เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 4 การต่อสู้ของเหล่าจอมเวทย์
- Home
- เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !!
- ตอนที่ 4 การต่อสู้ของเหล่าจอมเวทย์
ระยะห่างจากบ้านของฉันไปยังศูนย์การค้า เมืองมาซากุระ คือขึ้นเหนือไป 5 กิโลเมตร
แต่ฉันใช้เวลาวิ่งกระโดดบนหลังคา แค่ 5 นาทีก็ไปถึงจุดหมาย
เมื่อไปถึง ฉันก็ซ่อนตัวอยู่บนดาดฟ้าของศูนย์การค้า พลางยื่นหน้ามองลงมาที่ถนน
ข้างล่างเป็นสี่แยกไฟแดงซึ่งมีต้นไม้เรียงรายตามทางเดินเท้าที่ แต่ไม่มีรถแม้แต่คันเดียว
ในขณะเดียวกันก็มีมอนสเตอร์กำลังเคลื่อนขบวนทัพบนถนนอย่างเป็นระเบียบ
โฮกกกก
สิ่งมีชีวิตตัวเขียวรูปร่างคล้ายคนป่าแต่มีร่างกายที่สูงใหญ่กำยำถึงสองเมตร สิ่งนี้เรียกว่า ‘ออร์ค’
จำนวนของมันมีอยู่ประมาณ 30 ตัวได้
พวกมันจัดแถวกันอย่างเป็นระเบียบ แถวหน้า ห้าตัวถือโล่เหล็กสีเงินปนสนิมเขรอะ
แถวกลางถือหอก จำนวนสิบตัว
อีกห้าตัวถือธนู
ในขณะที่ห้าตัวด้านหลังสุด พวกมันกำลังเข็นปืนใหญ่โบราณสีดำทะมึนขนาดราวๆสองเมตร
ก๊าซซซซซซซ
ส่วนบนฟ้าเหนือหัวพวกมันราวๆสามเมตรก็มีสิ่งมีชีวิตหน้าตาคล้ายสัตว์เลื้อยคลานที่มีปีกสองข้างและกรงเล็บแหลมคม เกล็ดสีแดงปกคลุมทั่วร่าง ดวงตาสีเหลืองทองกวาดไปมา พร้อมส่งเสียงขู่คำรามอย่างดุร้าย
สิ่งมีชีวิตบินได้เหล่านี้คือ ไวเวิร์น
พวกมันมีรวมกัน 5 ตัว และกำลังบินวนรอบกองทัพออร์ค
แน่นอนว่า แต่ละตัวก็มีออร์คขี่หลังควบคุมพวกมันอีกที
ข้างหลังของกองทัพออร์คและไวเวิร์น ปรากฎกระจกสีดำขนาดใหญ่ราวๆ 10 เมตรที่กำลังค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆ
“นั่นคือประตูโลกปีศาจน่ะม่อน”
จิบิม่อนอธิบายรายละเอียดต่างๆเพิ่มเติม
“แล้วก็ถ้ามาริเช็คเมจิคัลโฟนดูรายละเอียดเควสนี้ มันจะมีค่าตัวเลข % อยู่ด้วยม่อน”
‘อัตราฟูลซิงโคร 15 %’
“ อัตราฟูลซิงโคร คือตัวเลขที่บ่งบอกถึงความเร็วในการเคลื่อนย้ายของมอนสเตอร์จากมิติเรพลิก้าไปยังโลกแห่งความจริง ถ้าตัวเลขถึง 100 % เมื่อไหร่ พวกมันจะสามารถไปฆ่าผู้คนบริสุทธิ์ในโลกแห่งความเป็นจริงได้เลยม่อน วิธีการหยุดอัตราฟูลซิงโคร มีอยู่สองวิธีคือ หนึ่ง การเข้าไปต่อสู้กับพวกมัน จะทำให้อัตราฟูลซิงโครขยับช้าลง …สอง คือกำจัดพวกมันทั้งหมดแล้วอัตราฟูลซิงโครจะกลายเป็น 0 ถือว่าเควสสำเร็จม่อน”
เพราะงั้นหน้าที่ของจอมเวทย์ก็คือ การต่อสู้ถ่วงเวลารอกำลังเสริมมาช่วย หรือไม่ก็ลงมือกำจัดพวกมอนสเตอร์ด้วยตัวเอง
จิบิม่อนพูดเสริม
