เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 8 ความล้มเหลว
ท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง บ้านเมืองกำลังลุกไหม้ อาคารตึกแถวจำนวนมากได้พังทลายลงมา
เมืองทั้งเมืองที่เคยงดงาม บัดนี้ถูกปกคลุมด้วยหมอกควันและเปลวเพลิง
ความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากการปะทะกันระหว่างจอมเวทย์ 3 คนและมอนสเตอร์เพียง 1 ตัว
ภาพที่เห็นจากมุมสูงคือ การเผชิญหน้าอันเสียเปรียบของเหล่าจอมเวทย์หนุ่มสาวซึ่งโดนมอนสเตอร์รูปร่างคล้ายหมูป่ายักษ์ไล่ต้อนจนแผ่นหลังไปชิดเข้ากับกำแพงอาคารสำนักงานหลังหนึ่งที่เหลืออยู่ ในขณะที่อาคารโดยรอบต่างพังทลายไปหมดแล้ว
เบื้องหน้าของ เด็กชายและเด็กสาวที่กำลังบาดเจ็บทั้งสามคน ก็ปรากฎร่างของหมูป่ายักษ์สูงสามเมตรซึ่งมีขนหนาสีแดงเลือดและเขี้ยวแหลมยาวสีเหลืองทอง ดวงตาสีดำทะมึนซึ่งแฝงด้วยออร่าน่าขนลุกกำลังกวาดสายตามองร่างของทั้งสามคนที่เต็มไปด้วยบาดแผล
เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้มีชื่อว่า ‘ไจแอน์บอว์’ มันคือหมูป่ายักษ์ที่มีพลังกายรุนแรงอีกทั้งยังมีขนหนาๆต้านทานไฟฟ้า เขี้ยวที่ยื่นออกมามีความสามารถในการร่ายเวทย์สายฟ้า อีกทั้งยังแหลมถึงขนาดฟันบ้านทั้งหลังให้ขาดเป็นสองท่อนได้ในพริบตา
“อึก…ทำอะไรมันไม่ได้เลย”
คนหนึ่งคือเด็กสาวผมทองทรงดริลซึ่งสวมใส่ชุดคลุมแม่มดขาดรุ่งริงเผยให้เห็นหน้าท้องเนียนขาวและหัวไหล่ขาวๆที่เปิดกว้าง เธอทรุดเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นเพราะขาที่หัก ส่วนมือซ้ายก็กอดไหล่ขวาที่มีเลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลกว้างขนาดใหญ่ที่คว้านเนื้อของเธอเป็นรูกว้าง ใบหน้าที่ก้มลงและหายใจอย่างหอบเหนื่อยกำลังกัดฟันแน่นเพื่อฝืนทนต่อความทุกข์ทรมาน เธอคือจอมเวทย์สาวผู้มีฉายาว่า ‘แม่มดอัสนี’
“ขอโทษน่ะ..แฮ่กๆๆ ถ้าผม…ถ้าผมแข็งแกร่งกว่านี้ล่ะก็”
ส่วนอีกคนคืออัศวินซึ่งนอนแผ่ราบอยู่บนพื้นในสภาพที่ชุดเกราะแตกเป็นเสี่ยงๆจนแทบจะเห็นแต่ผิวหนังสีเนื้อที่เต็มไปด้วยคราบเลือด ดวงตาข้างหนึ่งของเขาปิดสนิท ในขณะที่อีกข้างหรี่ลงด้วยความเจ็บใจและจวนเจียนจะปิดไปอีกข้างเพราะอาการหน้ามืดหลังเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งเห็นได้จากท้องที่มีเลือดซึมออกมาไม่หยุดจากรูตรงกลาง ดาบยักษ์ที่เป็นอาวุธคู่ใจก็ตกอยู่ข้างๆเขาในสภาพที่หักครึ่ง จอมเวทย์ชายผู้นี้มีฉายา ‘จอมเวทย์วิถีอัศวิน’
“ไม่ใช่ความผิดของนายซักหน่อย ฮึก !ขอโทษนะ !!! เป็นเพราะนายปกป้องฉันเอาไว้แท้ๆ ”
ในขณะที่เด็กสาวผู้ไว้ผมทรงซาเลาเปาในชุดกี่เพ้าสีแดงอีกคนก็กำลังนั่งพับเพียบลงข้างๆเขาและพยายามกดบาดแผลตรงกลางท้องที่มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด น้ำตาไหลซึมออกมาจากหางตา สีหน้าของเธอร้อนรนจวนเจียนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แม้เสื้อผ้าของเธอจะขาดรุ่งริ่งไม่แพ้ทั้งสองคน แต่เธอกลับเป็นคนที่มีบาดแผลที่น้อยที่สุด เด็กสาวผู้นี้คือจอมเวทย์ผู้มีฉายา ‘จอมเวทย์หมัดเมาหลินหลิน’
ทั้งสามกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ หลังจากที่ต่อสู้กับมันมานานถึง 15 นาที
แม้อัตราฟูลซิงโครจะค้างอยู่ที่ 40 % แต่มอนสเตอร์ตนนี้กลับไม่ได้รับความเสี่ยหายใดๆ ต่างจากเหล่าจอมเวทย์ทั้งสามคนซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลสะบักสะบอม
สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับพวกเธอทั้งสามคนคือ มอนสเตอร์ตัวนี้เป็นศัตรูที่พวกเธอแพ้ทางอย่างชัดเจน
แม่มดอัสนีซึ่งชำนาญเวทย์สายฟ้าไม่อาจโจมตีทะลุทะลวงขนหนาๆที่มีความสามารถต้านทานไฟฟ้าได้
ในขณะที่จอมเวทย์หมัดเมาและจอมเวทย์วิถีอัศวินก็เป็นพวกสายกายภาพ ซึ่งแม้จะใช้เวทย์เสริมความแข็งแกร่งของร่างกายก็ไม่อาจเข้าประชิดตัวได้ เพราะ ‘ไจแอน์บอว์’ จะปล่อยกระแสไฟฟ้าจากเขี้ยวลงไปที่พื้นทำให้ใครก็ตามที่อยู่ใกล้ร่างกายของมันโดนไฟฟ้าซ็อตจนติดสถานะเป็นอัมพาต หลังจากนั้นมันก็จะใช้ร่างกาย อันใหญ่โตไล่เสียบร่างของเหยื่อราวกับกระทิงที่ไล่ขวิดคน
ความรุนแรงของการกระแทกแต่ละครั้งทำให้อาคารพังทลายเป็นแถบๆ
หากโดนตรงๆจังๆแค่ครั้งเดียว อาภรณ์เวทย์ก็คงจะขาดสะบั้นจนหมดทำให้ค่าพลังป้องกันเหลือ 0 และคนๆนั้นก็จะถึงแก่ความตายได้ง่ายๆหากโดนโจมตีซ้ำอีกครั้ง
