เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา - ตอนที่ 10
บทที่ 10
ในเดือนกรกฎาคม
หนึ่งเดือนผ่านไปตั้งแต่ผมเริ่มสอนเอริกะจังในเรื่องที่จำเป็นในชีวิตประจําวันต่างๆ
เอริกะจังสามารถจับตะเกียบของเธอได้อย่างถูกต้องได้แล้ว เธอจัดรองเท้าของตัวเองและของเพื่อน ๆ เมื่อมาถึงบ้าน รวมทั้งพับเสื้อผ้าให้เรียบร้อยได้แล้ว
ผมยังมีอีกหลายอย่างที่จะสอนเธอ เธอจะเติบโตขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแน่นอน
ผมรู้สึกตื้นตันใจ
ในห้องของผม ผมกำลังดูสมุดบันทึกและรู้สึกประทับใจกับมัน นี่คือ สมุดบันทึก ‘ฉันทำได้’ สมุดบันทึกนี้เป็นบันทึกการเติบโตของเอริกะจัง ที่ซึ่งจดทุกสิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้
ผมดูเหมือนแม่ที่เฝ้าดูลูกเติบโต… ไม่สิ ผมเป็นผู้ชาย ผมควรจะเป็นพ่อมากกว่าสินะ?
เดี๋ยวสิ ผมยังไม่โตพอที่จะเป็นพ่อคนได้ซักหน่อย ผมเป็นพี่ชายก็พอแล้ว
มันอาจจะดูแปลกๆ หน่อยสำหรับพี่ชายที่จะคอยบันทึกการเติบโตของน้องสาวตัวเอง แต่เธอแสร้งทำเป็นไม่สังเกต มันไม่ใช่ว่าผมใช้มันเพื่อจุดประสงค์แปลกๆ ซักหน่อย ดังนั้นมันน่าจะโอเค
ด้วยอัตรานี้ เมื่อเธอขึ้นมัธยมปลายปีสาม เธอจะมีสามัญสำนึกเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ผมเปิดหนังสือในมือและคิดว่าควรจะสอนอะไรเอริกะจังต่อไปดี
ผมได้อ่านหนังสือจำนวนมากเกี่ยวกับมารยาทและความรู้ที่จำเป็น สำหรับการใช้ชีวิตเมื่อเร็วๆ นี้ และผมก็กำลังคิดว่าผมควรสอนเอริกะจังเรื่องอะไรดี
เป้าหมายคือให้เอริกะจังเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นอิสระ และผมจะสอนเธอทุกอย่างที่เธอจำเป็นต้องรู้เพื่อที่จะทำอย่างนั้นได้… ผมกระตือรือร้นอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
-ก๊อกก๊อก
“คุณพี่ชาย เอริกะเองค่ะ ขอเข้าไปได้มั้ยคะ”
หลังเสียงเคาะ ฉันได้ยินเสียงของเอริกะจัง
เมื่อก่อนเธอเคยเปิดประตูโดยไม่พูดอะไรสักคำ เธอเติบโตขึ้นมากในเดือนที่ผ่านมา จากของการฝึกฝน พี่ชายคนนี้รู้สึกตื้นตันใจมากเลย
“เข้ามาได้เลย~”
พอผมอนุญาต เอริกะจังก็เปิดประตู เข้ามาในห้องของผมด้วยสีหน้าจริงจังผิดปกติ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
“เอ๊ะ? อะไรคะ?”
“คือมันดูเหมือนว่าเธอมีสีหน้าจริงจังกว่าปกติมาก เลยสงสัยน่ะ”
ดวงตาที่คมกริบของเอริกะจังเป็นประกาย ผมสงสัยว่าเธอกำลังวางแผนที่ จะต่อสู้กับพวกแยงกี้อย่างจริงจังหรือเปล่า
จากนั้นเอริกะจังก็นั่งตัวตรงบนพื้นและเคาะพื้นตรงหน้าเข่าของเธอ
“พี่คะ หนูมีเรื่องจะคุยกับพี่ กรุณานั่งลงตรงนี้ด้วยค่ะ”
“เอ๊ะ?”