“เกี่ยวกับการปราบมอนสเตอร์ ส่วนมากนิยมมากันเป็นปาร์ตี้นะม่อน เพราะจะช่วยให้สามารถทำเควสระดับยากกว่าเลเวลของตัวเองได้ยกตัวอย่างเช่น เงื่อนไขในเควสนี้คือเลเวล 45 ซึ่งอยู่เกณฑ์ของระดับโกล ตามปกติแล้วจอมเวทย์ระดับซิลเวอร์ลงไปจะรับเควสนี้ไม่ได้ แต่ถ้ามีคนในปาร์ตี้อยู่ระดับโกลก็จะสามารถเข้าช่วยในฐานะกำลังเสริมได้ ถึงเงินส่วนแบ่งที่ได้รับมาจะน้อยกว่าก็ตามม่อน ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“แล้วก็ต่อให้แข็งแกร่งมากแค่ไหน บางครั้งถ้ามาคนเดียวแล้วเจออีกฝ่ายที่สู้กันเป็นกองทัพก็อาจแพ้ได้ เพราะทางมอนสเตอร์เองก็มีสติปัญญาพอจะวางกลยุทธ์สู้รบ ทางที่ดีควรมีปาร์ตี้เอาไว้เพื่อความปลอดภัย”
ระหว่างที่กำลังรอพวกจอมเวทย์รุ่นพี่มาแสดงความสามารถให้เห็น ฉันก็ฟังจิบิม่อนพูดเสริมไปพลาง
เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านไปราวๆ 10 นาที
‘อัตราฟูลซิงโคร 30 %’
จนกระทั่ง—–
“มาแล้วม่อน !!!”
“—–!!!”
ซู่ๆๆๆๆๆๆ
เมื่อเพ่งสายตาข้ามสี่แยกไปยังถนนอีกฝั่งซึ่งห่างออกไปจากกองทัพออร์คราวๆ 500 เมตร วัตถุทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีใสก็ค่อยๆปรากฎขึ้นรางๆกลางอากาศ จนกระทั่งรูปร่างของมันเด่นชัดขึ้นจนเห็นเป็นกระจกสีใสสูงสองเมตร
ตุบ !
หลังจากนั้นก็มีคนก้าวออกมาจากกระจกทีล่ะคนสองคน เมื่อครบสามคน กระจกที่เชื่อมระหว่างสองโลกก็จางลงเรื่อยๆจนหายไป
ฉันรีบกวาดสายตาดูเหล่ารุ่นพี่ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่สนามรบ
คนหนึ่งคือเด็กสาวเรือนผมสีน้ำตาลผู้ไว้ผมทรงซาลาเปาสองลูก และสวมใส่เครื่องแต่งกายเป็นชุดกี่เพ้าสีแดงสด มือขวาของเธอถือกระบองสีแดงยาวเมตรครึ่ง
“เด็กคนนี้คือ หมัดเมาหลินหลิน ….ส่วนชื่อจริงไม่สามารถบอกได้เนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนตัวม่อน ”
งั้นขอเรียกเด็กคนนี้ว่า รุ่นพี่หมัดเมาละกัน
ส่วนคนที่สองคือ เด็กหนุ่มผมดำส่วนสูงราวๆ 170 ผู้สวมใส่ชุดเกราะสีเงินเงาวับและหมวกเกราะหนาๆ
มือข้างหนึ่งถือโล่สูงเท่าลำตัว ส่วนมืออีกข้างถือดาบ
“เด็กผู้ชายคนนี้คือ จอมเวทย์วิถีอัศวิน ม่อน !”
งั้นเรียกว่า รุ่นพี่อัศวิน
ถึงจะไม่เข้าใจว่าแต่งตัวแบบนี้เป็นจอมเวทย์ตรงไหนก็ตาม….
เอาล่ะถัดมา คือเด็กสาวผมทองผู้ไว้ผมทรงควงสว่าน ชุดคลุมสีดำ หมวกปีกกว้างคล้ายกับแม่มด แถมเธอยังนั่งไขว่ห้างอยู่บนไม้กวาดทางมะพร้าวที่กำลังลอยอยู่ ท่าทางของเธอดูหยิ่งยโสและเข้าหายากหน่อยๆ
“เด็กคนนี้คือ แม่มดอัสนี น่ะม่อน”
งั้นเรียกว่า รุ่นพี่แม่มด
“สามคนนี้คือรุ่นพี่ของมาริ เป็นจอมเวทย์ทั้งสามที่ประจำการอยู่เมืองมาซากุระม่อน”
เข้าใจแล้ว ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ รุ่นพี่ทุกๆท่าน
“เอาละ ระหว่างรอจอมเวทย์ระดับโกลมานะม่อน มาริมีอะไรอยากที่จะถามไหม ?”