ในการต่อสู้ตลอด 15 นาทีที่ผ่านมา พวกเขาพยายามหลอกล่อมันให้ชนอาคารต่างๆเพื่อหวังจะให้มันที่โดนตึกรามบ้านช่องทับมีสถานะงุนงง กระนั้นแล้ว มันกลับสะบัดอาคารที่ถล่มลงมาออกไปอย่างง่ายดายทุกครั้ง เพียงไม่นานอาคารเกือบทั้งหมดจึงพังทลายลงมาจากการหลอกล่อ แถมพวกเขายังไม่สามารถหาวิธีอื่นตอบโต้จัดการเจ้ามอนสเตอร์ตนนี้ได้
จนกระทั่งในท้ายที่สุด จอมเวทย์หมัดเมาที่อ่อนล้าก็หลงไปติดอยู่ในพื้นที่ไฟฟ้าซ็อตที่สร้างจากเขี้ยวของไจแอน์บอว์ แน่นอนว่า พอมันเห็นดังนั้นมันก็พุ่งเสียบโดยไม่รอช้า ทว่า ในเสี้ยววิชี้เป็นชี้ตาย จอมเวทย์วิถีอัศวินที่มีพลังป้องกันมากที่สุดก็กระโดดมาใช่โล่รับการโจมตีแทน แรงกระแทกอันรุนแรงทำให้โล่กระเด็นหลุดจากมือ จนเขาต้องใช้ดาบรับการโจมตี แต่ในท้ายที่สุดดาบก็หักเป็นเสี่ยงๆ จนเขี้ยวที่ไร้สิ่งกีดขวางก็แทงเข้าที่ท้องของเขาพร้อมส่งร่างปลิวกระเด็นไปไกลสามช่วงตึก
ร่างกายของเขาจึงเต็มไปด้วยบาดแผล อวัยวะภายในบอบซ้ำ จนถึงขนาดที่ถ้าไม่รีบพาไปรักษาตัวก็คงตายในอีกไม่ถึงชั่วโมงแน่ๆ
ส่วนแม่มดอัสนีที่เข้าไปบินล่อก็ถูกมันกระโดดเสยไปทีหนึ่งเข้าอย่างจัง การโจมตีที่ไม่คาดคิดทำให้เธอถึงกับกระดูกหักและได้รับบาดแผลทั่วร่าง
ณ ขณะนี้ พวกเธอทั้งสามจึงถูกกดดันจนเหลือทางเลือกแค่ทางเดียว นั่นก็คือการหนี
เอาเข้าจริงๆแล้ว เจ้าไจแอน์บอว์ ตัวนี้ก็เป็นมอนสเตอร์ระดับโกลซึ่งไม่ใช่คู่มือสำหรับพวกเธอที่เป็นแค่ซิลเวอร์
แค่ถ่วงเวลาได้นานขนาดนี้โดยไม่ตายก็ถือว่าเก่งมากแล้ว กระนั้นแล้วมันก็ไม่ช่วยให้พวกเธอรอดไปได้อยู่ดี
“โฮกกกกกกกกกกก”
เพียงแค่หมูป่ายักษ์คำรามอาคารและพื้นดินโดยรอบก็สั่นสะเทือนราวกับกำลังเกิดแผ่นดินไหว
ขนกายของพวกเขาลุกชันขึ้นด้วยความหวาดกลัว
แม่มดอัสนีที่มีสติรู้ตัวมากที่สุดก็ประคองไม้กวาดและยืนขึ้นมาด้วยขาสองข้างที่สั่นเทา ส่วนจอมเวทย์หมัดเมาก็กดบาดแผลห้ามเลือดของจอมเวทย์อัศวินในขณะที่ไหล่ของเธอกำลังสั่นระริก
ภาพของเหล่าจอมเวทย์ที่พ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชทำให้หมูป่ายักษ์พ่นลมหายใจฟึดฟัดออกจากจมูกด้วยความพึงพอใจ
เท้าหลังของมันเริ่มถีบพื้นรัวๆอันเป็นสัญญาณเร่งเครื่องเตรียมพุ่งชนจอมเวทย์ทั้งสามอีกรอบ
‘อัตราฟูลซิงโคร 80 %’
ทั้งตัวเลขที่เตือนอยู่ในเมจิคัลโฟนและภาพของศัตรูร่างยักษ์ที่กำลังจะพุ่งเข้ามา พวกเธอทั้งสามคนกำลังเจอวิกฤติทั้งในจอและนอกจอ
ในช่วงเวลาหน้าสิ่งหน้าขวาน แม่มดอัสนีจึงกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ และก้าวเดินออกไปข้างหน้า
เธอแบมือไปทางหมูป่ายักษ์ด้วยดวงตาที่แนวแน่แฝงด้วยการเตรียมใจ
ข้างหลังแผ่นหลังของเธอคือเหล่าพวกพ้องที่กำลังจ้องมองเธอด้วยสีหน้าตกตะลึง
“เอวาจัง ?”
“ซู…..นานาเสะ…พวกเธอทั้งคู่หนีไปเถอะ”
““—–!!!””
ทั้งเด็กชายและเด็กสาวต่างเบิกตากว้างราวกับไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง แต่กระนั้นแม่มดผู้ที่กำลังเดินกะโผลกกะเผลกคนนี้กลับตวัดไม้กวาดขึ้นมากระแทกพื้นเพื่อปลุกใจ
ตึ้ง !
“ไม่เป็นไร ฉันจะบินล่อมันอยู่บนฟ้า และ คอยถ่วงเวลาไว้ให้เอง พวกเธอหนีกันไปก่อนเถอะ”
“ถะ ถ้างั้นให้ฉันเป็นตัวล่อแทนเถอะ ! สภาพของเอวาจังในตอนนี้ไม่ไหวหรอก”
“ตัวเธอที่สู้ระยะประชิด และ บินไม่ได้ มีแต่จะเป็นเปล่านิ่งให้มันเปล่าๆ ถ้าเป็นแบบนี้สู้ให้ฉันบินล่อมันมาจากบนฟ้าไม่ดีกว่าหรอ”
“ตะ ตะ แต่ว่า !”
“ไม่เป็นไร…เดี๋ยวอีกไม่นาน ระดับโกลจะต้องมาถึงแน่”
“ถ้างั้นเอวาจังก็มาด้วยกันสิ พวกเราไม่ไหวแล้วนะ สู้ไปก็ตายเปล่าอยู่ดี เพราะงั้นถอยกันก่อนเถอะ…”
“………………..”
ได้ยินที่พวกพ้องของตนพูด แม่มดอัสนีก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆ
“ขอโทษนะ..ฉันถอยไม่ได้หรอก”
“เอวาจัง !”
ขาของแม่มดอัสนีวางพาดบนไม้กวาด เธอพยายามฝืนทนต่ออาการเจ็บปวดทุกครั้งที่ขยับขา พร้อมกับเอ่ยปลอบใจพวกพ้องด้วยเสียงที่สงบนิ่งที่สุดแม้ตอนนี้ริมฝีปากของเธอจะสั่นเทาไม่หยุดก็ตาม
“พวกเราจะไม่ยอมแพ้”
ความมุ่งมันอันแรงกล้าสถิตอยู่ในดวงเนตรอันสั่นเทา
แม้ลึกๆข้างในใจจะหวาดกลัว แต่เธอก็พยายามรวบรวมความกล้าเพื่อยืนหยัดขึ้นมา
“เบื้องหลังของพวกเราคือ ครอบครัวของ พี่น้อง และ เพื่อนฝูงของพวกเรา หากไร้ซึ่งแผ่นหลังของพวกเรา แล้วใครเล่าจะปกป้องทุกๆคน”
นั่นคือคำพูดของรุ่นพี่ที่เธอเคารพรักอวยพรให้เธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เธอคนนั้นจะออกจากเมืองมาซากุระแห่งนี้ไปและฝากฝังทุกอย่างไว้กับเธอ
“ผู้ใช้คฑาอันทรงเกียรติ….ความหวังสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ !”
