เพื่อนบ้านผมคือคุณหนูสาวเจ้าเสน่ห์ - ตอนที่ 11 ข่าวลือเริ่มแพร่กระจาย
ตอนที่ 11 ข่าวลือเริ่มแพร่กระจาย
พริบตาเดียวเท่านั้นที่เสียงแรกเริ่มของสักคนดังขึ้น
เหล่าหญิงสาวมากหน้าหลายตาในชุดนักเรียนก็พุ่งเข้ามาล้อมรอบปิดหน้าปิดหลังปิดกั้นไม่ปล่อยให้คุณหนูสาวตระกูลเอมเมอริซขยับเรือนร่างยอดเยี่ยมไปไหน
แน่นอนด้วยการเข้ามาแทรกแซงแทรกกลางระหว่างหล่อนกับทราเวียร์ทำให้โอกาสยอดเยี่ยมตามติดอีกฝ่ายเป็นอันต้องสูญเปล่าเปล่าประโยชน์ไปอย่างน่าเสียดาย
ถึงจะรู้สึกขัดใจอยู่บ้างกับสถานการณ์เบื้องหน้า
แต่หล่อนก็หวนคืนกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
“…”
“สวัสดีค่ะ”
เมญ่าเลือกยิ้มกล่าวทักทายตามมารยาท
ไม่มีขาดตกบกพร่องไม่มีอารมณ์อื่นขุ่นมัวเข้าเจือปน
ท่วงท่ายอดเยี่ยมเต็มเปี่ยมไปด้วยมารยาททำให้ใครหลายคนเป็นอันต้องนิ่งชะงักแข็งค้างไปตามระเบียบ บางคนหนักหน่วงยิ่งกว่าเหม่อลอยจนสติหลุดไปแล้วเรียบร้อย
อาการแข็งค้างคงอยู่เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ก่อนเสียงกรีดร้องจะดังลั่นสะนั่นไปทั่วบริเวณดึงดูดทุกสายตาให้จดจ้องไปที่คุณหนูสาวจดจ้องมองไปที่หล่อน
เรียกได้ว่าช่วงจังหวะเวลานี้สถานการณ์เข้าขั้นยุ่งวุ่นวายขั้นสุด
“กรี๊ดดดด!”
“เห็นไหมเมื่อกี้คุณเมญ่าเธอทักฉันด้วย!”
“เธอทักฉันต่างหาก!”
“คิดไปเองเธอทักฉันต่างหาก!”
เรียกได้ว่าช่วงจังหวะเวลานี้
ต่างฝ่ายต่างทึกทักไม่มีใครยอมใคร
และด้วยความเห็นที่เริ่มไม่ลงรอยกันจากแรกเริ่มที่ยุ่งวุ่นวายอยู่แล้ว จึงยิ่งสับสนยุ่งวุ่นวายหนักหน่วงเข้าไปใหญ่ยุ่งวุ่นวายจนคุณหนูเลือกปิดปากเงียบไม่คิดกล่าวเพิ่มเติม
ก่อนเมญ่าจะลอบถอนหายใจ
…‘อีกแล้วเหรอ?’
“…” หัวคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน
ขณะคุณหนูสาวกำลังลอบทอดถอนหายใจกับสถานการณ์เบื้องหน้า อีกหนึ่งเสียงก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังเป็นน้ำเสียงของหญิงสาวอีกหนึ่งนางที่ร้องทักเข้ามา
ทั้งยังเป็นเสียงคุ้นหูไม่ใช่เสียงแปลกประหลาดพึ่งเคยได้ยิน
“เบื่อจังนะพวกหน้าตาดีเนี่ย~”
“ทำเอาอยากกลับบ้านไปนอนร้องไห้เลย”
“แป้ง?”
