เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา - ตอนที่ 13
บทที่ 13
แม้ภายใต้แสงแดดที่เจิดจ้า ท่อดินเผาในร่มเงาของต้นไม้ในสวนสาธารณะก็ยังคงเย็นและน่าอยู่
เอริกะจังมีเหงื่อออกเล็กน้อย ใบหน้าของเธอแดงจัด แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้เป็นอะไรมาก
“ฉันจะไปหาอะไรมาให้ รออยู่ตรงนี้อย่าไปไหนนะ”
ผมพูดแบบนั้นแล้วก็เดินไปที่ตู้ขายของอัตโนมัติในสวนสาธารณะ ผมซื้อน้ำดื่มให้เราสองคนแล้วรีบกลับไปที่ท่อดิน
“เอ้านี่”
ผมวางขวดไว้ในท่อและเอริกะจังก็รับมันไป
ขณะที่เอริกะจังยังอยู่ในท่อ ผมอยู่ข้างนอกและพิงท่อแล้วดื่มน้ำ จากนั้นผมก็พูดกับเอริกะอีกครั้ง
“มานะก็กำลังตามหาเธออยู่ ฉันจะบอกให้เธอรู้นะว่าฉันหาเธอเจอแล้ว”
ขณะที่ผมกำลังจะโทรศัพท์อยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงจากข้างในท่อออกมา
“จะบอกเธอก็ได้ แต่ว่า… อย่าพึ่งบอกนะเธอว่าเราอยู่ที่ไหน”
“…ก็ได้”
ผมตอบแบบนั้นและโทรหามานะ
“ฮัลโหล มานะ? ฉันเจอเอริกะจังแล้วนะ… ฉันจะคุยกับเอริกะจังอีกหน่อย แล้วฉันจะพาเธอกลับบ้าน เธอรออยู่ที่บ้านนะ… ใช่ ความผิดฉันเอง แล้วเจอกัน…”
หลังจากที่ผมวางสาย เอริกะก็พูดกับผม
“มานาบอกพี่งั้นเหรอ? เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้?”
“ใช่”
“เข้าใจแล้วค่ะ…”
แล้วการสนทนาก็สิ้นสุดลงแบบนั้น
ผมควรจะเริ่มการสนทนายังไงดีเนี่ย
แม้บทสนทนาของเราจะหยุดลง แต่เสียงของจักจั่นที่เจื้อยแจ้ว ไม่หยุดลงเลย ผมสงสัยว่าพวกมันกรีดร้องอะไรนักหนา ผมฟังบทสนทนา ของจั๊กจั่นอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วผมก็ตัดสินใจได้ว่ามันไม่มีประโยชน์ ผมจึงเริ่มคุยกับเอริกะจังต่อ
“…นี่ เอริกะจัง ทำไมเธอถึงมาเป็นแยงกี้ล่ะ”
“..เอ๊ะ?”
“อา ไม่ใช่นะ… ฉันแค่ พอดีฉันไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเอริกะจังมากนัก ดังนั้น….. ฉันสงสัยว่าแรงจูงใจของเธอในการเป็นแยงกี้คืออะไรน่ะ”
“เห~ พี่สนใจอดีตของหนูงั้นเหรอคะ?”
ผมคิดว่าเอริกะจังหัวเราะออกมาเล็กน้อยในท่อดินเผานั้น
“ใช่”
ผมตอบอย่างชัดเจน
แล้วความเงียบก็เกิดขึ้นมา
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เอริกะจังก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ถ้าจะพูดถึงเรื่องนี้ หนูคงต้องเริ่มตั้งแต่ภูมิหลังของหนู…”
“บอกเรื่องนั้นกับฉันจะดีเหรอ”
“อืม… ถ้าเป็นคุณพี่ชายก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
ดูเหมือนเธอจะลังเลเล็กน้อย แต่เอริกะจังก็ตัดสินใจได้ จากนั้นเธอก็เริ่มพูดต่ออย่างเฉยเมย
“แม่ของหนูทำงานในโฮสคลับตั้งแต่อายุยังน้อยและเธอก็ค่อนข้างโด่งดังและเป็นที่นิยมเลยทีเดียว เธอเปลี่ยนผู้ชายไปเรื่อยๆ จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งและเกิดมีหนูขึ้นมาโดยบังเอิญ”
น้ำเสียงของเอริกะจังเรียบเฉยราวกับว่าเธอกำลังพูดถึงรายการทีวีที่เธอดูเมื่อคืนนี้
“แม่ของหนูไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครเป็นพ่อของหนู เธอไม่ต้องการตรวจดีเอ็นเอด้วย เพราะเธอไม่สนใจหนูตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เธอไม่เคยคิดว่าหนูน่ารักเลย หนูแน่ใจเลยล่ะ….เธอคงไม่อยากมีหนูตั้งแต่แรก”
“งั้นเหรอ…”
“หนูคิดว่าเธอกำลังรอให้หนูตายไปเอง แต่โชคดีที่มีคุณป้าเพื่อนบ้านที่ช่วยดูแลหนูเป็นอย่างดี หนูจึงสามารถอยู่ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือ…. เมื่อตอนหนูอายุได้ 10 ขวบและวันนั้นหนูมีไข้ขึ้นสูง….”