เสียงกู่ร้องตะโกนก้องเต็มไปการเตรียมใจอันหนักแน่น
“นามนั้นคือ จอมเวทย์ ! พวกเราคือ จอมเวทย์ !!!”
“เอวาจัง !!!”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าฉันตายไปตอนนี้แล้วใครจะปกป้องผู้คนภายในเมืองกันเล่า ซูไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันเอาตัวรอดได้แน่…ก็ฉันสัญญากับรุ่นพี่ไว้แล้วนี่นาว่าจะเป็นคนปกป้องเมืองแห่งนี้แทน”
“อึก !”
จอมเวทย์หมัดเมากลั้นน้ำตา ในขณะที่จอมเวทย์อัศวินก้มหน้าลง
หลังจากที่ความเงียบปกคลุมทั้งสามไปได้พักหนึ่ง เสียงคำรามที่ดังกึกก้องจากอสูรกายตรงหน้าก็เป็นดั่งเสียงเตือนที่เร่งให้ทั้งสามรีบตัดสินใจ
“ถ้างั้นก็ตามนั้นนะ”
“อื้ม….”
“ขอโทษนะ……”
ในเมื่อตัดสินใจได้แล้ว จอมเวทย์หมัดเมาก็แบกร่างจอมเวทย์วิถีอัศวินขึ้นพาดบ่า
ส่วนแม่มดอัสนี ก็ขี่ไม้กวาดลอยขึ้นฟ้าแล้วพุ่งเข้าไปใกล้ไจแอน์บอว์
ฝ่ามืออันสั่นเทายื่นออกไปข้างหน้า พร้อมเอ่ยคาถามนตรา
“ธันเดอร์โบลท์ !!!”
เปรี้ยง !
สายฟ้าสามสายพุ่งออกจากมือไปสู่มอนสเตอร์ร่างยักษ์สูงสามเมตร
ทว่า เมื่อเทียบกับขนาดตัว สายฟ้าที่ยิงออกไปก็ช่างเล็กกระจ้อยร่อยจนแทบจะไม่ระคายผิว
ทันทีที่ปะทะกับขนหนาๆของมัน กระแสไฟก็กระจายออกไปราวกับถูกสะท้อน
“ตามมานี้ ! ฉันอยู่ตรงนี้”
แม่มดอัสนีเริ่มบินวนรอบๆไจแอน์บอว์พร้อมยิงสายฟ้าใส่เรื่อยๆเพื่อก่อกวน
การโจมตีราวกับมดกัดซ้ำๆทำให้ไจแอน์บอว์ส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความรำคาญ
ตึ้ง !
ทันใดนั้นเองมันก็กระโดดเข้าใส่แม่มดอัสนีอย่างกระทันหัน จนเธอต้องรีบหมุนไม้กวาดหลบมวลมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่ โชคดีที่เธอเคยโดนการโจมตีแบบนี้มาแล้ว เธอเลยพอจะจำแพทเทิร์นการโจมตีของมันได้ว่าจะมาเมื่อไหร่และมีระยะกระโดดมากแค่ไหน
โครมมมมม
หลังจากที่มันกระโดดไปได้สิบเมตร อากาศที่แหวกออกจากแรงที่พุ่งขึ้นฟ้าก็ก่อเกิดเป็นคลื่นลมกรรโชกที่แม่มดอัสนีต้องคุมไม่กวาดดีๆไม่ให้โดนคลื่นลมพัดกระเด็นออกไป และหลังจากที่ร่างของมันตกลงมากระแทกพื้น มวลอันมหาศาลก็ก่อให้เกิดฝุ่นทรายลอยคละคลุ้งและพื้นดินก็สั่นไหวอย่างรุนแรง
แค่การหลบการกระโดดชนแค่ครั้งเดียวก็ทำเอาแม่มดอัสนีถึงกับหืดขึ้นคอ
เพราะทุกครั้งที่มันกระโดด การควบคุมไม่ให้ปลิวไปตามสายลมที่พัดออกไปด้านข้างโดยมีศูนย์กลางมาจากร่างของไจแอน์บอว์ ต้องใช้แรงกายไม่ใช่น้อยๆ
ซ้ำร้ายฝุ่นควันที่ลอยขึ้นมาหลังการกระแทกพื้น มันก็บดบังทัศนวิสัยพอสมควร
แต่กระนั้น เธอก็พยายามเต็มที่เพื่อล่อหลอกให้มันถอยห่างจากพวกพ้องของเธอ
“โฮกกกกก”
ทว่า ไจแอน์บอว์ คือสิ่งมีชีวิต และสิ่งมีชีวิตทุกตัวล้วนมีสมอง ในเมื่อมีสมองย่อมมีปัญญา
สำหรับมันการโจมตีแม่มดอัสนี หากเปรียบเทียบกับมนุษย์มันก็ไม่ต่างจากการที่เราไล่ตบยุง ซึ่งยุงตัวนั้นไม่ว่าจะตบเท่าไหร่ก็ไม่โดนซักที สิ่งนี้สร้างความน่ารำคาญให้กับเรา จนกระทั่งถึงจุดๆหนึ่งที่ยอมรับว่าไม่มีทางตบยุงตนนั้นได้ เราก็จะตัดใจยอมแพ้ไปเอง
เช่นเดียวกับ ไจแอน์บอว์ หลังจากที่โดนล่อไปได้ซักระยะหนึ่ง พอมันรู้ว่าการโจมตีของแม่มดอัสนีทำอะไรมันไม่ได้ มันก็เลิกสนใจ กลับกันมันก็ไปสังเกตุเห็นจอมเวทย์หมัดเมาที่กำลังสะพายร่างของจอมเวทย์วิถีอัศวินเข้าไปในกระจกเคลื่อนย้าย ไจแอน์บอว์ที่เต็มไปด้วยอารมรณ์ฉุนเฉียวจึงเบนเป้าความเกลียดชังไปยังทั้งสองคนที่อยู่บนพื้นแทน
“โฮกกกกกกก”
“แย่แล้ว ! ทั้งสองคนรีบถอยห่างออกมาจากตรงนั้นเร็วเข้า !!!”
“—— !!!”
ตึ้งๆๆๆๆๆๆ
เสียงฝีเท้าที่ย่ำลงบนพื้นดินดังสนั่นหวั่นไหว เช่นเดียวกับซากปรักหักพังที่กระเด้งขึ้นลงตามจังหวะการย่ำเท้าของมัน
ชั่วพริบตา ไจแอน์บอว์ ก็เข้าประชิดจอมเวทย์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว
แม่มดอัสนีกรีดร้องและรีบพุ่งเข้ามาขวาง แต่เธอก็ไม่อาจตามทันความเร็วของมันได้
ในขณะที่จอมเวทย์หมัดเมากว่าจะรู้ตัวว่ากลายเป็นเป้าโจมตี เธอก็เคลื่อนไหวช้าเกินไปและไม่สามารถทำอะไรได้เพราะแบกจอมเวทย์วิถีอัศวินอยู่
ดวงตาที่เบิกกว้างสะท้อนภาพของหมูป่ายักษ์ที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา
“ฮึก !”
