เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 9 ผลลัพธ์ของการขมขู่
“ตั้งแต่นี้ไปที่นี่คือเขตของฉัน เพราะงั้นเธอน่ะไสหัวออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”
ระหว่างที่กำลังจะไล่เด็ดหัวไวเวิร์นเพื่อหาเงินสบทบทุนเข้าโครงการแซลม่อนซาซิมิวันล่ะมื้อ อยู่ๆก็มีมิโกะท่าทางเหมือนคนอดหลับอดนอนจากที่ไหนก็ไม่รู้มาแย่ง kill ไวเวิร์นไปเฉยเลย
ทั้งๆที่ทางนี้ต้องใช้ต้นทุนไปซื้อระเบิดมาใช้กับเจ้าพวกนี้แท้ๆ……
นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ยอมไม่ได้ค่ะ แต่จะปาวอเตอร์บอลอัดหน้าก็กระไรอยู่ เพราะทางนั้นก็คนกันเอง
ด้วยความที่ฉันเป็นคนใจกว้างดั่งมหาสมุทร เพราะงั้นเรื่องเล็กๆน้อยๆนี่ก็จะปล่อยผ่านไปก่อนละกัน
ทว่า เรื่องที่ปล่อยผ่านไปไม่ได้เลยก็คงไม่พ้นเรื่องที่เธอคนนี้มาแสดงความเป็นเจ้าของอาณาเขตเมืองมาซากุระ
“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ต้องขอปฏิเสธค่ะ”
“นี่เธอ ?”
ตึก….
มิโกะคนนั้นกระโดดลงมาจากตึกและเข้าประชิดตัวกับฉันในชั่วพริบตา
ดวงตาที่มืดหม่นมองเข้ามาในดวงตาของฉันลึกๆราวกับกำลังประเมินค่าอยู่
“คิดว่ากำลังพูดกับใครอยู่ ฉันคือจอมเวทย์ระดับโกลเลยนะ”
“ค่ะ….ส่วนทางฉันก็ระดับโกลเช่นเดียวกัน”
พอได้ยินที่ฉันพูด ระหว่างคิ้วของมิโกะคนนี้ก็เกิดรอยย่นขึ้นมา
“ระดับโกล ? ทั้งๆที่พึ่งเป็นจอมเวทย์มือใหม่เนี่ยนะ”
จริงๆแล้วต้องอาดามันเที่ยมเลยต่างหาก
“ไม่ต้องมาทำเป็นเก่งเลย โกหกล่ะสิ”
“ไม่ได้โกหกซักหน่อย”
“ถ้างั้นก็เอาเมจิคัลโฟนขึ้นมาให้ดูหน่อย เธอเลเวลเท่าไหร่ ?”
“อย่าถามอะไรไร้สาระสิค่ะ มีใครที่ไหนเขายอมบอกข้อมูลส่วนตัวให้คนอื่นรู้กันเล่า…ถ้าสมมุติฉันถามทรีไซส์ของคุณรุ่นพี่ตัวจิ๋ว รุ่นพี่ก็ไม่บอกเหมือนกันใช่ไหมละ ?”
“รุ่นพี่ตัวจิ๋ว ? นี่หมายถึงฉันงั้นหรอ ?”
พอเห็นฉันยักไหล่ มิโกะร่างเล็กคนนี้ก็มองมาที่ฉันด้วยสายตาเย็นชายิ่งกว่าเดิม
“เป็นมือใหม่ที่เก่งกล้าดีนิ”
“ขอบคุณที่ชมค่ะ”
“ชิ ! น่ารำคาญชะมัด”
สิ้นเสียงสบถ มิโกะก็กระโดดถอยห่างออกไปสามก้าวและยกคันธนูขึ้นมา
ไม่รู้จะเรียกสิ่งนี้ว่าจิตสังหารได้รึเปล่า แต่ฉันก็สัมผัสได้ความรู้สึกแปลกๆที่ทำให้ขนกายทั่วร่างลุกชัน
ดวงตาของมิโกะที่จ้องมาด้วยประกายสีดำสนิททำให้รู้สึกว่าจะเกิดการโจมตีในอีกไม่ช้า
“ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็ขอพิสูจน์ความปากเก่งดูล่ะกัน ว่าจะเป็นแบบที่ว่ามาจริงรึเปล่า ?”
คันธนูถูกชี้มาที่ฉัน ชั่วพริบตาลูกศรสีแดงเลือดก็ปรากฎขึ้นกลางอากาศแล้วหล่นลงที่มือขวาของเธอ
กึก !
ลูกธนูถูกตึงด้วยสายธนู การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วทำให้ฉันถูกธนูของเธอเล็งแทบจะในทันที่ที่เธอพูดจบ
เพราะงั้น ในเมื่อกำลังตกอยู่ในอันตราย ฉันจึงไม่ลังเลเลยที่จะหยิบอุปกรณ์ป้องกันตัวขึ้นมา
ใช่…ฉันหยิบเมจิคัลโฟนขึ้นมาและชูหน้าจอให้มิโกะผู้อารมรณ์ร้อนคนนี้เห็นว่า กำลังต่อสายกับใครอยู่
“ฮัลโหล เมื่อกี้มาริกำลังคุยกับใครอยู่หรอม่อน มีอะไรรึเปล่าม่อน ?”
“—– !!!”