“ต่อเลย…”
เพื่อบ่งบอกว่าผมยังคงให้ความสนใจอยู่ ผมจึงกระตุ้นให้เธอเล่าเรื่องราวของเธอต่อไป
“ตอนที่แม่รู้ว่าหนูเป็นไข้ ตอนนั้นแม่ไม่มากลับบ้านเลยเป็นเวลาสามวันติด หนูเดาว่าเธอกำลังรอให้หนูตาย ตอนนั้นหนูผิดหวังมาก หนูท้อแท้และสิ้นหวังที่จะมีชีวิตอยู่ แต่หนูตัดสินใจว่าจะต้องมีชีวิตรอดและ มีความสุขจนเธออิจฉาหนูให้ได้”
หลังจากฟื้นตัวอย่างน่าอัศจรรย์ เอริกะจังก็ไม่อยู่บ้านเฉยๆ และเริ่มออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอก จากนั้นเธอก็พูดถึงการที่เธอเริ่มออกไปไหนมาไหนกับพวกพี่สาวที่อายุมากกว่าเธอ
“พี่สาวพวกนั้น เป็นแยงกี้งั้นสินะ”
พอผมถาม เอริกะก็หัวเราะเบาๆ
“ตอนนั้นหนูไม่รู้ว่าพวกเธอเป็นแยงกี้รึเปล่า หนูแค่คิดว่าพวกเขาเป็นคุณพี่สาวที่เท่ดี แต่พอคิดว่าหนูกลายเป็นแยงกี้ในขณะที่ไปเที่ยวกับพวกเธอบ่อยๆ หนูเดาว่าพวกเธอคงเป็นแยงกี้ล่ะมั้งคะ”
“งั้นเหรอ… เอริกะจัง เธอเองก็ได้พบเจอคนดีๆ ด้วยสินะ”
เมื่อผมพูดอย่างนั้น เอริกะจังก็ถามผมกลับหลังจากหยุดไปชั่วครู่
“พี่พูดจริงงั้นเหรอคะ ทำไมล่ะ ไม่ใช่ว่าพี่ไม่ชอบพวกแยงกี้งั้นเหรอคะ”
“อืม… ถ้าเธอถามฉันว่าทำไม….”
ผมเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้แล้วตอบเธอ
“ให้พูดตามตรง ฉันกลัวพวกแยงกี้นิดหน่อย ถ้าคนที่ดูเหมือนแยงกี้มาที่บ้านฉัน ฉันคงจะประหม่าและกลัวเมื่อพวกเขาคุยกับฉัน แต่ฉันยอมรับเพื่อนของมานะได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นแยงกี้หรือไม่ ก็ตาม และถ้าพวกเขาเป็นแยงกี้ที่ช่วยเหลือเอริกะจัง ฉันคิดว่าพวกเขาต้องเป็นคนดีแน่ๆ เลยล่ะ”
“เพราะอย่างนี้ไง หนูถึงได้….ชอบพี่น่ะ”
เสียงของเธอฟังดูเหมือนว่าเธอกำลังร้องไห้เล็กน้อย ผมจึงรีบไปดูข้างในท่อ
“เอริกะจัง…”
“พี่คะ”
ช่วงเวลาที่ผมเรียกเอริกะจังและเธอที่กำลังจะคุยกับผมนั้นประจวบเหมาะตรงกัน ผมอ้าปากค้างไปพักหนึ่ง แล้วก็เลือกพยายามฟังสิ่งที่เอริกะจังพูด
ผมรีบปิดปากไว้และมองเข้าไปในท่อและเอริกะจังก็จ้องมาที่ผม
“เรื่องก่อนหน้านี้ หนูขอโทษนะคะ ทั้งๆ ที่พี่จะชวนหนูไปที่อควาเรียมอีกครั้งแท้ๆ… หนูคงทำให้พี่รู้สึกแย่สินะคะ”
เธอมองผมด้วยสายตากังวล ผมยิ้มให้เอริกะจังเพื่อให้เธอเกิดความมั่นใจ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันสิที่ควรจะเป็นฝ่ายขอโทษ ฉันพูดอะไรให้เธอ ไม่พอใจรึเปล่า”
“ไม่นะ มันไม่ใช่ความผิดของพี่สักหน่อย…หนูเองต่างหาก…มันเป็นความผิดของหนูเอง…”
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเอริกะจัง
“ตุ๊กตาเพนกวินที่พี่ซื้อให้หนู…. ผู้ชายคนนั้นเอามันไปโยนทิ้ง ทั้งๆ ที่หนูจะบอกว่าหนูจะทะนุถนอมมัน…. บอกว่าหนูจะทะนุถนอมมันยิ่งกว่าสิ่งใดแท้ๆ! แต่หนูกลับไม่สามารถรักษามันไว้ได้ หนูควรจะดูแลมันให้ดีกว่านี้ เพื่อไม่ให้ผู้ชายคนนั้นทิ้งมันไป…!”