มืออันสั่นเทารีบผลักร่างของจอมเวทย์วิถีอัศวินเข้าไปในกระจก เมื่อเห็นดังนั้นจอมเวทย์วิถีอัศวินก็มองภาพของจอมเวทย์หมัดเมาที่ไร้การป้องกันด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“ไม่นะ …ซู……”
กระนั้นแล้ว จอมเวทย์หมัดเมากลับยิ้มบางๆทั้งน้ำตาให้กับเขา
เธอได้เตรียมใจเอาไว้แล้วว่า อย่างน้อยขอแค่เขารอดก็ยังดี
“ซู !!”
“ไม่นะ !!! ธะ ธันเดอร์โบลท์ !!! หันมาทางนี้สิ !!! ธันเดอร์โบลท์ !!!”
ทุกสิ่งทุกอย่างไร้ผลยามเผชิญหน้ากับหมูป่ายักษ์ผู้ไร้เทียมทาน จอมเวทย์หมัดเมาทำได้เพียงอ้าแขนน้อมรับความตายที่กำลังใกล้เข้ามา ในขณะที่เพื่อนๆทั้งสองทำได้เพียงกรีดร้อง
กระนั้นแล้ว ท่ามกลางความสิ้นหวัง ทันใดนั้นเอง เสาเพลิงขนาดใหญ่ก็ปรากฎขึ้นเบื้องหน้าของพวกเธอทั้งสามคน
“เฟลมทาวเวอร์ !!!”
ซู่มมมมมมมมมมมมมมม
ใต้เท้าของไจแอน์บอว์ปรากฎวงเวทย์สีแดงขนาดยักษ์ขึ้นมา ก่อนที่วินาทีถัดมาเปลวเพลิงจะพุ่งทะยานออกจากวงเวทย์และปกคลุมร่างของมัน
“โฮกกกกกก”
ในชั่วพริบตา เปลวเพลิงหลายพันองศาก็โหมกระหน่ำเข้าแผดเผาร่างของมันจนเห็นเป็นเสาเพลิงขนาดใหญ่สูงสามเมตรที่มีหมูป่ายักษ์ดิ้นพล่านอยู่ข้างใน
“อึก !”
คลื่นความร้อนที่กระจายออกมาทำให้แม่มดอัสนีและจอมเวทย์หมัดเมาต้องเอามือบัง
เหงื่อที่ไหลซิกทำให้รับรู้ได้ถึงความร้อนอันมหาศาลที่แม้จะอยู่ห่างจากเสาเพลิงตั้งไกลก็ยังสัมผัสได้
“……………………..”
กระนั้นแล้ว ไจแอน์บอว์ กลับกระโดดหนีออกจากเสาเพลิงในสภาพที่ขนของมันลุกติดไฟ แล้วพยายามคลุกร่างกับพื้นดินเพื่อดับไฟ แต่ ทว่า เสียงใสๆของเด็กสาวผู้หนึ่งก็ดังขึ้นอีกครั้งเพื่อตอกฝาโลงให้กับมัน
“เฟลมทาวเวอร์ !!!”
“โฮกกกกก”
การโจมตีซ้ำครั้งที่สองนำมาสู่ความตายของมันในที่สุด
จอมเวทย์หมัดเหมาเข้าไปประคองร่างของแม่มดอัสนีที่อ่อนแรงจนล้มลง นัยน์ตาของเธอสะท้อนภาพของหมูป่าที่ไหม้เป็นเตาตะโกและค่อยๆล้มลงต่อหน้าต่อตา
โครมมม
สิ้นเสียงล้มกระแทกพื้นนานนาทีกว่าๆ พวกเธอถึงค่อยรู้สึกตัวว่าตนเอาชีวิตรอดมาได้แล้ว
ตึก !
และแล้ว ทันใดนั้นเองก็มีฝีเท้าดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เมื่อพวกเธอหันหลังกลับไปก็พบกับจอมเวทย์สาวร่างเล็กผู้สวมใส่อาภรณ์เป็นชุดนักบวชสีขาว มือขวาที่ถือคันธนูอยู่ทำให้เข้าใจได้ว่านั่นคืออาวุธประจำตัวของเธอ
“คุณคือ…จอมเวทย์ระดับโกลหรอคะ ?”
“อื้ม…ถูกต้องแล้ว”
มิโกะคนนั้นขานรับคำถามของจอมเวทย์หมัดเมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเริ่มแนะนำตัวเอง
“ฉัน……มิโกะแห่งอัคคี”
สำหรับจอมเวทย์แล้ว แต่ละคนจะได้รับฉายาเพื่อใช้แทนการเรียกชื่อของแต่ละคนเพื่อปกปิดตัวจริง ซึ่งจอมเวทย์ระดับโกลที่มาช่วยพวกเธอก็เอ่ยฉายาของตนก่อนเป็นคนแรก
“คะ…ค่ะ ! ฉายาของฉันคือ จอมเวทย์หมัดเมาหลินๆ”
“..ฉัน…..แม่มดอัสนี…ยินดีที่ได้รู้จัก”
พอทั้งสามทักทายกันอย่างพอเป็นพิธีเสร็จ มิโกะอัคคีก็พยักหน้าแล้วเอ่ยถามทั้งสองคน
“ขอถามหน่อย….ทำไมกะอีแค่มอนสเตอร์ระดับนี้ถึงต้องเรียกฉันมาตั้งไกลด้วย”
“มอนสเตอร์ระดับนี้ ?”
น้ำเสียงของมิโกะอัคคีนั้นราบเรียบยากจะคาดเดาอารมณ์เช่นเดียวกับดวงตาที่ว่างเปล่าจนเดาใจไม่ถูก กระนั้นแล้ววิธีพูดของเธอกลับดูเหมือนจะตำหนิพวกตนจนแม่มดอัสนีขมวดคิ้ว
“คะ คะ คือว่าต้องขอโทษด้วยค่ะ ในเมืองนี้มีแต่จอมเวทย์ระดับซิลเวอร์…มอนสเตอร์ที่คุณมิโกะจัดการไปเมื่อกี้เป็นระดับโกลที่เราแพ้ทางทุกๆด้าน….ต้องขอโทษจริงๆนะคะที่เรียกมาช่วย ทั้งๆที่คุณอยู่ตั้งไกล”
“อ่า……”
มิโกะอัคคีตอบรับสั้นๆอย่างไร้เยื่อใย ก่อนจะเพ่งสายตามองทั้งสองคนด้วยสายตาพินิจพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า จนทั้งคู่ที่รู้สึกถึงบรรยากาศไม่ชอบมาพากลและเริ่มอึดอัด
“คะ..คือว่า มีธุระอะไรรึเปล่าคะ ?”
“ไม่มีอะไร….เพียงแต่—”
น้ำเสียงที่เย็นชาดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ
“ถ้าจะกระจอกขนาดนี้ พวกเธอเลิกเป็นจอมเวทย์ไปเลยน่าจะดีกว่านะ”
“ว่ายังไงนะ !?”
แม่มดอัสนีถึงกับหลุดสีหน้าหงุดหงิดออกมา บรรยากาศระหว่างทั้งสองฝ่ายเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“ก็ตามที่พูดมานั่นแหล่ะ ปกติไม่ค่อยมีใครเขาตามจอมเวทย์ระดับโกลจากเมืองอื่นให้มาช่วยงานกันหรอก ส่วนมากก็มีแต่จะตามคนมาช่วยเคลียร์เควสระดับความยากที่อย่างน้อยเป็นระดับแพลตตินั่มขึ้นไป …หรือก็คือถ้าคุณภาพจอมเวทย์ในเมืองนี้ไม่แย่จริงๆ ฉันคงไม่ต้องถ่อสังขารมาตั้งไกลหรอก”
“กรอด…..”