เสียงของจิบิม่อนที่ดังมาจากอีกฟากของโทรศัพท์ทำให้ใบหน้าที่เฉยชาของมิโกะกระตุกเล็กน้อย
“เมื่อกี้พูดว่าอะไรหรือเปล่า เหมือนได้ยินเสียงคนอื่นอยู่ด้วย จะพิสูจน์อะไรกันหรอม่อน”
“……………..”
“………………”
“นี่มาริจะเงียบนานไปแล้วนะม่อน คิดจะโทรมาก่อกวนกันหรอม่อน”
ในขณะที่มิโกะยืนนิ่งไม่ไหวติง ฉันก็แนบหูลงกับโทรศัพท์พลางส่งยิ้มให้กับผู้หญิงคนนั้นที่ถึงแม้จะทำหน้านิ่ง แต่ฉันก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจจากคันธนูที่สั่นระริก
ฟุบ !
ทันใดนั้นเอง ลูกธนูของเธอก็สลายหายไปกลางอากาศ มิโกะคนนั้นยอมเก็บอาวุธกลับไปอย่างว่าง่าย
พอเห็นแบบนั้นแล้ว ฉันจึงรับสายจิบิม่อนที่เริ่มจะอารมณ์เสีย
“เปล่า ไม่มีอะไร ช่วงนี้เหงาๆเลยโทรเล่นเฉยๆนะม่อน”
“ว่าไงนะม่อน นี่จะกวนโมโหกันจริงๆใช่ไหมม่อน”
“ไม่ใช่ซักหน่อยม่อน ฉันก็แค่คิดว่าอยากลองพูดลงท้ายด้วยม่อนเหมือนจิบิม่อนเฉยๆเองม่อน”
“ว่าไงนะม่อน ! โทรมาด้วยเรื่องแค่นี้เนี่ยนะม่อน !?”
“ใช่แล้วม่อน”
“กรอด…น้อยๆหน่อยเถอะ ยัยบ้ามาริ !!!”
ตู๊ด….ตู๊ดดดดดดดดดดดด
และแล้ว ฉันก็โดนด่าและถูกจิบิม่อนตัดสายจนได้ค่ะ
“……………..”
“……………..”
เอาล่ะทีนี้ก็เหลือแค่เราสองคนจริงๆแล้วเนอะ มาต่อกันเถอะ
ท่ามกลางบรรยาอากาศอันตึงเครียด ฉันเป็นคนออกปากเริ่มบทสนทนาเป็นคนแรกด้วยรอยยิ้มอันนิ่งสงบ
“อย่าลืมสิค่ะรุ่นพี่ตัวจิ๋ว กฎของระบบจอมเวทย์ได้บอกไว้แล้วว่าจอมเวทย์ห้ามทำร้ายร่างกายกันเอง”
“วิธีแบบนั้น…ไม่น่าเกลียดไปหน่อยรึไง ?”
น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองอย่างชัดเจน
“ไม่เอาน่า…ที่น่าเกลียดมันฝั่งนั้นที่จู่ๆก็มาตั้งท่าโจมตีเองเออเองต่างหาก ฉันก็แค่หาวิธีป้องกันตัวเองเท่านั้นเองนะ”
“น่าเกลียด…คนขี้ขลาด”
“ฮุๆ ถูกต้องแล้วค่ะ”
ฉันเหยียดยิ้ม ก่อนจะกดปุ่มบันทึกเสียงและวางเมจิคัลโฟนลงข้างๆแก้มของฉันที่ตอนนี้เอียงหัวเล็กน้อย
ฉันโชว์ให้เธอเห็นชัดเลยๆว่า บทสนทนาของพวกเรากำลังถูกบันทึกอยู่
“นี่มันศัตวรรษที่เท่าไหร่แล้วค่ะ อย่าเอาแต่ตัดสินทุกอย่างด้วยความรุนแรงสิ”
“เธอ…นี่มัน”
มิโกะกัดฟันแน่น ก่อนจะเอ่ยคำๆนึงออกมา
“งั้นมาประลองกัน”
“ไม่เอาค่ะ”
“—– !?”
แน่นอนว่า ฉันปฏิเสธในทันที
“นี่เธอ…กำลังกวนโมโหฉันอยู่รึไง ?”
“ไม่เลยๆ ฉันไม่เห็นเหตุผลที่จะสู้กับคุณมิโกะตัวจิ๋วเลยนี่นา”
“…………………..”
“เมืองแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนผืนป่าที่นักล่ามาออกล่า ใครล่าก่อนก็ได้ก่อน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ที่ดินผืนนี้ไม่มีใครเป็นกรรมมสิทธิทั้งนั้น…เพราะงั้นถ้าใครเป็นคนรับเควสก่อน คนๆนั้นก็มีสิทธิได้ทำก่อน ไม่เกี่ยวกับว่าอยู่เมืองๆไหนหรอกค่ะ”
“…………………..”
“ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะมาจากไหน หรือมาแล้วแย่งงานของฉันรึเปล่า แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า ฉันไม่ชอบให้ใครมาแย่งลาสต์มอนสเตอร์ที่อ่อนแรงด้วยน้ำพักน้ำแรงของฉันค่ะ”
“…………………”
“นี่เป็นครั้งแรก เพราะงั้นครั้งนี้ฉันจะปล่อยคุณไปก่อน ไม่ใช่เป็นทางคุณที่ยอมปล่อยฉันไป อย่าได้เข้าใจผิดไปเสียละ ….เพราะ ฉันเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปตบตีแย่งชิงอาณาเขตซึ่งแปรียบเสมือนสวนหลังบ้านของฉันเองตั้งแต่แรก ”
ถ้างั้น—
ริมฝีปากเล็กๆขยับเล็กน้อยและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
ดวงตาอันเย็นชาของเธอแฝงไปด้วยความเกลียดชัง
“แล้วถ้าฉันยังมาแย่งเธอฆ่ามอนสเตอร์อีกล่ะ เธอจะทำอะไรได้”
“อื้ม ~ ♪ ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาล่ะก็ ฉันก็จะไม่ประลองอยู่ดีค่ะ เพียงแต่—-”
ฉันหรี่ตาลงและจ้องไปยังมิโกะร่างเล็กคนนั้น ผู้ไม่รู้เลยว่ากำลังเล่นกับใครอยู่
ฉันพูดกับเธอด้วยเสียงหวานที่สุดทั้งๆที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ฉันจะไล่ตามคุณไปทุกๆที่ค่ะ”
“—– !?”
“ไม่ว่าจะขึ้นเหนือล่องใต้ ฉันจะสะกดรอยคุณไปเรื่อยๆไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะภารกิจระดับบรอนซ์ ระดับโกล หรือ ระดับซิลเวอร์ ฉันก็จะไล่ตามคุณทุกรอบไปประหนึ่งเหาฉลามที่ไม่มีวันปล่อยตัวจะฉลามเป็นอันขาด แล้วจากนั้นฉันจะล่ามัน…ล่า…ล่า…..แล้วก็ล่ามอนสเตอร์ทุกๆตัวที่คุณอยากล่า ฉันจะแย่งลาสต์มอนสเตอร์ที่คุณออกล่าทุกๆตัวจนคุณไม่มีเงินไหลเข้าบัญชีอีกแม้แต่แดงเดียว”
“อึก !”
เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าที่เย็นชาเผยให้เห็นความรู้สึกเป็นครั้งแรก
ทว่า สีหน้าที่ซีดเผือดและดวงตาที่สั่นเทาราวกับกระรอกตัวน้อยๆนั่น ทำเหมือนกับว่าฉันเป็นฝ่ายกลั่นแกล้งเฉยเลยนะเนี่ย
ฉันไม่ได้มีรสนิยมรังแกเด็กตัวเล็กๆซ่ะหน่อย ให้ตายสิ
“เพราะงั้นเชิญเลือกเลยค่ะ ว่าจะจบเรื่องลงที่ตรงนี้ หรืออยากจะให้สาวงามคนนี้ไล่ตามคุณไปตลอดชีวิต ถ้าเลือกอย่างหลัง ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะคะ ฮุๆ”
“………………….”
ได้ยินเสียงมิโกะคนนี้กัดฟันแน่น เธอหลับตาลงและกำหมัดราวกับกำลังกลั้นใจอดทนไม่ให้ระเบิดอารมณ์อันฉุนเฉียวออกมา
“เข้าใจแล้ว…”
ไหล่ที่เคยตึงพลันผ่อนคลายลง เธอมองมาที่ฉันอย่างเหนื่อยใจและเอ่ยขึ้นมา
“หวังว่าหลังจากนี้ เราสองคนจะไม่มีปัญหาต่อกันอีก—-”
“ถ้างั้นก็ดีค่ะ….ในเมื่อตกลงกันได้แล้วก็ลาล่ะ”
เช่นนั้น ฉันก็หันหลังให้และเปิดแอปจอมเวทย์เพื่อเรียกกระจกข้ามมิติขึ้นมา
จบปัญหาได้ง่ายกว่าที่คิด แค่ขู่นิดๆหน่อยก็ได้ผลแล้ว
“—–!!!”
แต่แล้วในตอนนั้นเอง ฉันก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งตรงมาจากข้างหลัง ฉันจึงรีบหันหลังกลับไปส่งยิ้มให้เธอ
“ไม่ทราบว่ารุ่นพี่ชื่ออะไรหรอคะ ?”
“—- !?”
กึก !
เพราะอยู่ๆฉันก็หันกลับมากระทันหัน คุณรุ่นพี่มิโกะตัวจิ๋วก็สะดุ้งเฮือก ก่อนจะรีบสลายลูกศรเพลิงที่วางพาดอยู่บนคันธนูกลับไปด้วยความร้อนรน
เกือบไปแล้วไหมละ เห็นตัวเล็กแค่นี้แต่ใจเด็ดใช่เล่น
ทว่า ถ้าคิดจะแอบเก็บฉันล่ะก็ คราวหลังควรจะซ่อนจิตสังหารเอาให้ดีกว่านี้นะคะ
“มิโกะอัคคี”
“เข้าใจแล้วค่ะ คุณรุ่นพี่มิโกะอัคคีนี่เอง”
ส่วนฉัน….ฉายาของฉันที่จิบิม่อนเคยบอกไว้ก็คือ—
“ฉัน เอ็มเพรส มารีน(Empress Marine) ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“จักพรรดินีแห่งห้วงมหาสมุทร ? นั่นคือฉายาจริงๆของเธอ หรือเป็นความหยิ่งยโสของเธอที่คิดฉายานั้นขึ้นมาเองกันแน่ ?”
“แน่นอนว่าฉันคงไม่คิดชื่อน่าอายนี้ขึ้นมาเองแน่นอนค่ะ มีใครที่ไหนเรียกตัวเองแบบนั้นกันบ้างละ”
“ก็มีอยู่บางคน….”
“???”