น้ำตาหยดใหญ่ร่วงหล่นจากดวงตาของเธอ
“ผู้ชายคนนั้น… แฟนของแม่เธองั้นเหรอ”
“ค่ะ… ผู้ชายคนนั้น…. เขานั้นแหละ….”
ผมจำวันที่ผมกับเอริกะจังไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำได้ และเธอกอดตุ๊กตาเพนกวินด้วยความรักและความห่วงใยอย่างมาก
ตุ๊กตาเพนกวินเป็นของขวัญที่เอริกะจังเลือกมาจากร้านขายของที่ระลึก เธอเลือกมันจากสินค้านกเพนกวินหลากหลายชนิด และจากฝูงตุ๊กตาที่มีใบหน้าเหมือนกันหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
เธอยังคงหวงแหนมันมากแม้ว่าเธอจะกลับถึงบ้านแล้วก็ตาม
“หนูนอนกับมันทุกวัน ตุ๊กตาเพนกวินตัวนั้นอบอุ่นจนหนูทนกับการมีอยู่ไอ้เจ้านั่นได้! หนูคิดว่าหนูจะไม่แพ้สายตาที่น่าขยะแขยงของเขา! หนูขอโทษ…พี่คะ ขอโทษจริงๆ…”
สาเหตุของการทะเลาะกันในเช้าวันนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะแฟนของแม่เธอเอาตุ๊กตาเพนกวินที่มีค่าของเอริกะจังทิ้งไปโดยพลการ เหตุผลที่เธอไม่สบตากับผมเลยเมื่อผมกลับถึงบ้าน และเหตุผลที่เอริกะมีท่าทีเปลี่ยนไปเมื่อผมพูดถึงอควาเรียม มันเป็นเพราะเธอรู้สึกผิดต่อผม ในที่สุดผมก็เข้าใจทุกอย่างสักที
ผมรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่จุกอยู่ในอก
ผมอยากจะเข้าไปกอดเอริกะซะตอนนี้เลย แต่ผมรู้สึกว่าผมยังไม่ควรไปไกลกับเธอขนาดนั้น ผมเลยรั้งตัวเองเอาไว้
จากนั้นผมก็แนะนำอย่างใจเย็น
“ไว้ไปซื้อด้วยกันอีกครั้งก็ได้ เธอสามารถดูนกเพนกวินและเลือกตุ๊กตาตัวไหนก็ได้เลย”
“แต่มันไม่มีตุ๊กตาที่เหมือนมันได้หรอกค่ะ นั่นมันเป็นเพนกวินตัวเดียว ที่หนูซื้อตอนไปอควาเรียมครั้งแรกกับพี่….”