“ที่บอกว่าต้องรอระดับโกลนี่ หมายความว่าทั้งสามคนเลเวลไม่ถึงงั้นหรอคะ ?”
“ใช่แล้วม่อน ถึงจะบอกเลเวลไม่ได้ แต่ในกลุ่มสามคนที่อยู่ตรงนี้ มีสูงสุดแค่ซิลเวอร์เองม่อน”
“แสดงว่าถ้าจะสู้ ก็ควรรอระดับโกลมาก่อนแล้วค่อยไปช่วยสนับสนุนใช่รึเปล่าคะ ?”
“ใช่แล้วม่อน !”
“ถ้าอย่างงั้น—”
ฉันแอบยื่นหน้าออกไปชำเลืองมองจอมเวทย์สามคนนั้นอีกครั้ง
“ทำไมถึงวิ่งเข้าไปหาศัตรูแบบนั้นละคะ ?”
“ว่าไงนะม่อน !?”
พอได้ยินที่ฉันถาม จิบิม่อนก็รีบหันหลังกลับไป ก่อนจะหลุดเสียงตกใจออกมาด้วยท่าทางแตกตื่น
“เด็กพวกนั้นทำบ้าอะไรกันอยู่เนี่ยม่อน ! ทำไมถึงออกไปสู้ทั้งๆที่ระดับโกลจากเมืองข้างๆยังไม่มากันละม่อน”
ใช่…ในขณะที่จิบิม่อนมัวแต่ถามตอบกับฉัน จอมเวทย์ทั้งสามคนก็วิ่งเข้าใส่กองทัพออร์คอย่างกล้าหาญ
โฮกกกกกกก
พอพวกมันเห็นทั้งสามคนพุ่งเข้ามา เหล่าออร์คทั้งหลายก็ส่งเสียงคำราม
ออร์คแถวหน้าถือโล่ออกมาจัดทัพป้องกัน ออร์คหอกจับหอกในมือแน่นและเตรียมแทงหอกออกไปตรงตำแหน่งช่องว่างระหว่างโล่ พวกพลธนูออร์คเองก็ดึงสายธนูตั้งลำเตรียมเล็งเป้า
ปืนใหญ่ที่กำลังเข็นอยู่ก็หยุดชะงัก เหล่าออร์คแนวหลังช่วยกันส่งต่อลูกกระสุนบรรจุลงปืนใหญ่
ในขณะที่ฝั่งออร์คกำลังเตรียมตัว รุ่นพี่หมัดเมาและรุ่นพี่อัศวินก็ส่งสายตาให้กันโดยไม่พูดอะไร
“ฮึบ !”
รุ่นพี่อัศวินงอเข่าและวางโล่หงายลงบนเข่าของตัวเอง จากนั้นรุ่นพี่หมัดเมาก็กระโดดลงไปบนโล่
ตุบ !
รุ่นพี่อัศวินออกแรงผลักผสานกับรุ่นพี่หมัดเหมาที่ออกแรงถีบส่งร่างของตัวเองทะยานขึ้นไปบนฟ้า
ชั่วพริบตารุ่นพี่หมัดเมาก็กระโจนเข้ากลางวงล้อมของศัตรู
“โฮก !?”
เธออาศัยเสี้ยววิที่พวกออร์คตกใจฟาดกระบองใส่หัวของออร์คโล่สามตัวรวด
แผล่ะ !
เสียงกระโหลกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมๆกับเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากหูตาจูมกของใบหน้าที่บิดเบี้ยว
ร่างออร์คผู้โชคร้ายทั้งสามที่โดนทุบหัวแบะล้มกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น
เกิดช่องว่างขึ้นในทัพโล่แนวหน้า พวกมันกำลังสับสนว่าจะจัดทัพโล่เพื่อรับมือรุ่นพี่อัศวินหรือรุ่นพี่หมัดเมาดี
“ย้าก !!!”