“ไง” คนที่ร้องถามเมญ่าเป็นคนรู้จักมักคุ้น
เป็นแป้งเพื่อนสาวเพื่อนร่วมห้องเลือกยิ้มทักทาย
ก่อนหันสายตาเหลือบไปมองโดยรอบ มองเหล่าหญิงสาวมากหน้าหลายตาที่กำลังปิดล้อมปิดกั้นไม่ปล่อยให้เมญ่าหนีหลุดลอดไปไหน
ฉากภาพเบื้องหน้าที่หล่อนกำลังพานพบเห็นช่างเป็นอะไรนี่เหลือเชื่อเหลือเกิน ดวงตาคู่งามกะพริบมองเมญ่าด้วยแววตาแปลกประหลาด
ก่อนหล่อนจะยิ้มยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“…” พร้อมกล่าวกระซิบเบาบาง
“เหมือนเธอกำลังยุ่งวุ่นวายนะ”
“ให้ฉันช่วยไหม?”
“…”
“ไม่เป็นไร”
“ฉันจัดการเองได้”
“ไม่ต้องถึงมือเธอหรอก”
“งั้นเหรอ” พอได้ยินคำกล่าวอีกฝ่าย
แป้งถอนใบหน้าออกมาเลือกปล่อยให้เมญ่าจัดการสถานการณ์เบื้องหน้าเอง
ในเมื่ออีกฝ่ายยืนยันต้องการจัดการสถานการณ์เบื้องหน้าด้วยตัวเอง หากหล่อนคิดยื่นมือเข้าไปจัดการแทนคงเป็นอะไรที่เสียมารยาทน่าดู
เพราะฉะนั้นถอยได้สมควรถอยเปิดทางให้อีกฝ่ายจัดการ
แน่นอนด้วยฐานะคุณหนูสาวตระกูลใหญ่ผู้เป็นต้นสายปลายเหตุทั้งหมดขอเพียงหล่อนได้ออกหน้าเข้าจัดการสถานการณ์ด้วยตัวเอง เหล่าหญิงสาวทั้งหลายที่กำลังถกเถียงกันอย่างเมามันก็พร้อมยินยอมโอนอ่อนปล่อยผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
จนในที่สุดเมญ่าก็สามารถเดินพูดคุยปรกติธรรมดาโดยไม่มีใครคนอื่นเข้ามายุ่งวุ่นวายให้รำคาญใจ ส่วนแป้งเพื่อนสาวก็ยังคงตามติดเหมือนเดิมยังไม่ละจากไปไหน
ทั้งยังกล่าวเปิดประเด็นทันทีหลังจากเห็นเมญ่าเป็นอิสระจากแฟนคลับ
“…” เพื่อนสาวเลือกถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
หวังได้อยากได้ยินคำตอบจากคุณหนูตระกูลใหญ่
“แล้วรู้สึกยังไงบ้าง?”
“รู้สึกอะไร?”
“ก็ที่โดนผู้หญิงล้อมหน้าล้อมหลังตลอด”
“ชีวิตนี้ฉันยังไม่เคยเจอแบบเธอมาก่อน”
“เลยอยากลองถามความรู้สึกสักหน่อย”
“เพื่อไปเจอกับตัวเองบ้างจะได้รับมือถูก”
หลังจากถามเสร็จสิ้นคุณหนูสาวเลือกนิ่งเงียบไม่ตอบสนอง
ที่นิ่งเงียบไปไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้หรือไม่คำตอบโผล่เข้ามาในหัวสมอง เพียงแต่หากบอกกล่าวไปตามตรงมันอาจทำให้ใครหลายต่อหลายคนต้องผิดหวัง
แต่คุณหนูสาวก็ยังเลือกตอบกลับไปตามตรง
ตอบตรงที่หัวใจตัวเองคิด
…‘รู้สึกยังไง?’
