมดาที่เธออยู่เบื้องหน้าใครคนอื่น ใครคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวของหล่อน
นั่นก็คือดุด่าว่ากล่าวอีกฝ่าย ด่าโดยไม่คิดกักเก็บห้วงอารมณ์เดือดดาลเลยแม้แต่น้อย และคนจะที่ต้องรับหน้าที่เป็นหุ่นระบายอารมณ์ในครั้งนี้
ก็คือแฟนหนุ่มของเธอ
ผู้ที่กำลังอยู่ในสาย
“…”
“น่ารังเกียจ”
“นอกจากน่ารังเกียจยังทำตัวน่าหงุดหงิดอีกต่างหาก”
“ทั้งที่ฉันอุตส่าห์เดินเข้าไปพูดคุยด้วย”
“กับเมินเฉยทำเมินทำเหมือนฉันไม่มีตัวตน”
“ทำไมกล้าถึงขนาดนั้นหะ?!”
ฉากภาพแผ่นหลังของทราเวียร์ยังติดอยู่ในหัวสมอง
ทั้งที่หล่อนต้องการพูดคุยกับเขา
ต้องการเริ่มต้นบทสนทนาในรอบหลายปีแต่เขากับทำเมินไม่ต้องการพูดคุย เอาเข้าจริงอย่าว่าแต่พูดคุยกระทั่งเห็นหน้าหล่อนเขายังไม่คิดจะเหลือบมองด้วยซ้ำ
ซึ่งในฐานะของหล่อนที่ยกสูงเหนือหัวอีกฝ่ายตลอดเวลา
พอโดนกระทำแบบนี้มันก็เลยรู้สึกรับไม่ได้
“…” นุชทุบเตียงนอนตัวเอง
ทุบหลายต่อหลายครั้งด้วยความโมโห
ทุบหวังระบายอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด
พร้อมทั้งกล่าวด่าต่อเนื่องไม่มีหยุดหย่อน
“น่าหงุดหงิด”
“น่าหงุดหงิดเป็นที่สุด”
“นายก็คิดแบบเดียวกับฉันใช่ไหม?”
“…”
“เรียว?”
“…”
อีกฝ่ายนิ่งเงียบ
ปราศจากสุ้มเสียงตอบกลับมา
คนที่หล่อนกำลังระบายห้วงอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด หาใช่ใครคนอื่นเขาคือเรียวแฟนหนุ่มของหล่อนคนที่คบหามายาวนานนับปีทั้งยังเป็นผู้ชายคนแรกของหล่อนอีกด้วย
เป็นผู้ชายที่พร้อมรับฟังทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะด้านดีหรือไม่ดีของหล่อน แต่เหมือนตอนนี้อีกฝ่ายจะนิ่งเงียบไม่คิดตอบสนอง
นุชที่เริ่มออกอาการขุ่นมัวไม่ชอบใจ
เลยกระแทกเสียงกลับไปเล็กน้อย
“เรียว?!”
“หะ?”
“…”
“เรียวนายฟังรึเปล่า?”