“…เธอหวงแหนมันมากใช่มั้ยล่ะ? ขอบคุณนะ งั้นครั้งหน้าเราไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ฉันจะซื้อตัวที่สองให้เธอ เราจะหาอีกตัวที่ช่วยมอบความอบอุ่นให้เอริกะจังได้เอง”
“…ไม่เป็นไรจริงๆ งั้นเหรอคะ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ผมยื่นมือไปหาเอริกะจัง
เอริกะซึ่งกำลังร้องไห้อยู่นั้น จับมือผมไว้ในมือบางๆ ของเธอ
มันเป็นมือที่บอบบางและอ่อนนุ่ม ผมรู้สึกว่าผมอาจจะเผลอหักมันได้ ถ้าผมจับมันแน่นเกินไป ผมค่อย ๆ พาเธอออกมาข้างนอก
“กลับกันเถอะ มานะเป็นห่วงเธอนะ จากนั้นเราจะหาอะไรกินและสงบสติอารมณ์กัน ฉันหิวจริงๆ แล้วล่ะ”
พอผมพูดแบบนั้น เอริกะจังก็หัวเราะคิกคัก
“ขอโทษนะคะ…. เป็นเพราะหนูวิ่งออกมาทันทีที่พี่กลับมาบ้านใช่มั้ยคะ? พี่เลยมาหาหนูโดยไม่กินอะไรเลย”
“ไม่มีทางที่ฉันจะกินอาหารลงในขณะที่ฉันมัวแต่กังวลเกี่ยวกับเอริกะจังที่มีค่าของฉันได้หรอกนะ… ฉันเป็นห่วงเธอจริงๆ นะรู้มั้ยเนี่ย”
ผมตบหัวเอริกะจัง ในขณะที่ผมยังคงลูบหัวเธอเบาๆ อยู่นั้น ผมก็รู้สึกว่าอุณหภูมิในหัวของเธอสูงขึ้นอย่างกระทันหัน
เมื่อผมมองไปที่เธอ ผมเห็นว่าใบหน้าของเอริกะจังกลายเป็นสีแดงสด
“อะ!? เอริกะจัง!? หน้าแดงจัง ไหวมั้ยเนี่ย!?”
ผมตื่นตระหนก
“ฮีทสโตรกงั้นเหรอ!”
“ห้ะ!? หนูสบายดีค่ะ! ไม่ใช่ฮีทสโตรกแน่นอน! หน้าหนูแค่แดงเฉยๆ ไม่เป็นฮีทสโตรกสักหน่อย! รีบกลับบ้านกันเถอะค่ะ! มานะกำลังรอเราอยู่นะคะ!”
เอริกะจังทิ้งผมไว้ข้างหลังและเดินออกไปนอกสวนสาธารณะ ดูจากท่าทางที่เธอเดินอย่างเร็วแล้ว เธอคงไม่ได้เป็นฮีทสโตรกจริงๆ นั่นแหละ
ผมไล่ตามเอริกะจังไป และไม่นานเราก็ได้อยู่เคียงข้างกัน
“แล้วก็นะ… เอริกะจัง”
“อะไรเหรอคะ? ยังมีอะไรผิดปกติอยู่หรือเปล่า?”
ตอนที่ผมพูดกับเธอ เอริกะจังจ้องมาที่ผม รู้สึกเหมือนเธอมีข้อความว่า ‘อย่ากังวลเกี่ยวกับหนูมากเกินไปค่ะ’ เขียนไว้บนใบหน้าของเธอเลย
“มันไม่ใช่อย่างนั้น….”
“แล้วมันคืออะไรเหรอคะ?”
“เธอควรมาค้างที่บ้านของเราสักพักนะ เดี๋ยวฉันจะคุยกับแม่เธอให้เอง”
เอริกะจังหยุดอยู่กับที่
“จะไปหาแม่หนูเหรอคะ”
เอริกะจังขมวดคิ้วขณะที่เธอมองมาที่ผมด้วยความกังวล
“ใช่ ฉันจะคุยกับเธอให้ถูกต้อง เธอจะได้พักผ่อนในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ฉันมั่นใจว่ามานะจะต้องมีความสุขแน่นอน และพ่อแม่ของฉันก็คงจะเห็นด้วยเช่นกัน”
“หนู… หนูจะไปกับพี่ด้วย”
“จะดีเหรอ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ… คุณพี่ชายอุตส่าห์พยายามอย่างเต็มที่เพื่อหนู ดังนั้น หนูก็อยากพยายามช่วยให้ถึงที่สุดร่วมกับพี่ด้วย”
“ก็ได้ งั้นเราไปกันเถอะ”
เอริกะจังคว้ามือของผมไว้เมื่อเราเริ่มเดิน มันไม่ใช่เรื่องปกติที่คนสองคนที่ไม่ใช่คู่รักจะจับมือกันแบบนี้ แต่วันนี้ผมก็รู้สึกอยากจับมือกับเธอเหมือนกัน
ติดต่อผู้แปลได้ที่ เพจผู้แปล Lemon FT