“แค่นั่งลงค่ะ”
นี่มันแรงกดดันอันเป็นเอกลักษณ์ของแยงกี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่จะเป็นคนๆ เดียวกับสาวสวยที่เคยอุ้มตุ๊กตาเพนกวินด้วยความรักมาก่อน
“อ่า… มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
เธอโกรธอะไรผมรึเปล่า?
ผมจำไม่ได้ว่าได้ไปทำอะไรให้เธอโกรธนะ แต่มันก็ยังทำให้ผมกังวล แต่เนื่องจากไม่มีเหตุผลที่จะต่อต้านเธอ ผมจึงนั่งตัวตรงข้างหน้าเอริกะจัง อย่างเชื่อฟัง
เอริกะจังที่หันหน้ามาทางผม จ้องตรงมาที่ผม แล้วก็เริ่มพูดออกมา
“หนูครุ่นคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง…มาเป็นเวลานานแล้ว”
“หืม?”
“วิธีที่จะได้อยู่กับคุณพี่ชายตลอดไป”
“ฮะ?”
ผมไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร และคิ้วของผมก็ขมวดขึ้นมาทันที
เมื่อกี้พูดอะไรน่ะ? เธอบอกผมว่าเธอต้องการที่จะอยู่กับผมตลอดไป?
มันกะทันหันจนสมองประมวลผลไม่ทัน
จากนั้น ขณะที่ผมกำลังงุนงงอยู่นั้น จู่ๆ เอริกะก็คว้าไหล่ผมไว้
ด้วยแรงนั้น ผมจึงล้มลงไปข้างหลัง
ผมถูกเอริกะจังผลักลงมา
เอริกะจังมองลงมาที่ผมด้วยสายตาจริงจัง ผมสีบลอนด์ที่ห้อยย้อยลงมาของเอริกะจังแตะแก้มของผมและมันรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย
“…อะไร? นี่มันอะไรกันน่ะ?”
เสียงของผมตึงเครียดผิดปกติเมื่อผมถามคำถามนี้
ผมไม่สามารถซ่อนความสับสนของผมได้และไม่รู้จะพูดอะไรดี ในขณะที่ผมเป็นอย่างงี้ เอริกะจังก็มองลงมาที่ผมอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นเอริกะจังก็พูดด้วยท่าทางแข็งทื่อ
“หนูจะติดตามพี่ไปตลอดชีวิต! ลูกพี่! ได้โปรดรับหนูเป็นลูกน้องด้วยเถอะค่ะ”
สมองของผมไม่สามารถประมวลผลได้อีกต่อไป
ติดตามผมไปตลอดชีวิต? ลูกน้อง?
สาวแยงกี้คนนี้กำลังพูดถึงอะไรกันเนี่ย?
ช่วงนี้ผมใช้เวลากับเอริกะจังมากขึ้นเรื่อยๆ และผมคิดว่าฉันค่อยๆ คุ้นเคยกับกระบวนการคิดที่คาดเดาไม่ได้ของเธอแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ผมไม่เคยคิดว่าเธอจะพูดอะไรแบบนี้มาก่อนเลย
สมองของผมซึ่งถูกแช่แข็งไปชั่วขณะในที่สุดก็พบคำที่เหมาะสมที่จะตอบสนอง
“ ‘ ลูกพี่ ‘ งั้นเหรอ….โทษทีนะฉันไม่มีแผนที่จะรับลูกน้องน่ะ”
“งั้นเหรอคะ”
“และอีกอย่างนะ ฉันไม่ใช่แยงกี้”
“เข้าใจแล้ว นั่นก็จริงค่ะ งั้น งั้น….”