สิ่งที่มิโกะอัคคีพูดคือความจริง ตามปกติแล้วทุกๆเมืองก็มักจะมีจอมเวทย์ระดับโกลอยู่อย่างน้อยหนึ่งคน ทว่า ภายในเมืองมาซากุระแห่งนี้กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว ทว่า ที่ผ่านๆมาก็เคยมีระดับความยากระดับโกลโผล่มาให้เห็นอย่างมากปีล่ะครั้ง นั่นจึงทำให้จอมเวทย์ในเมืองนี้ไม่ต้องดิ้นรนมากซักเท่าไหร่
ด้วยความจริงที่อยู่ตรงหน้า แม่มดอัสนีจึงไม่สามารถเถียงได้
“คิดไปคิดมา มีพวกเธอก็เหมือนไม่มีนั่นแหล่ะ”
“อึก ! น้อยๆหน่อยเถอะ นี่คิดจะดูถูกพวกเราที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อปกป้องผู้คนหรือไง ?”
“ปกป้อง ? ที่พวกเธอทำก็แค่ถ่วงเวลาเฉยๆรอจนกว่าฉันจะมาไม่ใช่หรอ ? กะอีแค่สร้างความเสี่ยหายใส่มอนสเตอร์เพื่อช่วยลดงานให้ฉันยังทำไม่ได้เลย ส่วนแบ่งที่พวกเธอได้รับไปหลังทำภารกิจสำเร็จ ตอนนี้ฉันยังอดคิดไม่ได้เลยว่าเธอคู่ควรกับเงินที่ได้มารึเปล่า ? เพราะถ้าทำได้แค่เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อถ่วงเวลา แบบนั้นประชาชนธรรมดาๆที่ไม่ใช่จอมเวทย์ก็สามารถทำได้เหมือนกันไม่ใช่รึไง”
ได้ยินดังนั้นแม่มดอัสนีก็ทำท่าจะลุกขึ้นไปเถียงกับมิโกะอัคคี ทว่า เพราะอาการบาดเจ็บที่ขาก็เลยทำให้เธอเดินได้ไม่กี่ก้าวและต้องหยุดยืนอยู่กับที่ด้วยสีหน้าเจ็บปวดจนจอมเวทย์หมัดเมาต้องรีบเข้าไปประคอง
“อืม…….”
พอจ้องไปยังแม่มดอัสนีที่แสดงสีหน้าหงุดหงิด มิโกะอัคคีก็พยักหน้าราวกับนึกบางอย่างออก
“แต่ในเมื่อไม่มีระดับโกลอยู่เลยซักคน ฉันจะขอที่นี่มาเป็นส่วนหนึ่งในอาณาเขตของฉัน นั่นคงไม่เสียหายล่ะมั้ง”
“วะ ว่ายังไงนะ !?”
“ก็หมายความว่า พวกเธอไม่จำเป็นสำหรับเมืองนี้แล้วยังไงละ ถ้าต้องให้จอมเวทย์อ่อนหัดอย่างพวกเธอมาแย่งเงินส่วนแบ่ง สู้ให้ฉันจัดการเองตั้งแต่แรกดีกว่า…แถมดูจากอัตราการพบมอนสเตอร์ในเมืองมาซากุระแล้ว นี่น่าจะเป็นแหล่งหาเงินชั้นยอดเลย”
พอเห็นมิโกะอัคคีเปิดเมจิคัลโฟนหาข้อมูล แม่มดอัสนีก็อดไม่ได้ที่จะมองเหยียด
“นี่เธอ !? รู้รึเปล่าว่ากำลังพูดอะไรออกมา คิดว่าจอมเวทย์คืออะไรกันแน่ ?”
“อาชีพที่ใช้หาเงินได้เยอะๆไง”
แม้จะสวมชุดนักบวชสีขาวบริสุทธิ์ แต่สายตาอันมืดหม่นและคำพูดคำจากลับไม่ได้ดูน่าฟังแม้แต่น้อย
การได้พบกับคนที่มีทัศนคติตรงข้ามกับเธอที่เชื่อว่า จอมเวทย์ คือผู้พยุงความยุติธรรม อย่างสิ้นเชิง มันทำให้แม่มดอัสนียอมรับไม่ได้
“ในเมื่อพวกเธอไม่มีกำลังพอจะบริหารจัดการ งั้นฉันก็ขอเขตปกครองเมืองมาซากุระไปละกันนะ”
“เดี๋ยว ! พูดเองเออเองแบบนี้ไม่ได้นะ ! ที่นี่คือเมืองของพวกเรา พวกเราดูแลเองได้ !”
“เฮ้อ……”
พอได้ยินเสียงคัดค้าน มิโกะอัคคีก็จ้องไปยังแม่มดอัสนีด้วยท่าทางรำคาญ
“ฉันไม่จำเป็นต้องขออนุญาติพวกเธอ ฉันคือระดับโกล ส่วนพวกเธอก็เป็นแค่ซิลเวอร์ ฉันไม่มีเหตุผลต้องทำตามคำพูดของคนที่อ่อนแอกว่า หลังจากนี้ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะมาล่ามอนสเตอร์ในแถบนี้ เพราะงั้นถ้าคราวหน้าเจอหน้ากันอีกก็อย่ามาขวางฉันล่ะ ”
“เดี๋ยว ! เธอจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
“ทำไมจะไม่ได้ !?”
“เพราะนี่มันคือการแย่งชิงอาณาเขตไม่ใช่รึไง ?”
“ถ้าใช่แล้วไง มีปัญหาอะไรหรอ”
“เรื่องนั้น—”
“หรือว่า เธออยากจะประลองเวทย์กับฉันก่อนเพื่อตัดสินว่าใครควรจะดูแลเมืองๆนี้ ?”
“………………….”
พอโดนอีกฝ่ายท้า แม่มดอัสนีก็ก้มหน้าลง ในขณะที่หมัดเมาหลินๆซึ่งเฝ้าดูบทสนทนามาโดยตลอดก็กุมมือแน่นด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน
“ก็ตามนั้นแหล่ะ ต่อให้ทำเป็นปากเก่งแค่ไหน เธอก็สู้ฉันไม่ได้หรอก”
พูดจบ มิโกะอัคคีก็ถือว่าความเงียบเป็นดั่งคำตอบตกลง เธอหันหลังให้และเตรียมที่จะออกวิ่งกลับไปที่เมืองของตัวเอง
“ตกลง…”
กึก !
แต่แล้ว อยู่ๆ เสียงอันแผ่วเบาก็ดังขึ้นจากข้างหลัง ทำให้เท้าของมิโกะอัคคีหยุดชะงัก
“อะไรนะ ?”
“ก็บอกว่าตกลงยังไงเล่า !!!”
เมื่อหันหลังกลับมาก็พบเข้ากับแม่มดอัสนีที่เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาใกล้และยื่นเมจิคัลโฟนให้กับเธอ
“ฉันจะไม่ยอมให้ใครมากล่าวหาว่าความพยายามของฉันและเพื่อนๆเป็นเรื่องสูญเปล่า !!! ด้วยเกียรติของจอมเวทย์ ฉันไม่มีทางยกเมืองๆนี้ให้เธอดูแลเด็ดขาด !”