“แต่ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องรู้หรอก…เอาเป็นว่าฉันจะจำชื่อเธอเอาไว้ เอ็มเพรส มารีน”
สิ้นการแนะนำตัวอย่างสนิทสนม ราวกับจะพร้อมยัดเวทย์อัดหน้ากันทุกเมื่อฉันท์พี่น้อง
มิโกะอัคคีก็หมุนตัวและวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ฉันมองแผ่นหลังเล็กๆจางลงเรื่อยๆจนกระทั่งหายวับไปในที่สุด
แม้ในวันนี้ เงินจะเข้ากระเป๋าฉันถึง 50,000 โกลจากการสั่งหารแอร์ไวเวิร์นพร้อมจ่าฝูงของมัน แต่ปัญหาที่เพิ่มเข้ามาในวันนี้ก็ทำเอาฉันสงบใจไม่ได้เลยค่ะ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ตกเย็นในวันเดียวกัน ฉันก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้จิบิม่อนฟัง
เจ้าแตงโมไม่ได้เรื่องนั่นบอกฉันว่าเขาช่วยอะไรฉันไม่ได้ เพราะ เรื่องกำหนดเขตพื้นที่ออกล่ามอนสเตอร์ไม่มีอยู่ในข้อกำหนดของระบบจอมเวทย์ ถ้ามีปัญหากระทบกระทั่งกันก็ให้ตัดสินกันด้วยการประลองเวทมนต์แทน
ในส่วนของไวเวิร์นที่โดนแย่งลาสไป ฉันจะได้ส่วนแบ่งจากการทำให้มันอ่อนแรงส่วนหนึ่ง แต่รุ่นพี่มิโกะจะได้เงินจากการสังหารซึ่งมากกว่าของฉัน แม้เรื่องนี้จะไม่เป็นธรรม แต่ทางสภาเวทย์ก็ไม่ได้คิดจะเคลื่อนไหวอะไรกับปัญหาเล็กๆน้อยๆแค่นี้
พวกเขาจะออกมาก็ต่อเมื่อ เกิดการทะเลาะวิวาทหรือฆ่ากันเองระหว่างจอมเวทย์
ทว่า แม้ฉันจะรายงานเรื่องที่รุ่นพี่มิโกะเตรียมจะทำร้ายร่างกายฉันทีเหลอ ทางจิบิม่อนเองก็บอกว่าถ้าไม่มีหลักฐานก็ทำอะไรไม่ได้
เสียงที่บันทึกไว้ในเมจิคัลโฟนก็ไม่ได้บ่งบอกว่ามีการทำล้ายร่างกายเกิดขึ้น แถมความผิดของการแสดงเจตนาขมขู่ แต่ยังไม่ได้ทำร้ายร่างกาย มันก็ไม่มีบทลงโทษที่บัญญัติเอาไว้เช่นเดียวกัน
ถ้าไม่มีใครถูกโจมตี มันก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆจากฝั่งสภาเวทย์
ช่างเป็นองค์กรที่ไร้ความรับผิดชอบซ่ะเหลือเกิน เป็นการปล่อยปละละเลยที่ชวนให้กุมขมับจริงๆ
แต่ในเมื่อฉันขู่ไปขนาดนั้น ก็หวังว่าเธอคนนั้นจะไม่มาก่อกวนอีกแล้วนะ
จะมานั่งกังวลกับอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น มันก็กระไรอยู่ ฉันก็เลยกลับไปนั่งเล่นเกมชิวๆจนตกดึก แล้วเวลาก็หมดไปอีกหนึ่งวัน
หลังจากการปรากฎตัวของแอร์ไวเวิร์นในวันนั้น มันก็ไม่มีภารกิจความยากที่ต้องอาศัยจอมเวทย์ระดับโกลโผล่มาอีกเลย มีแต่ออร์คๆๆ แล้วก็ออร์ค ฉันไล่ฆ่าออร์คที่หลุดฝูงมาครั้งล่ะหนึ่งถึงสองตัว จนตอนนี้จำนวนออร์คที่ฆ่าไปน่าจะเกินครึ่งร้อยได้แล้ว ฉันอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ไปอีกซักพักก็จะมีเหรียญตราออร์คสเลเยอร์อะไรทำนองนั้นมาให้ฉันบ้างรึเปล่า
“ไม่มีหรอกม่อน !”
แต่พอพูดออกไปแบบนั้น จิบิม่อนก็พูดปฏิเสธทันควัน
แล้วก็เกี่ยวกับการปรากฎตัวของออร์คช่วงนี้ที่มาครั้งละน้อยๆ มาทีละบ่อยๆ จิบิม่อนก็อธิบายว่า ช่วงนี้เป็นฤดูผสมพันธุ์ของพวกมันทำให้บางครั้งมีออร์คติดสัดที่หลุดฝูงแอบลอบเข้ามาในมิติเรพลิก้าเอง
“หลุดมาเยอะๆก็ดีนะ”
“ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลยม่อน !”
ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ไม่มีอะไรง่ายไปกว่าการลอบฆ่าออร์คที่ชอบหลุดฝูงมาทีละ 1-2 ตัวอยู่แล้วนิเนอะ
ได้หัวละ 1000 โกล เลยนะ วันหนึ่งก็มีหลุดมาแบบนี้ประมาณ 7-8 ตัวได้ ก็เลยฟันกำไรไปวันล่ะ 7000 เหนาะๆ
เป็นงานที่ไม่เปลืองแรงซักเท่าไหร่ ทำให้ฉันเริ่มอยากจะกลายเป็นนักล่าออร์คแทนจอมเวทย์แล้ว พอได้เงินมากๆเข้าทางนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่า ทางสภาเวทย์หาเงินจากไหนมาจ่ายให้เราเยอะแยะ คงไม่ได้ผลิตแบงค์ปลอมมาจ่ายพวกเราใช่ไหมเนี่ย ?