“…”
“ฟังสิ”
“ฉันกำลังฟังอยู่”
หัวคิ้วหล่อนขมวดเข้าหากัน
ถ้อยคำล้วนโกหกต้องโกหกอย่างแน่นอน
นุชหรี่ตามองภายในแววตาของหล่อนกำลังเริ่มเปี่ยมไปด้วยเปลวเพลิงโกรธเกรี้ยวอย่าได้หลงลืมว่าเขากับหล่อนเป็นอะไรกัน
ด้วยฐานะแฟนหนุ่มหญิงสาว หากเขาคิดโกหกไม่ต้องการบอกกล่าวความจริงมีเหรอว่าหล่อนจะจับไม่ได้
สายตาจับผิดไม่คิดปล่อยผ่าน
…‘ปรกติต้องมีส่งเสียงมาตลอดนี่กับเงียบ’
“…”
“ถ้าฟังอยู่ก็หัดส่งเสียงตอบกลับมาบ้างสิ”
“อย่าปล่อยให้ฉันต้องพูดคนเดียวเหมือนกับคนบ้า”
“โทษทีพอดีฉันกำลังกลับบ้าน”
“มันเหนื่อยเลยตอบช้าไปหน่อย”
เสียงงัวเงียคล้ายคนกำลังง่วงนอน
กล่าวสำหรับแฟนหนุ่มมันคือถ้อยคำแท้จริงบ่งบอกสภาพร่างกายของตัวเขาเองที่โหมเรี่ยวแรงร่างกายอย่างบ้าคลั่งจนอยู่ในสภาพพร้อมหลับนอนได้ทุกเมื่อ
แต่สำหรับแฟนสาวที่กำลังเต็มเปี่ยมไปด้วยแนวคิดด้านลบเต็มที่ หล่อนหาได้คิดเฉกเช่นเดียวกับแฟนหนุ่ม หล่อนคิดว่าเขาคงเบื่อหน่ายไม่ต้องการรับฟังคำกล่าวของหล่อน
ทั้งยังต้องการหลุดพ้นจากสถานการณ์เบื้องหน้า
ต้องการหลุดพ้นด้วยคำโกหก
“…” นุชลอบกำหมัดแน่น
แค่นเสียงตอบกลับ
“เหนื่อย?”
“เอาอะไรมาเหนื่อย?”
“อีกอย่างนายแน่ใจนะว่ากำลังฟังอยู่”
“หรือกำลังหาข้ออ้างอยากตัดสาย”
“ไม่อยากฟังฉันบ่นเรื่องคนอื่นเหรอ?”
“ถ้านายไม่อยากฟัง”
“จะตัดสายก็ได้นะ”
“ถ้านายต้องการ”
หล่อนไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
แค่รับฟังความในใจของหล่อนมันยากเย็นขนาดนั้นเลยเหรอ
หากมันยากเย็นนักละก็จะตัดสายทิ้งไปเลยก็ได้ เกิดในช่วงเวลาที่เราเดือดเนื้อร้อนใจ หากคนข้างกายมีไว้แล้ว แล้วช่วยเหลืออะไรไม่ได้ล่ะก็ไม่จำเป็นต้องมีมันหรอก
อยู่ตัวคนเดียวก็ได้แบบนี้ เรียวที่ได้ยินคำกล่าวเด็ดขาดมากไปด้วยอารมณ์ของนุชพลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวตั้งคำถามกลับถามกลับด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
หวังให้สถานการณ์บรรเทา
“…”
“นุช”
“ไอ้ที่เธอพูดมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ“
“เธอต้องการให้ฉันทำอะไรกันแน่?”
ช่วงเวลาก่อนหน้าร่วมชั่วโมง
ก่อนเขาจะตั้งคำถามมีเพียงคำด่าทออย่างเดียว
ไม่มีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่นไม่มีข้อเสนอแนะอยากจะให้เขาช่วยเหลือ มีเพียงความในใจที่ต้องการระบายมันออกไปให้พ้นตา
มาพร้อมน้ำเสียงเสียดสีดังต่อเนื่องไม่มีหยุดหย่อน เรียกได้ว่าสภาพหล่อนในตอนนี้คล้ายไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าได้ด่า
ขอแค่ให้ได้ด่าอย่างเดียวก็พอ
“…” เรียวถามตามตรง
“เธอต้องการให้ฉันให้กำลังใจ”
“ให้ฉันปลอบใจ”
“หรือว่าต้องการให้ฉัน”
“ร่วมผสมโรงด้วย”
“เลือกมาเถอะ”
“ฉันจะได้ช่วยถูกจุด”
ว่ากล่าวกันตามตรง
เขาอยากยุติเรื่องพวกนี้ไปให้พ้นจากหัวสมอง
ผิดกับหญิงสาวผู้มากไปด้วยพลังงานพร้อมแปรเปลี่ยนกลายเป็นเครื่องจักรด่าทอบ่นด่าได้ตลอดทั้งคืน สภาพของแฟนหนุ่มในตอนนี้เรียกได้ว่าเหนื่อยล้าเต็มที่
พร้อมหมดสติล้มพับได้ตลอดเวลา
ฉะนั้นต้องรีบให้จบ
“…” นุชหรี่ตามอง
พร้อมถามประชดประชัน
“ให้ฉันเลือก?”