“อะ..เอวา…อือออ แม่มดอัสนี ใจเย็นก่อน”
แม้จอมเวทย์หมัดเมาหลินๆจะเข้ามาห้าม แต่แม่มดอัสนีที่อารมณ์คุกกรุ่นด้วยความโกรธก็หาได้ฟังแต่อย่างใด
“ฉันจะประลองกับเธอเอง ! ส่งเวลาและสถานที่มาได้เลย !!!”
“อ่า…..เข้าใจแล้ว แบบนี้ก็ดีจะได้เคลียร์กันให้จบๆ”
ด้วยเหตุนี้เอง แม่มดอัสนีจึงตกลงกับมิโกะอัคคีว่าในอีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้ พวกเธอทั้งคู่จะต่อสู้กันเพื่อตัดสินกันว่าใครสมควรเป็นคนครอบครองอาณาเขตเมืองมาซากุระกันแน่ ?
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
หลังผ่านเหตุการณ์ต่อสู้กับไจแอน์บอว์ไปได้หนึ่งสัปดาห์ แม่มดอัสนี จอมเวทย์วิถีอัศวิน และจอมเวทย์หมัดเมาหลินๆที่พักรักษาตัวกันจนหายดีก็มานัดรวมตัวกันในคาเฟ่แห่งหนึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง
ภายในมุมหนึ่งของคาเฟ่ที่เป็นที่นิยมของเหล่าเด็กนักเรียนวัยมัธยม มีร่างของเด็กนักเรียนมัธยมสามคนกำลังนั่งพูดคุยอะไรกันบางอย่างล้อมรอบโต๊ะวงกลมที่จัดวางชากาแฟเอาไว้คนล่ะแก้ว
แม้เด็กสาวผมทองผู้ไว้ผมทรงดิลจะพูดเสียงดังและเต็มไปด้วยอารมณ์เล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครสนใจเรื่องที่พวกเธอพูดซักเท่าไหร่เพราะแต่ละโต๊ะต่างมีแต่นักเรียนที่กำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องกลุ่มเพื่อนของตัวเอง
ทว่า โต๊ะของสามคนนี้ก็ดูโดดเด่นกว่าโต๊ะอื่นตรงที่เด็กชายและเด็กหญิงที่นั่งข้างๆกันต่างสวมชุดนักเรียนสีขาวกรมท่าซึ่งเป็นชุดเครื่องแบบของโรงเรียนสหแห่งเดียวกัน ต่างจากเด็กสาวผมทองที่นั่งกอดอกและสวมชุดเครื่องแบบสีขาวข้างในและทับด้วยเสื้อคลุมชั้นนอกสีชาอีกที เข็มกลัดรูปนางเงือกสีทองที่ติดอยู่บนอกทำให้รู้ว่าเธอมาจากโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดัง
การข้องเกี่ยวกันของเด็กหนุ่มเด็กสาวคนละโรงเรียนแลดูประหลาดตา แต่กระนั้นแล้วผู้คนก็ทำแค่เพียงจับจ้องกันคนล่ะครั้งสองครั้งแล้วปล่อยผ่าน
แน่นอนว่า เด็กสาวผมทองผู้มาจากโรงเรียนลูกคุณหนูนั้นคุ้นชินกับการเป็นจุดสนใจ เธอเลยไม่ใส่ใจอะไรมาก ต่างจากเพื่อนอีกสองคนที่พยายามปรามให้เด็กสาวผมทองเบาเสียงลง
“ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมคนพรรคนั้นถึงได้มีระดับโกลกันนะ ทั้งๆที่พวกเราก็พยายามเหมือนกันแท้ๆ”
เด็กสาวผมทองทรงเกลียวสว่านซึ่งเป็นลูกคุณหนูท่าทางโมโหอารมณ์ร้าย นั่งบ่นกับเพื่อนๆด้วยท่าทางหงุดหงิด
เธอคือเด็กนักเรียนชั้นม.ปลายปีสองจากโรงเรียนสตรี ผู้ซึ่งตั้งปณิธาณไว้ว่าจะกลายเป็นมหาปราชญ์แล้วไปปราบจอมมารลงในซักวัน เด็กสาวผู้ยึดมั่นในความยุติธรรม… ‘เอวา บัฟฟอร์ด’
ฉายาจอมเวทย์ แม่มดอัสนี จอมเวทย์ผู้ถนัดเวทย์สายฟ้าและมีแรงค์ซิลเวอร์ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่ม
“น่าๆ เอวาจังใจเย็นก่อน นี่ๆลองชิมของฉันดูสิ”
เด็กสาวเรือนผมสีน้ำตาลผู้ไว้ผมทรงซาลาเปาสองลูกและมีโครงหน้าแบบอาหมวยกล่าวพลางยื่นพาร์เฟต์แกวโตซึ่งมีทอปปิ้งเป็นไอศรีกรสสตอเบอรี่ราดวิปปิ้งครีมไปให้เอวา เธอคือเด็กสาวผู้สวมชุดนักเรียนโรงเรียนสหและมีท่าทางอ่อนน้อม โอบอ้อมอารี
เด็กคนนี้คือนักเรียนชั้นม.ปลายปีสองเช่นเดียวกับเอวา เธอมีชื่อว่า ‘หลี่ ซูเจิน’ ซึ่งเพื่อนๆที่โรงเรียนมักเรียกเธอว่า ซู ส่วนถ้าเป็นในโลกเวทมนต์ พวกเขาจะรู้จักเธอในนาม จอมเวทย์หมัดเมาหลินๆ เด็กสาวในชุดกี่เพ้าระดับบรอนซ์ผู้ใช้กระบองและกำปั้นเป็นอาวุธ
“ผมเข้าใจดีเลยเรื่องที่เอวากำลังโกรธ…แต่จะให้ทำไงได้ก็ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงระดับโกล”
ส่วนเด็กหนุ่มผมดำที่ก้มหน้าลงพลางกำหมัดแน่นด้วยสีหน้าเจ็บใจไม่แพ้เด็กสาว เขานั้นเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาบ้านๆไม่มีจุดเด่นเป็นพิเศษต่างจากเด็กสาวทั้งสองคนที่เรียกได้ว่าเป็นสาวงามหน้าตาน่ารัก การที่เขามานั่งท่ามกลางดอกไม้งามทั้งสองนั้นทำให้เขาดูเด่นขึ้นมาจนผู้ชายบางคนที่เดินผ่านถึงกับเหล่มองด้วยความอิจฉา
เขาคนนี้เป็นเพื่อนสมัยเด็กของซู อีกทั้งยังอยู่โรงเรียนเดียวกัน ระดับชั้นเดียวกัน เพียงแต่คนล่ะห้อง
ชื่อของเขาคือ ‘มินามาตะ นานาเสะ’ หรืออีกชื่อที่รู้จักกันก็คือ จอมเวทย์วิถีอัศวิน…..เขาเป็นจอมเวทย์สายเวทย์เสริมกำลังกายคล้ายกับซู หากแต่เขาจะเน้นความสามารถไปในทางด้านการป้องกันมากกว่า และแน่นอนว่าชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นจอมเวทย์ระดับบรอนซ์เช่นเดียวกัน