“ถ้าเรื่องเงินล่ะก็ มีการพูดคุยเจรจาต่อรองกันแล้วระหว่างผู้นำประเทศแล้วม่อน”
แต่เพราะจิบิม่อนตอบมาแบบนั้น ข้อสงสัยของฉันจึงหมดไป
หลังจากไล่ล่าออร์คมาสามวันติด ในที่สุดก็มาถึงวันสุดท้ายที่พวกรุ่นพี่จะพักรักษาตัวอยู่ที่โลกเรพลิก้า
พอฉันสอบถามจากจิบิม่อนจนรู้ว่าพวกเธอหายดีได้ระดับหนึ่ง ฉันเลยเตรียมที่จะไปเยี่ยมพอเป็นพิธี
อย่างน้อยสามคนนั้นก็เป็นจอมเวทย์รุ่นพี่ที่อยู่เมืองๆเดียวกัน เพราะงั้น ถ้าสนิทกันเอาไว้ซักหน่อยก็ไม่เสียหาย ถึงใจจริงแล้วจะขี้เกียจเดินทางแล้วก็ตาม
ว่าแล้วฉันก็วาร์ปไปยังอาณาจักรเซเลสเทีย ดินแดนจอมเวทย์จากดาวโลก
สถานที่แห่งนั้นก็ยังคงเป็นเมืองลอยฟ้าที่งดงามไม่เคยเปลี่ยน
ทั้งอาคารที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ มีนกพิราบโบยบินไปมา ดวงอาทิตย์เปล่งแสงเจิดจ้ากระทบน้ำตกสูงตระหง่านจนเกิดรุ้งกินน้ำเจ็ดสีสดใส
แถมลมก็เย้นเย็น อากาศก็สดชื่น
แค่ได้สูดอากาศเข้าเต็มปอดก็รู้สึกราวกับว่าได้มาเดินทางท่องเที่ยวที่ต่างประเทศอะไรอย่างงั้น
ระหว่างทางไปร้านดอกไม้ ฉันก็เดินผ่านตลาด
ที่นั่นมีของกินเต็มไปหมด แถมบางร้านก็มีของแปลกพิสดารขายด้วย
อย่างเช่น ทาโกยากิไส้ออร์คเอย เครปไส้แมนเดรกเอย(รากไม้หน้าตาเหมือนคนที่ส่งเสียงร้องไห้ได้) กุญแจผีสไลม์เอย(พวงกุญแจที่ทำจากสไลม์มีชีวิต สามารถใช้เปลี่ยนรูปร่างของมันให้คล้ายกับรูกุญแจ ทำให้สามารถใช้มันแก้ขัดเวลาทำกุญแจบ้านหาย แต่สไลม์กุญแจมีอายุขัยแค่ 5 วัน ) ต้นนารีผลเอย (ต้นไม้ที่ออกลูกออกผลออกมาเป็นผลที่หน้าตาเหมือนสตรีเพศหญิง)
มีแต่ของแปลกๆน่าสนใจเต็มไปหมด จนเผลอเดินเล่นไป 2 ชั่วโมงได้
แน่นอนว่า ฉันก็ลองซื้ออะไรแปลกๆกลับไปอย่างเช่น ต้นนารีผล ซึ่งทางร้านค้าก็จัดใส่กล่องพร้อมหนังสือคู่มือโดยละเอียดให้ รู้สึกว่าผลของต้นนารีผลจะมีลักษณะเป็นผู้หญิงซึ่งพูดได้และจะทำตามคำสั่งของผู้ที่เด็ดมันออกมาจากต้น ทว่า หากเด็ดออกมาแล้วก็จะมีอายุขัยแค่ 1 วัน
ว่ากันว่าผลของมันขายได้ราคาแพงมากๆเลยล่ะ เพราะงั้นฉันเลยว่าจะลองปลูกดูซักหน่อย
นอกจากนี้ก็ของว่างหน้าตาน่าสนอย่าง สายไหมเอกอนันต์ที่เป็นขนมสายไหมซึ่งยิ่งกินยิ่งขยายขนาดใหญ่ขึ้นเองเรื่อยๆจนกินไม่มีวันหมด แต่รสชาติความหวานจะลดลงเรื่อยๆและหมดอายุเองใน 10 นาทีหลังทำเสร็จ (หวานดี อร่อยจัง) , ทอฟฟี่รสทะเลทราย ลูกอมรสหวานที่อมแค่คำเดียวก็รู้สึกเหมือนกับกลืนทรายลงคอ(รสชาติห่วยบรมค่ะ), นักเก็ตติดจรวด นักเก็ตทอดกรอบที่อร่อยเหาะ แต่กินเสร็จแล้วจะผายลมออกมาไม่หยุดยันเช้าวันรุ่งขึ้น (ไม่กล้ากิน อันนี้ซื้อไปฝากรุ่นพี่)
จากนั้นพอรอดจากตลาดไปได้ ฉันก็ไปแวะซื้อดอกไม้ที่เจ้าของร้านเป็นคุณมนุษย์หน้าดอกทานตะวัน
“หน้าผมมีอะไรติดอยู่รึเปล่าครับ ?”
“คะ คะ คือว่า นี่คุณเป็นตัวอะไรกันแน่คะ ?”