“…”
“นายไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ?”
“รู้สึกสิ”
“แต่จากเท่าที่ฟังดู”
“เหมือนเธอพยายามอยากจะให้ฉันด่าผู้ชายคนที่ฉันไม่รู้จัก”
“กระทั่งรูปร่างหน้าตาอีกฝ่ายฉันยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ”
“…”
“ขอเถอะอย่าทำแบบนี้เลย”
“ฉันเบื่อต้องมาทำอะไรแบบนี้แล้วนะ”
แฟนหนุ่มปลายสายเลือกถอนหายใจ
มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องมานั่งฟังคำด่าทอไร้สาระนานนับชั่วโมง แต่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยต้องการอยู่เคียงข้างแฟนสาวเขาถึงอดทนอดกลั้นมาตลอด
อดทนจนอดทนต่อไปไม่ไหวเกิดไม่บอกกล่าวไปตามตรง บางทีคนที่จะหมดเรี่ยวแรงหมดสติหลับไม่รู้เป็นตายคงเป็นเขาไม่ใช่หล่อนแต่เหมือนนุชจะไม่อยู่ในอารมณ์พูดคุย
ยิ่งพอเห็นท่าทีขัดขวางเป้าหมายเล่นงานหล่อนก็แปรเปลี่ยน
เปลี่ยนไปเล่นงานคนรู้ใจเคียงข้างกายของหล่อนแทน
“หมายความว่ายังไง?”
“…”
“นายเป็นแฟนฉันนะ!”
“ในเมื่อนายเป็นแฟนฉัน!”
“นายก็ควรปกป้องฉันสิ!”
“นี่ฉันอุตส่าห์เลือกโทรหานายนะ!”
“ถ้านายไม่อยากฟังก็ไม่ต้องฟัง!”
“ตัดสายไปเลย!”
น้ำเสียงหล่อนดูแข็งกร้าวมากขึ้นหลายระดับ
แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่หล่อนฝ่ายเดียวที่ขีดจำกัดทะลุเพดาน ตอนนี้ตัวของแฟนหนุ่มปลายสายก็ทะลุเพดานเฉกเช่นเดียวกัน
เรียวตอบเสียงกระทบกระแทกโต้กลับ
“ใช่”
“ใช่!”
“ฉันเป็นแฟนของเธอ”
“เป็นผู้ชายของเธอ”
“แต่เธอไม่มีสิทธิ์มาบีบบังคับให้ฉันต้องแบ่งเวลาให้!”
“ทั้งที่ฉันให้มันกับเธอมาโดยตลอด!”
“และนี่ไม่ใช่ความผิดของฉัน!”
“ฉะนั้นอย่ามาพาลใส่!”
ต้องบอกก่อนว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเขาโดยตรง
แม้ว่าเขาจะขึ้นเสียงจะหมดความอดทนกับหล่อน
แต่เขาหาใช่ต้นสายปลายเหตุแท้จริงไม่ใช่สารตั้งต้นของเหตุการณ์ทั้งหมด กับกันเขาเป็นฝ่ายที่จะต้องได้รับคำขอโทษจากหล่อนด้วยซ้ำไม่ใช่น้ำเสียงประชดประชันเมื่อครู่
พอเห็นเรียวเริ่มแข็งกร้าวสวนกลับ
“…” หัวคิ้วหล่อนขมวดเข้าหากัน
“นาย—”
“ยัง!”