ภายในเมืองมาซากุระแห่งนี้ มีจอมเวทย์เพียงสามคนนี้เท่านั้น
โดย เอวานั้นเป็นมาแล้วสองปี ส่วนทั้งสองคนก็เป็นจอมเวทย์พร้อมๆกันเมื่อหนึ่งปีก่อน
ความจริงแล้วเมื่อประมาณครึ่งปีที่แล้วก็ยังมีจอมเวทย์ระดับแพลตตินั่มอยู่อีกหนึ่งคนเพียงแต่เธอคนนั้นได้ติดธุระทางบ้านทำให้ต้องย้ายไปอยู่ประเทศอื่นและได้ฝากฝังเมืองๆนี้ไว้กับพวกเธอ ซึ่งพวกเธอทั้งสามคนก็นับถือจอมเวทย์คนนั้นในฐานะรุ่นพี่ที่น่าเคารพ
เพราะไม่ว่าจะเวลาไหน ทุกครั้งที่มอนสเตอร์ปรากฎตัวออกมา รุ่นพี่คนนั้นก็จะโผล่มาช่วยสนับสนุนไม่ก็ลุยเองแทบทุกครั้ง จนพวกเธอทั้งสามคนรู้สึกปลอดภัยจากการที่มีคนช่วยปกป้องตลอดเวลา แถมเมืองมาซากุระยังถือว่าเป็นเมืองที่สงบสุขซึ่งมีมอนสเตอร์ความยากระดับโกลโผล่มาแค่ปีล่ะ 1-2 ครั้ง ทว่า ไม่นานมานี้ในช่วงต้นปี อัตราการปรากฎตัวของมอนเตอร์ก็มากขึ้น หากนับตามครั้งล่าสุดที่ไจแอน์โบว์โผล่ขึ้นมา นี่ก็นับเป็นครั้งที่สามของปีได้ที่มีระดับความยากโกลโผล่ขึ้นมาซึ่งถือว่าเยอะผิดปกติ
ทั้งต้องต่อสู้โดยไม่มีรุ่นพี่คอยช่วยคุ้มกัน แถม สถานการณ์การปรากฎตัวของมอนสเตอร์ยังมากขึ้นอย่างเป็นปริศนา ความกดดันและความกังวลที่เกิดขึ้นทำให้ช่วงนี้ทั้งสามคนฟอร์มตก ไม่แข็งแกร่งเหมือนสมัยที่รุ่นพี่ของพวกเธอยังอยู่
ซ้ำร้ายครั้งล่าสุด ยังโดนมิโกะอัคคีมาพูดจาดูถูกใส่ ทั้งสามจึงอดไม่ได้ที่จะมานั่งปรับทุกข์กันในร้านคาเฟ่ชื่อดังร้านนี้
“แต่เอวาจังไม่น่าไปตอบตกลงเลยนะว่าจะประลองกับมิโกะคนนั้น”
“ก็จะให้ทำไงเล่า !? เธอยอมได้หรอ ผู้หญิงคนนั้นกำลังดูถูกพวกเราอยู่นะ ทั้งๆที่พวกเราอุตส่าห์เสี่ยงตายถ่วงเวลาจนกว่ายัยนั่นจะมาถึงแท้ๆ ถ้าไม่มีพวกเราอยู่ป่านนี้พวกมันคงไปโผล่ที่โลกแห่งความจริงนานแล้ว ”
“อื้ม..ฉันเข้าใจจะ แต่เอวาจังช่วยใจเย็นลงนิดนึงนะ เอวาจังก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า พวกเราสู้จอมเวทย์ระดับโกลคนนั้นไม่ไหวหรอก”
“ก็มัน…ก็มัน….”
เด็กสาวผมทองกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจจนหยดน้ำปริ่มขอบตา
“พวกเราก็พยามยามเต็มที่แล้วนะ…พยายามกันมาตลอดเลย….พยายามจนถึงที่สุดแล้วจริงๆ….ทั้งๆที่รุ่นพี่ไม่อยู่แล้ว เรายังสู้มาได้ตั้งขนาดนี้ ไม่เห็นต้องว่ากันขนาดนั้นเลย เรื่องที่มิโกะคนนั้นมาดูถูกพวกเธอทั้งสองคน ฉันยอมรับไม่ได้หรอก”
“เอวาจัง…..”
ซูค่อยๆยืนขึ้นแล้วเดินเข้าไปกอดเอวาที่ตอนนี้กำลังเอาหลังมือปาดน้ำตา
เธอลูบหัวเพื่อนรักของตัวเองช้าๆและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“ไม่สำคัญหรอกว่าคนเขาจะคิดยังไง ขอแค่มีตัวเราที่รู้ดีที่สุดว่าเราสู้ไปเพื่ออะไรก็พอ อย่างน้อยก็มีฉันอยู่คนนึงนะที่รู้ว่าเอวาจังพยายามยิ่งกว่าใครๆ …และพวกเราก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าความพยายามของเราไม่ใช่สิ่งที่ไร้ค่าอย่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว….ไม่เป็นไรหรอกเอวา ทำไมพวกเราต้องสนคนนอกที่ไม่เคยเข้าใจหัวอกพวกเรามาดูถูกด้วยละ เพราะงั้นในช่วงเวลาแย่ๆ ก็มานั่งกินพาร์เฟต์แก้เครียดกันเถอะ”
“ฮึก ! ขอบใจนะทั้งสองคน ”
พอได้เพื่อนรักทั้งสองคนที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันปลอบ เธอก็กลับมามีท่าทางสดใสร่าเริงอีกครั้ง
หลังจากที่ปาดน้ำตาและตักไอติมคำโตๆเข้าปาก เอวาก็เช็ดปากอย่างมีมารยาทและยืดหลังตรง พร้อมกับพูดด้วยเสียงอันมั่นคง
“ฉันสัญญาว่าจะประลองกับมิโกะคนนั้นตอนเดือนหน้าเอาไว้แล้ว เพราะงั้นฉันจะไม่หนี”
“เอวาจัง……”
ความจริงแล้ว หากเธอไม่ตอบตกลงประลองด้วย มันก็ไม่มีปัญหาอะไร อย่างมากพวกเธอและมิโกะก็แค่พยายามล่ามอนสเตอร์โดยพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้มาเผชิญหน้ากันก็พอ ส่วนมากแล้วที่ต้องตัดสินแย่งชิงอาณาเขตกันด้วยการประลองเวทย์ มันเป็นกรณีที่เกิดข้อพิพาทถึงขั้นที่อยากทำร้ายร่างกายกันมากกว่า
แน่นอนว่า เอวาไม่ได้มีเจตนาขนาดนั้น เธอก็แค่ต้องการให้มิโกะคนนั้นถอนคำพูดที่มาว่าร้ายพวกเธอและอย่ามารบกวนการต่อสู้ของเธอในเมืองแห่งนี้
“แต่ถ้าเกิดฉันแพ้ขึ้นมา….เมืองๆนี้ก็คง….ต้องให้เธอทั้งสองคนดูแลแทนแล้วละ”
“แบบนั้นจะดีจริงๆหรอ ?”