เอริกะจังกำลังครุ่นคิดบางอย่างอย่างสิ้นหวัง
ที่สำคัญผมสงสัยว่าทำไมผมถึงต้องถูกผลักลงด้วย ผมรู้สึกงุนงงและไม่เข้าใจ ถึงเหตุผลเบื้องหลังการกระทำนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นเอริกะจังจากมุมนี้ หรือยิ่งกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเคยมองคนจากมุมนี้
ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมได้แต่มองเอริกะพึมพำและกังวล ผมรออยู่สักพัก จู่ๆ เอริกะจังก็เบิกตากว้างขึ้นมา
“ใช่แล้ว เรามาเป็นคู่แต่งงานกันเถอะ! หนูอยากแต่งงาน!! แต่งงานกับหนูนะคะ!!”
“หาาาา!?”
ผมเข้าใจทันทีว่าเธอหมายถึงอะไรในครั้งนี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงงุนงงออกมาจากปากของผม
“แต่งงาน!? กับฉัน!? ทำไมล่ะ!?”
“หนูน่ะเคยเป็นคนที่สิ้นหวัง หนูแน่ใจว่าทุกคนรอบตัวหนูก็รู้ว่าหนูสิ้นหวังแค่ไหน แต่ถึงรู้ไปก็เท่านั้น ไม่มีใครพยายามยื่นมือเข้ามาช่วยเลย แต่คุณพี่ชายน่ะแตกต่างออกไป พี่พยายามเปลี่ยนแปลงหนู พี่คือคนที่ทำให้หนูเติบโตขึ้น! นั่นเป็นเหตุผลที่หนูอยากอยู่กับพี่ตลอดไปค่ะ หนูเลยคิดว่าจะทํายังไงดี ก็เลยออกมาอย่างงี้ค่ะ”
ผมสามารถบอกได้จากแววตาจริงจังของเอริกะจังว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าเป็นเอริกะจังเมื่อสองสามเดือนก่อนคงจะระเบิดเสียงหัวเราะและเยาะเย้ยผมที่ลุกลนขนาดนี้ไปแล้ว
แต่ผมรู้ว่าเอริกะจังที่พยายามมาหนักไม่เคยล้อเล่นแบบนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ธะ เธอจริงจังงั้นเหรอ….?”
ผมขอการยืนยันจากเธอ
“หนูจริงจังนะคะ ถ้าพี่ไม่เชื่อ… หนูจะแสดงให้พี่เห็นเองว่าหนูพร้อมที่จะมอบทุกอย่างให้กับพี่”
เอริกะพูดเสร็จก็ขึ้นคร่อมหน้าท้องของผมและเริ่มถอดเครื่องแบบออก….
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน! ฉันเข้าใจว่าเธอจริงจัง! ตอนนี้โปรดใส่เสื้อผ้าของเธอกลับไปก่อนนะ!!”
ผมเหลือบไปเห็นหน้าท้องของเอริกะ และใบหน้าของผมก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ผมว่าผมควรจะรีบเอาเธอออกไปจากตัวผมก่อน
ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี ผมว่าผมควรทำให้เอริกะสงบสติอารมณ์ลงก่อน และเมื่อเอริกะสงบลง ผมก็หวังว่าผมจะสงบลงได้เช่นกัน
“… เอริกะจัง แต่งงานมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ มันมีกฎเกณฑ์สำหรับเรื่องนี้อยู่นะ”
“กฎเกณฑ์…? อา เข้าใจแล้ว! ทะเบียนสมรสสินะคั!! ได้เลยค่ะ! หนูจะรีบจัดการทันทีเลยค่ะ! หนูควรไปที่สถานีตำรวจใช่มั้ยคะ!?”
“เดี๋ยวก่อน! ฉันขอร้องล่ะอย่าไปสถานีตำรวจเพื่อเรื่องนั้น!”
เอริกะจังถอยห่างจากผมเล็กน้อยและกำลังจะวิ่งไปที่ประตู ผมจึงรีบจับมือเธอและรั้งเธอไว้
“ทะเบียนสมรสอยู่ที่เขตนู่น! ไม่สิ กฎเกณฑ์ที่ฉันพูดถึงไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นนั้น ปกติแล้วคนที่เธอแต่งงานด้วยก็ควรจะมีความสัมพันธ์กับเธอในฐานะคู่รักเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนไม่ใช่เหรอ?”