“…”
“ปรกติธรรมดา”
“…” เพื่อนสาวคิ้วกระตุก
คล้ายไม่ค่อยพอใจกับคำตอบ
“ปรกติธรรมดาสินะ”
“หึ คนสวยนิอยากจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“…”
“คนสวย?” เมญ่ายิ้มโต้ตอบกลับ
หากแต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้ากับไม่ใช่รอยยิ้มปรกติธรรมดาทั่วไป ยิ่งไม่ใช่รอยยิ้มจอมปลอมที่หล่อนหยิบยกมาใช้งานใช้การบ่อยครั้ง
ครั้งนี้มันมีอะไรที่นอกเหนือไปกว่านั้น
“…” คุณหนูสาวเงยหน้ามองท้องฟ้า
ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เลือกได้”
“ถ้าเลือกได้ฉันอยากเกิดเป็นคนปรกติธรรมดามากกว่า”
“คนปรกติธรรมดามีทุกข์เป็นของตัวเอง”
“คนหน้าตาดีมีชาติตระกูลก็มีความทุกข์เป็นของตัวเองเหมือนกัน”
“…”
“ต่างฝ่ายต่างมีด้านเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น”
หนักอึ้งไปจนถึงขีดสุด
ห้วงอารมณ์ที่คุณหนูสาวปลดปล่อยออกมาชั่วขณะมันช่างมากมายมหาศาลเหลือเกิน มากมายจนเพื่อนสาวที่เริ่มเปิดปากถามคำถามยังรู้สึกอึดอัดหัวใจจนแทบอดกลั้นไม่ไหว
แววตาจากเดิมที่เคยรู้สึกผิดที่ถามคำถามออกไป
เริ่มแปรเปลี่ยนอีกครั้ง
“…” เพื่อนสาวแค่นเสียง
ขณะกล่าวตอกหน้ากลับไป
“อยากเกิดมาเป็นคนปรกติธรรมดาช่างกล้าพูด”
“เพราะเกิดมาหน้าตาดีนิถึงพูดได้”
“จิกกัดกันตลอด”
“อารมณ์เสียมาจากไหน?”
“…”
“โทษที”
“พอดีมีเรื่องให้คิด”
เพื่อนสาวบ่ายเบี่ยงไม่คิดสบสายตา
ด้วยความที่หล่อนมีอย่างสิ่งอื่นให้ครุ่นคิดเลยไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด คุณหนูสาวในตอนนี้หล่อนเลือกมอบความสนใจไปให้อย่างอื่นมากกว่า
ทั้งสิ่งที่มอบความสนใจให้ยังเป็นอะไรที่้สำคัญกว่าการมาทะเลาะกับคนอื่น
ทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“…”
“เมญ่า?” แป้งที่เห็นเมญ่านิ่งเงียบ
เลยพยายามร้องถามกลับไป
“…” แต่ไร้ซึ่งการตอบสนองกลับมา
เมญ่าเลือกก้มมองฝ่ามือตัวเอง
ก้มมองเศษผ้าพันแผลที่หลุดติดมือหล่อนมา แน่นอนว่าเจ้าเศษผ้าพันแผลในมือล้วนมีเจ้าของอยู่แล้วซึ่งเจ้าของดั่งเดิมที่ว่าก็คือทราเวียร์คนที่หล่อนเผลอชนด้วยความบังเอิญ
และด้วยความบังเอิญคุณหนูสาวจึงได้หลักฐานชิ้นสำคัญมาไว้ในครอบครอง หล่อนเพ่งสายตาจดจ้องมองไปที่รอยเปื้อนของเหลวสีแดงสดบนเศษผ้าพันแผล
กลิ่นเหล็กเป็นเอกลักษณ์บ่งบอกได้อย่างชัดเจน
…‘มีกลิ่นเลือดติดอยู่’
“…”
“แสดงว่าเป็นแผลใหม่”
“กี่วันแล้วล่ะที่เป็นแผล 1 หรือ 2 วัน”
เมญ่าลอบยิ้มมุมปากขณะจับจ้องมองเศษผ้าพันแผลในมือ
สมมติฐานที่เคยก่อร่างสร้างเอาไว้เริ่มประติดประต่อออกมาเป็นรูปเป็นร่างให้เห็น ต่อให้อีกฝ่ายดึงดันปฏิเสธยังไง แต่หากเป็นคนมีสมองนิดหน่อยบวกกับมีอำนาจสายสัมพันธ์
การค้นหาใครสักคนหรือหาหลักฐานยืนยันตัวบุคคลย่อมทำได้ง่ายดาย กล่าวสำหรับคุณหนูสาวอย่างหล่อนทุกสิ่งอย่างล้วนขึ้นอยู่กับระยะเวลาเท่านั้นในตอนนี้
ขอแค่ระยะเวลาพิสูจน์ตัวบุคคลหากได้หลักฐานยืนยันตัวตนรวมถึงองค์ประกอบที่จำเป็นครบถ้วนขึ้นมาเมื่อไหร่หล่อนก็พร้อมออกเดินหน้าปฏิบัติการทันที
เมญ่ามองทิศทางที่ทราเวียร์เดินหายลับไปจากสายตา
…‘จะกี่วันก็ช่างครั้งต่อไปที่เจอหน้ากันเราคงได้คำตอบ’
“…”
“เมญ่า?!”