สิ่งมีชีวิตทุกอย่างภายในเมืองที่มีปฏิสัมพันธุ์กับฉัน มีแต่สิ่งมีชีวิตประหลาดๆที่หน้าตาเหมือนสัตว์ ไม่ก็ ผลไม้ พืชพรรณต่างๆ หากแต่พูดได้และมีรูปแบบการใช้ชีวิตเหมือนกับมนุษย์
พอฉันถาม คุณเจ้าของร้านก็อธิบายว่า พวกเขาคือสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ที่มหาปราชญ์เป็นคนสร้างขึ้น เรียกว่า ‘เอนิมัส’โดยพวกเขามีสาเหตุการดำรงอยู่คล้ายๆกับพวกจิบิม่อนที่เป็นสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ชั้นสูงกว่าซึ่งถูกเรียกว่า ‘มาสคอต’
“พวกเราไม่มีวันตาย และ มีหน้าที่หลักคือการรับใช้พวกท่านจอมเวทย์ทุกๆคน เพียงแต่ข้อเสียของเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตสังเคราะห์อย่างพวกเราก็มีข้อเดียว นั่นก็คือ หากพวกเราออกไปนอกอาณาเขตดินแดนจอมเวทย์ ซึ่งมีอณูเวทย์รวมตัวกันหนาแน่น พวกเราจะตายเอาได้ เสมือนพวกมนุษย์ที่ขาดอากาศหายใจครับ….พวกเราต่างจากพวกท่านมาสคอตที่สามารเดินทางออกไปโลกภายนอกได้อย่างอิสระ”
หลังได้ข้อมูลเกร็ดความรู้ ฉันก็กล่าวขอบคุณเขา ก่อนจะเลือกซื้อดอกไม้มาสามช่อ
“เยลโล่โรส (yellow rose )ดีกว่าใช่ไหมคะ”
“ครับ ดอกเยลโล่โรส สื่อถึงมิตรภาพ แล้วก็ถ้าจะไปเยี่ยมผู้ป่วย ขอแนะนำดอกเดซี่(Daisies)ด้วยครับ เพราะความหมายของมันจะเป็นการอวยพรขอให้หายไวๆ”
“เข้าใจแล้ว ขาวเหลืองก็เข้ากันดี”
ฉันเลยให้เจ้าของร้านจัดช่อดอกไม้ที่เน้นการผสมผสานสีขาวเหลืองของดอกไม้ทั้งสองชนิดเข้าด้วยกัน
ระหว่างนั่งรอก็ไปหาซื้อชาไข่มุกมาจิบดับกระหาย
พอสไลด์หน้าจอโทรศัพท์อ่านข่าวไปเรื่อยเปื่อย พลางลิ้มรสความหวานของชาไข่มุกเจ้าดัง หลังจากนั้นไม่นานเจ้าของร้านก็ออกมาพร้อมดอกไม่ช่อใหญ่
ฉันก็รับมาแล้วจ่ายเงินให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ
“ขอบพระคุณที่อุดหนุนครับ ท่านจอมเวทย์ !”
ฉันโบกมือลาเจ้าของร้านหน้าดอกทานตะวัน แล้วเดินตรงไปที่โรงพยาบาล
พอไปถึงก็เจอกับรปภ.หน้าฮิปโปที่โค้งหัวให้อย่างมีมารยาท และ รีบวิ่งตรงมาหาฉัน
“ไม่ทราบว่าจะให้ช่วยถือสัมภาระไหมครับ ท่านจอมเวทย์”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นำทางให้ก็พอ”
ดูเหมือนในดินแดนแห่งนี้ จอมเวทย์อย่างพวกเราจะถือเป็นตัวตนชั้นสูงพอสมควร สิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ต่างพยายามเอาอกเอาใจและคอยช่วยเหลือฉันตลอดเวลาทุกฝีเก้าตั้งแต่เหยียบเท้าเข้ามา
พยาบาลฮิปโปถึงกับเดินออกมาถามฉันจากที่เคาน์เตอร์เองเลยว่าต้องการอะไรให้ช่วยรึเปล่า
พอบอกไปว่ามาหาพวกแม่มดอัสนี พยาบาลฮิปโปก็รับฉันมาต่อจากรปภ.หน้าฮิปโป
“ไม่ทราบว่าจะให้ช่วยถือของไหมค่ะ ท่านจอมเวทย์”
“เอ่อ…ไม่เป็นไรค่ะ”
“ค่ะ..ถ้างั้นเธอ เด็กใหม่มาช่วยนำทางให้ที”
“คะ..ค่ะ !”
มีฮิปโปร่างเล็กที่สวมชุดพยาบาลเหมือนกันเดินเข้ามาหาฉันและนำทางต่อ
“ไม่ทราบว่าจะให้หนูช่วยถือไหมคะ ท่านจอมเวทย์ ?”
“เอ่อ……..อืม…ช่วยถือขนมให้หน่อยค่ะ”
“ด้วยความยินดีค่ะ !”