เพราะยังไงมิโกะอัคคีก็ต้องเดินทางมาจากเมืองอื่นอยู่แล้ว ทำให้เธอคงไม่สามารถมาจัดการมอนสเตอร์ได้ทันทุกๆครั้ง การจะเหลือมอนสเตอร์ตกมาถึงมือพวกเธอทั้งสามคนก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะงั้นถ้าอยากยึดความปลอดภัยของผู้คนเป็นหลัก การที่เมืองๆนี้ได้รับความคุ้มครองโดยมิโกะอัคคีก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด
กลับกันมันจะดีซ่ะอีกที่มีผู้มีฝีมือมาปกป้องทุกๆคน
ยังไงจุดประสงค์หลักของพวกเธอทั้งสามคนก็ไม่ใช่เรื่องเงินๆทองๆอยู่แล้ว เอวาอยากเป็นมหาปราชญ์ ซูอยากปกป้องผู้คนในเมืองและครอบครัว ส่วนนานาเสะก็ไม่อยากเสียเพื่อนสนิทอย่างซู และ ไม่ต้องการให้ครอบครัวรวมถึงเพื่อนๆตกอยู่ในอันตราย
เรียกได้ว่ากลุ่มของพวกเธอสามคนมีจิตใจอันบริสุทธิ์ที่อยากจะปกป้องเมืองแห่งนี้
แต่เพราะอารมร์ชั่ววูบและทิฐิ มันเลยทำให้เอวารับคำท้าของอีกฝ่ายไปเรียบร้อย
“ไม่เป็นไร อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ฉันไม่ได้จะยอมแพ้ซักหน่อย แถมต่อให้เสียอาณาเขตไป ฉันก็ไม่มีวันล้มเลิกความฝันที่จะเป็นมหาปราชญ์เด็ดขาด…. ถ้ากะอีแค่มิโกะปากเสียคนเดียวยังจัดการไม่ได้ ความฝันที่จะเป็นมหาปราชญ์ของฉันคงไม่มีวันเป็นจริงได้หรอก”
“อื้ม…ถ้าเธอว่ามาแบบนั้น พวกเราจะยอมรับก็ได้”
“ผมจะเป็นกำลังใจให้นะเอวา ขอโทษจริงๆ ตอนนั้นถ้าผมไม่บาดเจ็บล่ะก็—”
“ฮ่าๆๆ ไม่เอาน่าอย่าโทษตัวเองเลยนานาเสะคุง”
เอวาหัวเราะอย่างร่าเริงและยื่นมือออกมาข้างหน้า
“หลังจากนี้พวกเราจะแข็งแกร่งขึ้น…แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นกว่านี้อีก ! ภายในอีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้พวกเราจะเติบโตจนแซงมิโกะคนนั้นให้ดู !!!”
ได้ยินดังนั้น ซู ก็หัวเราะคิกคักและวางมือลงบนหลังมือของเอวา
“เข้าใจแล้ว งั้นหลังจากนี้มาซ้อมด้วยกันนะ ฉันก็อยากจะแข็งแกร่งขึ้นเหมือนกัน”
นานาเสะก็วางมือซ้อนลงบนมือของซูอีกคน พลางเกาแก้ม
“แต่ไม่เอาแบบครั้งที่แล้วนะ ผมไม่อยากเห็นท้องเป็นรูรอบที่สองแล้วล่ะ”
“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีครั้งหน้าแน่นอน”
พอเอวาพูดจบ เธอก็ส่งเสียงปลุกกำลังใจให้เพื่อนๆทั้งสองคน และทั้งสามคนก็สะบัดมือขึ้นฟ้าด้วยสีหน้าอันร่าเริง
กำลังใจที่แห้งเหือดได้รับการเติบเต็ม
ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไรรอคอยอยู่ พวกเธอก็จะไม่หวาดหวั่นอีกต่อไป
— และแล้วในอีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมา กองทัพออร์คที่ต้องใช้จอมเวทย์ระดับโกลปราบก็ปรากฎตัวขึ้นมา
— และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่ นานาเสะ โดนเสียบท้องจนเป็นรู
— พวกเธอทุกคนไม่สามารถปกป้องอะไรได้ แม้กระทั่งชีวิตของตัวเอง
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ณ โรงพยาบาลในโลกเรพลิก้า อาณาจักรเซเลสเทีย
ภายในห้องสีขาวอันกว้างขวางซึ่งมีเตียงนอนถึงหกเตียง กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยคละคลุ้ง แสงไฟอ่อนๆจากหลอดไฟมอบความสว่างไสว เช่นเดียวกับแสงแดดอ่อนๆซึ่งสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดกว้าง
ลมเย็นๆที่พัดโชยเข้ามาทำให้ผ้าม่านที่กั้นเตียงปลิวไสว
เงารางๆภายในเตียงๆหนึ่งอยู่ในสภาพนั่งกอดเข่า
ฝั่งตรงข้ามของเตียงที่มีผ้าม่านปิดกั้นปรากฎร่างของเด็กสาวผมน้ำตาลซึ่งกำลังนอนหลับอย่างสงบในสภาพที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยางทั่วตัว แม้รอยแผลบอบซ้ำสีม่วงอมเขียวบนเรือนร่างจะหายไปจนเหลือเพียงผิวกายเนียลขาว ทว่า ตั้งแต่มาถึงทีนี่เธอก็ยังไม่ลืมตาตื่นเสียที
ในขณะเดียวกัน ข้างเตียงของเธอก็ปรากฎร่างของเด็กหนุ่มผมดำซึ่งนอนหายใจรวยรินในสภาพที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ท่าทางดูเหนื่อยอ่อน เหงื่อไหลพราก สีหน้าบิดเบี้ยวครวญครางด้วยความเจ็บปวดทรมาน
“ฮึก !”
พอเห็นเพื่อนๆทั้งสองคน เด็กสาวผมทองที่ทั่วร่างพันด้วยผ้าผันแผลราวกับมัมมี่ก็แอบอยู่หลังม่านพลางเอาผ้าห่มมาคลุมหัวอีกชั้นและนั่งกอดเข่า
ความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาทำให้เธอกุมหน้าอกแน่น ความเศร้าเสียใจที่ระเบิดออกมาจากภายในแปรสภาพเป็นหยดน้ำเม็ดโตที่เปรอะเปื้อนใบหน้าอันยับยูยี่จากการร้องไห้อยู่คนเดียวมาเป็นเวลานาน
“ฮึก ! ขอโทษนะ…ขอโทษ..เป็นเพราะฉันประมาทเองแท้ๆ”
เป็นอีกครั้งที่เธอล้มเหลวในการเป็นหัวหน้าทีม
เป็นอีกครั้งที่เธอพาเพื่อนๆของเธอไปเสี่ยงอันตราย
ล้มเหลวอีกแล้ว พ่ายแพ้อีกแล้ว เป็นความผิดของฉันเอง
ความสิ้นหวังที่ถาโถมเข้าใส่ทำให้เด็กสาวที่ไร้คนระบายทำได้เพียงก้มหน้าซุกเข่า
ทันทีที่เปิดม่านและเห็นสภาพของเพื่อนๆความกล้าที่เคยมีก็พลันเหือดหายในบัดดล เธอได้แต่ปิดม่านกลับไปด้วยความขี้ขลาดและหวาดกลัวต่อความผิดพลาดที่เธอนำพามาสู่เพื่อนร่วมทีม
“ฮึก !”
ได้แต่ร้องไห้อยู่คนเดียว ทำได้เพียงเก็บซ่อนความอ่อนแอเอาไว้ข้างใน
เธอคือจอมเวทย์…ความหวังของมวลมนุษยชาติ
เพราะงั้นเธอจะมาจมกับความล้มเหลวไม่ได้
พรุ่งนี้จะต้องกลับมาเข้มแข็ง พรุ่งนี้จะต้องกลับมาฝึกซ้อมและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่านี้
แม้ว่าภายในจะเจ็บปวดและมีรอยร้าวเกิดขึ้นก็ตาม แต่แม่มดอัสนีภายในจิตใจของเธอเองไม่มีวันยอมให้เอวาผู้นี้ล่ะทิ้งเส้นทางของฮีโร่อย่างแน่นอน