แน่นอนว่า รุ่นพี่อัศวินก็ไม่รอช้า เขาส่งเสียงคำรามพร้อมกระโจนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ดาบสีเงินที่เหวี่ยงออกเป็นวงกว้างสะบั้นคอออร์คหอกสองตัวจนหัวกระเด็นหลุดออกจากตัว
ซ่าๆๆๆๆๆๆๆ
“อึ๋ย !”
ภาพของหัวที่กลิ้งกลุกๆ และ ของเหลวสีแดงที่พุ่งขึ้นฟ้าเป็นน้ำพุจนเปรอะเปื้อนใบหน้าของรุ่นพี่อัศวิน ชวนให้รู้สึกสยอง แต่หลังจากนั้นไม่ถึงวินาที ความรู้สึกคลื่นไส้ชวนแหวะก็จางหายไปทันทีราวกับว่า ความรู้สึกเมื่อกี้เป็นคราบสกปรกที่ถูกสายน้ำชะล้างออกไป
“ผู้ที่กลายเป็นจอมเวทย์จะได้รับการร่ายเวทย์คุ้มครองต่อต้านทานความกลัวเอาไว้ทุกคน เพื่อที่เวลาต่อสู้จะได้ไม่ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ได้ม่อน ”
จิบิม่อนอธิบายตัวฉันที่กำลังประหลาดใจไว้แบบนั้น
“หายไปซ่ะ ! ธันเดอร์โบลท์ !!!”
ระหว่างที่อีกสองคนกำลังชุลมุนกันอยู่ด้านล่าง รุ่นพี่แม่มดก็ขี่ไม้กวาดลอยขึ้นฟ้าและแบมือออกไปข้างหน้า
เปรี้ยง !
ทันใดนั้นเอง สายฟ้าสีทองเส้นใหญ่ก็พุ่งออกจากมือใส่พวกไวเวิร์นที่บินบนฟ้า
ฟุบ !
กรรรรรรรรร
“ชิ !”
ทว่า ไวเวิร์นกลับตีลังกาหลบอย่างสวยงาม แล้วอ้าปากพ่นไฟสวนกลับไปที่เธอ
ตู้มมมมมม
รุ่นพี่แม่มดพลิกไม้กวาดเอียงหลบบอลเพลิงอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด
บอลเพลิงที่พุ่งผ่านเธอไปก็ไปโดนตึกข้างหลังจนเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง
เศษปูนและเศษกระจกปลิวว่อนไปทั่ว
เปลวเพลิงลุกลามไปตามอาคาร
ท่ามกลางเศษกระจกที่กำลังโปรยปรายลงมา ฝูงไวเวิร์นและรุ่นพี่แม่มดก็จ้องหน้ากัน
ตาต่อตาฟันต่อฟัน ทั้งสองบินโฉบเข้าหากันพร้อมระดมเวทย์ใส่อีกฝ่าย
ตู้ม !!!
บอลเพลิงปะทะสายฟ้าจนเกิดฝุ่นควันสีเทาลอยคละคลุ้ง ทัศนวิสัยถูกบดบังจนมองอะไรไม่เห็น
ทว่า พริบตาถัดมา รุ่นพี่แม่มดก็พุ่งทะลวงออกมาที่อีกฟากของหมอกควันโดยมีทรงผมที่ไหม้และยุ่งเหยิง
ก๊าซซซซซซซ
ในขณะที่อีกฟากหนึ่งไวเวิร์นสี่ตัวก็บินโฉบออกไป
แต่มีไวเวิร์นที่ร่างไหม้เกรียมตัวหนึ่งส่งเสียงคำรามด้วยความทุกข์ทรมานก่อนร่วงโรยลงสู่ผืนดิน
โครม !
การต่อสู้บนฟ้าจึงกลายเป็นสี่ต่อหนึ่งแทน
ส่วนบนภาคพื้นดิน ออร์คธนูก็โดนรุ่นพี่หมัดเมาทุบหัวแบะไปสองตัว
ออร์คหอกโดนรุ่นพี่อัศวินฟันตายไปสองตัว
ทว่าถึงจะฆ่าไปได้รวม 9 ตัว มันกลับกลายเป็นว่าทั้งสองตกอยู่ภายใต้วงล้อมของศัตรูในสภาพที่หันหลังชนกัน
“เด็กพวกนั้นก็ทำได้ไม่เลวเหมือนกันนี่ม่อน แต่อีแบบนี้จะไปไหวตลอดรอดฝั่งจริงๆหรอม่อน…ระดับโกลทำอะไรอยู่ ทำไม่ยังมาไม่ถึงอีกม่อน !”