พอฉันส่งถุงขนมไปให้ เธอก็รีบรับมาและเดินนำหน้าไปอย่างกระตือรือร้น เพราะโดนเซ้าซี้ทุกๆจุดที่ส่งต่อ ฉันเลยยอมแพ้ให้กับความพยายามในการบริการของพวกเขา
จะว่าไปโรงพยาบาลแห่งนี้ก็มีดีไซน์ที่แปลกประหลาดดี
พื้นปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน สไตล์อาคารออกแนวตะวันตก มีรูปภาพต่างๆที่คล้ายกับภาพศิลปินชื่อดังประดับตามฝาผนัง หากแต่เป็นรูปปลอมที่ล้อเลียนของจริงโดยเอาหน้าสัตว์ใส่เข้าไปแทน เช่น โมนาลิซ่าหน้าฮิปโปอะไรทำนองนั้น
รูปแบบอาคารก็ออกแบบให้ดูคล้ายกับหอคอยทรงกลมสูง 10 ชั้น ที่ตรงกลางอาคารจะเปิดเป็นช่องว่างวงกลมซึ่งเมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าก็จะเห็นโดมกระจกใสๆที่เผยให้เห็นท้องฟ้าสีครามสดใส
การเดินทางข้ามจากชั้นหนึ่งไปชั้นสองไม่จำเป็นต้องใช้ลิฟต์ เพียงแค่ฉันต้องเดินมาตรงกลางอาคารที่เปิดกว้างซึ่งสามารถเงยหน้าเห็นโดมกระจกเหนือชั้น 10
ที่ตรงนั้น….บริเวณตรงพื้นชั้นหนึ่งก็ปรากฎบันไดเลื่อนจำนวนห้าบันได้วางติดๆกัน
ในโรงพยาบาลแห่งนี้ พื้นที่แต่ละชั้นจะไม่มีบันไดเลื่อนเชื่อมแต่ละชั้นเข้าด้วยกัน หากแต่บันไดเลื่อนทุกๆอันจะถูกวางกองอยู่ที่ชั้นหนึ่งกันทั้งหมด
ในตอนที่กำลังสงสัยเรื่องโครงสร้าง พยาบาลฮิปโปก็เร่งเร้าให้ฉันเดินขึ้นไปบนบันไดเลื่อน 1 ใน 5 บันได
พอเราสองคนขึ้นไปยืนบนนั้นเสร็จ พยาบาลฮิปโปก็กดลงไปที่กระจกข้างบันไดเลื่อน ฉันพึ่งสังเกตุเห็นว่ามันเป็นระบบจอสัมผัสไม่ใช่กระจกธรรมดาๆ
มีปุ่มตัวเลขชั้นปรากฎขึ้นมา พยาบาลฮิปโปก็กดเลข 5
ครืดดดด
ทันใดนั้นเอง บันไดเลื่อนก็ค่อยๆลอยขึ้นฟ้า พาพวกเราบินไปถึงชั้น 5
จากตอนแรกที่ขั้นบันไดเลื่อนไม่ขยับ ขั้นบันไดก็ค่อยๆขยับขึ้นนำพาร่างของพวกเราเคลื่อนที่ขึ้นบนอย่างช้าๆ
กึก !
หลังจากที่บันได้เลื่อนไปต่อกับพื้นที่บริเวณชั้น 5 เรียบร้อย ขั้นบันได้ที่ฉันยืนอยู่ก็มาอยู่ในระดับเดียวกันกับพื้นชั้น 5 พอดี
ด้วยความที่รู้สึกกลัวปนตื่นเต้นเล็กน้อย ฉันเลยเผลอแสดงนิสัยราวกับเด็กๆ นั่นก็คือการกระโดดสองขาพร้อมกันออกมาจากบันไดเลื่อน
ฉันกลัวว่าถ้าก้าวไปแค่ข้างเดียวแล้วอยู่ๆบันไดเลื่อนตกลงไป ฉันจะตกลงไปด้วย
“คิก !”
แต่พอฉันทำแบบนั้นก็ได้ยินเสียงฮิปโปข้างหลังหลุดขำ
“คะ ขออภัยค่ะ ! พะ พะ พอดีหนูไม่คิดว่าจะเห็นด้านที่ดูน่ารักของท่านจอมเวทย์ด้วย”
“อือ…ช่างเถอะ…ไม่เป็นไร”
แต่ฉันก็อดถามเธอไม่ได้จริงๆ
“นอกจากบันไดเลื่อนลอยฟ้าแล้ว ไม่มีวิธีเคลื่อนย้ายแบบอื่นเลยหรอ”
“ไม่มีค่ะ”
“แล้วไม่เคยมีใครตกลงไปข้างล่าง หรือ เผลอวิ่งเล่นบนบันไดเลื่อนจนโดนหนีบระหว่างบันไดเลื่อนตอนกำลังไปเชื่อมต่อกับแต่ละชั้นเลยหรอ”
“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็…ห้องผ่าตัดอยู่ที่ชั้นหนึ่ง พร้อมทำการรักษาทุกเมื่อตราบใดที่ไม่เอาหัวโหม่งพื้นหรือหัวไปติดอยู่ระหว่างบันไดเลื่อนและพื้นกระเบื้องค่ะ”
“อึก ! ไม่อันตรายไปหน่อยหรอ”
“ก็อันตรายอยู่ค่ะ หนูเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไปทำไม”
“..อือ…..”
รู้สึกขนลุกเล็กน้อย แค่จินตนาการภาพตามก็รู้สึกแย่แล้ว
“อ๊ะ !”
ในตอนที่พวกเรายืนอยู่ริมบันไดเลื่อน ฉันก็สังเกตุเห็นตุ๊กตาฮิปโปสูงเท่าเอวที่ห้อยด้วยพวงมาลัยสีเหลืองและมีน้ำแดงวางไว้ตรงหน้า
“เจ้านี่คือ…”
“เป็นรูปปั้นไว้อาลัยเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดเมื่อเดือนก่อนค่ะ”
“ทำไมเอามาวางไว้ตรงนี้ละ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ?”