“ฉันยังพูดไม่จบ”
“…”
“พอฉันขอเวลาส่วนตัวบ้าง”
“อยากเอาเวลาไปทำอย่างอื่น”
“เอาเวลาไปทำธุระสำคัญ”
“เธอกับไม่เห็นหัวทั้งยังพยายามบีบบังคับให้ฉันต้องมานั่งฟังอะไร”
“อะไรที่มันไร้สาระ”
“อย่างกับการชวนมาด่าคนอื่น”
“ชวนมาด่าทั้งที่ตัวเองเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด”
“…”
“เธอเคยรู้สึกเห็นใจคนอื่นบ้างรึเปล่า?”
ถ้าเป็นช่วงเวลาอื่นเป็นช่วงปรกติธรรมดา
เป็นช่วงเวลาที่เขาไม่ได้บอกกล่าวกับหล่อนว่าตนมีธุระ เขาก็พร้อมรับฟังคำกล่าวไร้สาระของหล่อนนานนับชั่วโมงได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่นี่เขาบอกล่วงหน้าไปแล้วว่าเขาไม่ว่างไม่มีเวลาให้นะ ทั้งที่บอกไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่คิดว่ามันน่าจะจบลงที่เขาได้นอนพักเตรียมเอาเรี่ยวแรงไปใช้ทำอย่างอื่นแทน
เขากับต้องใช้เวลาพักผ่อนมานั่งฟังคำตัดพ้อของแฟนสาว ฟังมาเป็นชั่วโมงฟังเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าซ้ำจนจำได้ขึ้นใจ
มาตอนนี้กับกลายเป็นว่าเขาเสียเองที่กำลังจะกลายเป็นเป้าให้ด่า ยิ่งคิดยิ่งหวนนึกถึงอารมณ์เดือดดาลในใจยิ่งโหมกระหน่ำ
น้ำเสียงชายหนุ่มปลายสายเริ่มเพิ่มระดับบ่งบอกไม่พอใจ
“ถึงจะไม่พร้อม”
“ถึงจะเหนื่อยมากมายขนาดไหน”
“ฉันก็ยังมา”
“ยังฟังอยู่ตลอด”
“…”
“แต่พอเธอไม่พอใจ”
“เธอก็มาด่าว่าฉันแทน”
“…”
“นอกจากไม่สำนึกผิด”
“เธอยังมากล่าวหาว่าฉันทำเมิน”
“บอกฉันพยายามเมินเฉย”
“ทั้งที่ฉันต้องคอยประคับประคองสติตลอดเวลา”
“เพื่อฟังเธอบ่นถึงอีกฝ่ายนานนับชั่วโมง”
“…”
“เธอต้องการแบบนี้ใช่ไหม?”
สีหน้านุชแข็งค้างหัวสมองว่างเปล่า
เป็นข้อเท็จจริงอย่างที่แฟนหนุ่มของหล่อนได้บอกกล่าว
ความผิดพลาดครั้งนี้หาใช่ความผิดพลาดของเรียว มันไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อยเป็นหล่อนเองที่ดึงดันไม่เข้าเรื่อง
เป็นหล่อนเองที่พยายามโทรหาต้องการพูดคุยกับเขาให้ได้ทั้งที่รู้ว่าแฟนหนุ่มไม่มีเวลาว่างมากพอมานั่งฟังเรื่องราวไร้สาระ
แต่ด้วยความเห็นแก่ตัวหวังอยากได้ใครสักคนมาระบายอารมณ์ความรู้สึกหล่อนก็เลยเลือกโทรหาเขา
เลือกละทิ้งเหตุผลตรรกะทั้งหมดแล้วหันไปใช้หัวใจนำพาแทนและนี่ก็คือผลลัพธ์ที่ได้ เป็นผลลัพธ์ที่ยากเกินกว่าจะจินตนาการถึง
นุชที่รู้สึกตัวว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไปรีบขอโทษขอโพยทันที ซึ่งหล่อนยังไม่ทันได้เปิดปากเรียวแฟนหนุ่มก็สวนแทรกเข้ามา
กล่าวระบายเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์หนักหน่วง
“ฉันว่าเราตกลงกันไปเรียบร้อยแล้วนะ”
“ตกลงไปตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน”
“ว่าวันนี้ไม่สะดวกคุยทั้งที่บอกไปตั้งมากมายขนาดนั้น”
“บอกอย่ายุ่ง”
“เธอก็ยังโทรมาอีก”
“พอฉันไม่พร้อม”
“เธอก็มาด่าว่าฉันแทน”
“สรุปเป็นฉันผิดใช่ไหม?”