“พี่หมายถึงคบกันเหรอคะ? งั้นเรามาเริ่มคบกันเลยค่ะ!”
ผมชอบเอริกะจังนะ แต่ความรู้สึกชอบนี้ไม่ใช่ความรู้สึกโรแมนติกต่อเพศตรงข้าม มันเป็นความรักแบบพี่น้องหรือความรักแบบครอบครัวมากกว่า
ผมไม่อยากทำร้ายเอริกะจัง ผู้ซึ่งสำคัญมากสำหรับผม… ผมจึงต้องพูด อย่างระมัดระวัง
“…ฉันขอโทษนะ ฉันคิดกับเอริกะจังแค่น้องสาวคนสำคัญน่ะ นั่นเป็นเหตุผลที่…. ฉันไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของเธอได้”
พอผมพูดแบบนี้ เอริกะจังก็จ้องมาที่ฉันอย่างตั้งใจ
ผมรู้สึกอยากวิ่งหนีก็เลยมองไปทางอื่น แต่เอริกะจังยังคงจ้องมองมาที่ผม
“…พี่ไม่ได้เกลียดหนูใช่มั้ยคะ”
จู่ๆ เอริกะจังก็ถามขึ้น และผมก็ผงกศีรษะตอบอย่างจริงใจ
“อื้ม… ฉันไม่ได้เกลียดเธอ”
“หนูเข้าใจแล้วค่ะ งั้นจากนี้เป็นต้นไป หนูจะแสดงให้พี่เห็นเองว่าหนูชอบพี่มากแค่ไหน และจะทำให้พี่หันมาชอบฉันในฐานะเพศตรงข้ามให้ได้ค่ะ”
เอริกะยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว
ผมมีความรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
…. เธอไม่คิดที่จะยอมแพ้เลย!?
ลางสังหรณ์ของผมดูเหมือนจะตรง และเอริกะก็พูดอย่างมั่นใจ
“หนูเข้าใจแล้วค่ะ! ตั้งแต่พรุ่งนี้หนูจะทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจให้พี่! ล้างหัวรอได้เลยค่ะ!!”
ผมตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่เพราะคำขู่ที่แหลมคมของเธอ
“เดี๋ยวสิ ทำไมฉันต้องล้างหัวด้วยล่ะ!”
ผมคิดว่าเธอกำลังพยายามทำให้ผมชอบเธอ ตอนนี้รู้สึกเหมือนเธอจะเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่จะเอาชนะใจผม
“หืม? ล้างหัวทำไมงั้นเหรอคะ? ก็ถ้าล้างหัวก็รู้สึกเหมือนได้ล้างทั้งตัว หนูพูดมันบ่อยเลยค่ะ ภาษาญี่ปุ่นนี่บางครั้งก็ดูยุ่งยากจังนะคะ…”
“เธอรู้อะไรมั้ย การล้างหัวหมายถึงการเตรียมพร้อมที่จะถูกตัดศีรษะนะ ซึ่งหมายความถึงให้เตรียมพร้อมที่จะถูกลงโทษ ขอล่ะอย่าใช้คำพูดทั้งๆที่ไม่รู้ความหมายทีเถอะ!!
“มันค่อนข้างอันตรายเลยนะคะนั่น!!”
เมื่อผมเห็นเอริกะจังหัวเราะด้วยความประหลาดใจ ผมถอนหายใจออกมา
ผมสงสัยว่าแยงกี้ JK คนนี้ซึ่งมีทักษะภาษาญี่ปุ่นที่น่าสงสัย จะแสดงให้ผมเห็นถึงความรู้สึกที่เธอมีต่อผมและเอาชนะใจผมได้ยังไงกัน
ขณะที่ผมมองไปที่เอริกะจัง ผู้เต็มไปด้วยแรงจูงใจและความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ผมก็รู้สึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตขึ้นมา