“เอ่อ…คือเรื่องนั้น”
พยาบาลฮิปโปไม่ตอบในทันที หากแต่มองไปตรงรอยต่อระหว่างบันไดเลื่อนและพื้นชั้น 5
ครืดดดดด
พอบันไดเลื่อนขยับออกไป ฉันก็ดันเหลือบไปเห็นคราบเลือดสีน้ำตาลแห้งๆสองสามหยดที่ติดอยู่กับบันไดเลื่อนและพื้นกระเบื้อง
“……………”
“……………”
ดูท่าทางคุณพยาบาลฮิปโปจะสังเกตุเห็นเช่นกัน เธอเลยรีบหลบตาฉันโดยทันที
อยู่เฉยๆก็ได้ดาร์คมีมเฉยเลยค่ะ แค่จินตนการภาพตามก็สยองแล้วค่ะ
พอฉันลองถามว่าไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงหน่อยหรอ คุณะพยาบาลฮิปโปก็บอกฉันว่า
“พวกเราไม่มีเสียงที่ดังพอจะทำให้ผู้บริหารรับฟังหรอกค่ะ….แต่ถ้าเป็นท่านจอมเวทย์ล่ะก็—”
เหมือนโลกใบนี้จะมีมุมมืดกว่าที่คิด
จากที่ฟังๆมาเหมือนพวกสิ่งมีชิวิตสังเคราห์จะมีชีวิตไม่ต่างจากหุ่นยนต์ที่ถูกกำหนดบทบาทมาตั้งแต่กำเนิด
พวกเธอถือเป็นสิ่งของไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ไม่มีสิทธิมนุษยชนใดๆทั้งนั้น
เสมือนหนึ่งว่า พวกเธอคือหุ่นยนต์ที่เกิดมาเพื่อรับใช้พวกเราเหล่าจอมเวทย์
“เข้าใจแล้ว ที่นี่มีใบร้องเรียนรึเปล่า เดี๋ยวฉันจะเขียนให้เอง”
“จริงหรอคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะท่านจอมเวทย์”
“อืม….”
พยาบาลฮิปโปยิ้มกว้างด้วยความยินดี จากนั้นเธอก็นำฉันไปส่งที่ห้องผู้ป่วย
พวกเราเดินผ่านทางเดินอันยาวเหยียดขาวสะอาดที่วนเป็นวงกลม ข้างซ้ายเรียงรายด้วยประตูห้องและเลขห้องผู้ป่วย ในขณะที่ด้านขวาคือระเบียงกั้นที่ใช้เชื่อมต่อกับบันไดเลื่อนลอยได้
ก๊อกๆ
หลังจากที่พวกเราไปถึงจุดหมาย พยาบาลฮิปโปก็เคาะประตูเบาๆสองสามที แล้วเปิดประตูให้ฉันเข้าไป
เอี๊ยดดดดด
สิ่งแรกที่ฉันสัมผัสได้คือแอลกอฮอล์ลอยคละคลุ้ง
ห้องผู้ป่วยตรงหน้าเป็นห้องหกเตียง สองห้องน้ำ หนึ่งทีวีติดอยู่ตรงมุมห้อง และที่ปลายสุดก็มีหน้าต่างเผยให้เห็นโลกภายนอก
แสงสว่างจากหลอดไฟบนเพดานและจากแสงอาทิตย์ภายนอกทำให้ห้องมีสีที่สว่าง
แอร์ติดผนังทำให้สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ทำเอาตัวสั่นเล็กน้อย
ไม่สิ…ไม่ใช่เล็กน้อยแล้วล่ะ เพราะถ้ามองพื้นดูดีๆก็จะพบว่า มันมีหิมะกองเป็นพะเนินตั้งสูงอยู่ด้วยล่ะ
แถมยังมีเกล็ดน้ำแข็งลอยละล่องลงสู่พื้นด้วย นี่มันอะไรกันเนี่ย ?
“เดี๋ยวก่อนสิค่ะ ท่านจอมเวทย์ อย่าปรับแอร์เร่งอุณหภูมิไปต่ำสุดสิ เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี”
พยาบาลฮิปโปรีบเดินเข้าไปปรับจอมอนิเตอร์ข้างผนังเพื่อลดแอร์ลง และทันทีที่ได้ยินเสียงต่อว่าของเธอ มันก็มีเสียงประหลาดใจดังตามขึ้นมาจากตรงมุมห้อง
“““อ๊ะ !”””
เป็นเสียงร้องประหลาดใจของชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง และ มนุษย์หิมะอีกหนึ่ง
ภาพที่ฉันเห็นในตอนนี้ก็คือ ภาพของรุ่นพี่อัศวิน และ รุ่นพี่หมัดเมาในชุดคลุมผู้ป่วยสีขาวที่กำลังพยายามช่วยกันปั้นหิมะบนพื้นให้กลายเป็นก้อน
“คะ คะ ใครน่ะ”
รุ่นพี่แม่มดหันมาถามฉันด้วยสีหน้าสับสน ในขณะที่ร่างของเธอก็ปกคลุมไปด้วยหิมะและกลายเป็นตุ๊กตาหิมะไปเรียบร้อยค่ะ
แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน มีแอร์ที่เย็นขนาดทำให้หิมะตกได้เลยหรอเนี่ย
อยากได้ซักเครื่องจัง ไว้ถามรายละเอียดจากพยาบาลฮิปโปหลังเยี่ยมเสร็จละกันเนอะ