“…”
นี่มันออกจะไร้เหตุผลเกินไป
ไร้เหตุผลเกินกว่าใครหน้าไหนจะรับได้
ทั้งที่เขาพยายามหนักหน่วงพยายามรับฟังทุกสิ่งอย่างที่หล่อนได้บอกกล่าวที่หล่อนได้ถ่ายทอดออกมาพยายามทั้งที่ตัวเองไม่พร้อม
หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับมามันช่างเป็นอะไรที่บั่นทอนจิตใจของเขาเหลือเกินแม้หล่อนจะมารู้สึกตัวเอาตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว
เสียงทอดถอนหายใจดังขึ้นทำเอานุชผู้รับฟังถึงกับสะดุ้งเฮือก
“ขะ ขอโทษ”
“มะ ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเลย”
“ฉันแค่…”
“…”
“ช่างเถอะ”
“ฉันผิดเอง”
“ผิดที่ตอบสนองความต้องการของเธอไม่ได้”
“เชิญเธอเอาเวลาไปด่าอีกฝ่ายให้เต็มที่”
“และอย่าโทรมาหาฉันอีก”
“เดี๋ยว—”
สีหน้านุชพลันแข็งค้างไปในทันที
หลังจากอีกฝ่ายกล่าวเสร็จสิ้นไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น
ปลายสายก็นิ่งเงียบไม่มีสุ้มเสียงเป็นอย่างอื่นตอบสนองตอบกลับมา
หากเป็นเพียงการนิ่งเงียบปรกติธรรมดาหล่อนคงไม่เดือดเนื้อร้อนตัวมากมายนัก เพียงแต่ว่าการนิ่งเงียบครั้งนี้มันแตกต่างออกไป
มันเหนือล้ำกว่านั้นมากทั้งยังมากถึงมากที่สุดอีกต่างหาก
เนื่องจากปลายสายอีกฝ่ายเลือกกระทำเป็นอื่น กระทำในสิ่งที่เขาไม่เคยกระทำมาก่อนในตลอดระยะเวลานานนับปีที่คบหากันมา
นั่นก็คือการใช้นิ้วมือเรียวยาวเลื่อนตัดสายหล่อน
ตัดขาดไม่เปิดโอกาสให้พูดคุยต่อ
ตึก!
“…”
“ระ เรียว”
“เรียว!”
“เรียว!”
ช่างเป็นอะไรที่เปล่าประโยชน์เหลือเกิน
ไม่ว่าจะพยายามร้องเรียกยังไงก็ปราศจากสุ้มเสียงตอบกลับมา
ต่อให้ห้วงความคิดของหล่อนมีถ้อยคำนับร้อยพันมีเยอะแยะมากมายต้องการจะกล่าวบอกมันก็เปล่าประโยชน์หาค่าไม่ได้อยู่ดี
หากคำเหล่านั้นไม่สามารถหยิบยกมาใช้ประโยชน์ไม่สามารถทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้สึกให้อีกฝ่ายได้รับรู้
สุดท้ายปลายทางหญิงสาวอันดับ 2 ของโรงเรียนก็ทำได้แค่นิ่งเงียบ ทำได้แค่จดจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเหม่อลอย
หล่อนอ้าปากค้างคล้ายต้องการบอกกล่าวก่อนขบปากแน่น
ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่พบเห็น
…‘ตัดสาย?’
“…”
“เขาตัดสายฉัน?”