“คะ?”
“ยังจะมาคะอีก?”
“รีบไปกันได้แล้ว”
“มัวชักช้าเดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก!”
บอกกล่าวอย่างเดียวไม่ทันใจ
เพื่อนสาวพุ่งฝ่ามือเข้ามาคว้าแขนคุณหนูสาวก่อนวิ่งลากพาอีกฝ่ายมุ่งหน้าตรงไปยังห้องเรียน คว้าจับโดยไม่สนใจเลยว่าอีกฝ่ายจะยินยอมหรือไม่
เมญ่าที่โดนแตะเนื้อต้องตัวร้องดังลั่นพยายายามสลัดให้หลุด
“ดะ เดี๋ยวก่อน!”
“อย่าดึงสิ!”
“ก็บอกว่าอย่าดึงไง!”
ช่างเปล่าประโยชน์เหลือเกิน
ต่อให้คุณหนูสาวร้องเสียงหลงห้ามปรามยังไง
สดท้ายปลายทางก็จำต้องยินยอมโอนอ่อนอยู่ดี หลังจากพยายามดื้อดึงหลายต่อหลายครั้งในที่สุดคุณหนูสาวก็ลอบถอนหายใจเหนื่อยหน่าย เลือกปล่อยเนื้อปล่อยตัวปล่อยผ่านปล่อยให้เพื่อนสาวฉุดกระชากตามใจชอบ
ด้วยความปรารถนาดีของเพื่อนสาวในที่สุด พวกหล่อนก็เข้ามายังพื้นที่ภายในของโรงเรียนเข้ามาโดยหลงเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงเพียงพอให้คุยเล่นไปตามอารมณ์
ตามเส้นทางขณะก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังห้องเรียนของตน เหล่านักเรียนหลายสิบต่างหันสายตามาจดจ้องมองมาที่คุณหนูสาวตระกูลใหญ่เป็นหลัก
บางคนเริ่มจับกลุ่มพูดคุยโดยหยิบหล่อนมาเป็นประเด็น
“…”
“ยังงดงามเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน”
“ถ้าเกิดได้ไปอยู่เคียงข้างเธอมันจะดีขนาดไหนนะ?”
“เลิกเพ้อฝันได้แล้ว”
“ทำหน้าตาอย่างกับพวกโรคจิต”
“น่าขยะแขยง” เพื่อนชายหัวคิ้วขมวดแน่น
ทำเอาเพื่อนหนุ่มที่กำลังเฝ้าจับตามองมอบสายตาให้กับคุณหนู จำต้องดึงสายตาหันกลับ กลับมาโต้แย้งหวังไม่ให้ใครคนอื่นเข้าใจผิด
แต่เหมือนใครคนอื่นจะไม่เชื่อสักเท่าไหร่
“โหดร้าย!”