‘อัตราฟูลซิงโคร 30 %’
ตอนนี้อัตราฟูลซิงโครไม่ขยับไปไหน สามารถสบายใจไปได้เปราะหนึ่ง
“ฮ่ะว์ !”
“ย้ากกกกก”
ทั้งรุ่นพี่อัศวินและรุ่นพี่มัดเมาส่งซิกให้กันอีกรอบ ก่อนเข้าไปฟาดฟันกับพวกออร์คโดยระวังแผ่นหลังให้กันและกัน
ผัวะ !
กระบองทุบหัวออร์คธนูจนแบะ แต่ระหว่างนั้นออร์คหอกก็พุ่งเข้ามาแทงรุ่นพี่หมัดเมาจากข้างหลัง
ฉัวะ !
ทว่า รุ่นพี่อัศวินก็เอี้ยวขวาเงื้องดาบฟันแขนของออร์คตนนั้นจนกระเด็น กระนั้นแล้วออร์คหอกอีกตัวก็อาศัยช่องว่างแทงหอกไปที่อกของรุ่นพี่อัศวิน
ผัวะ !
แต่โดยที่ไม่ต้องหันหลังกับไปมอง รุ่นพี่หมัดเมาก็กระแทกกระบองไปข้างหลัง และชนกับหลังมือของออร์คอย่างจังทำให้ออร์คตนนั้นทำหอกหลุดจากมือ ในเสี้ยววิที่มันรีบพุ่งลงไปเก็บหอกขึ้นมา รุ่นพี่อัศวินก็อาศัยจังหวะนั้นฟันออร์คหัวหลุด เสร็จแล้วก็สลับตำแหน่งกับรุ่นพี่หมัดเมาเพื่อตั้งรับการโจมตีจากปืนใหญ่ที่ยิงเข้ามา
ปัง !
ตู้มมมมม
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
ฝุ่นควันปกคลุมร่างของพวกเขา
“หึ !”
“ยังเป็นโล่ที่แข็งแกร่งไม่เปลี่ยนเลยนะ”
โฮกกกกก
แต่หลังจากที่ควันที่ปกคลุมทั้งคู่จางหายไป ภาพของจอมเวทย์ทั้งสองที่ยืนอยู่กลางหลุมบ่อขนาดใหญ่อย่างไร้รอยขีดข่วนก็ทำให้ออร์คส่งเสียงคำรามด้วยความไม่พอใจ
“เด็กสองคนนั้นแท๊กทีมกันได้ดีเลยแฮะ”
ถ้าปราศจากซึ่งความเชื่อใจคงก่อให้เกิดภาพการต่อสู้อันห้าวหาญแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ
ทั้งสองสามารถประสานลมหายใจเป็นหนึ่งเดียวและปกป้องแผ่นหลังของอีกคน โดยที่ไม่ต้องหันกลับไปมองข้างหลังเพื่อส่งสัญญาณใดๆเลยด้วยซ้ำ
การต่อสู้เป็นแบบนี้เองสินะ
“อย่าพึ่งประมาทไปล่ะม่อน”
ทว่า จิบิม่อนกลับมองไปที่พวกเธอด้วยสายตาเคร่งเครียดราวกับเห็นความผิดพลาดบางอย่าง
“มาริ—”
“มีอะไรหรอ ?”
“จำไว้ให้ดีนะม่อน”
“???”
“มอนสเตอร์อาจไม่ฉลาด ”
“……….”
“แต่มันไม่ได้โง่”
เพราะอย่างงั้นแล้ว——
ตู้มมมมมม
สิ้นประกายแสงแรงระเบิดครั้งที่สิบกว่าๆ ไวเวิร์นตัวที่สามก็ล่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
“หึ ! เข้ามาพร้อมกันให้หมด กะอีแค่สัตว์เลื้อยคลานกระจอกๆ มันไม่คณามือฉันหรอกย่ะ !!!”
รุ่นพี่แม่มดส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยพวกมัน
ออร์คที่ได้ยินดังนั้นก็กัดฟันกรอดๆด้วยความเกรี้ยวกราด
ทว่า ในจังหวะที่รุ่นพี่แม่มดกำลังแบมือเตรียมโจมตีด้วยเวทย์สายฟ้าอีกรอบใส่ไวเวิร์นอีกสองตัวที่กำลังอ้าปากเตรียมยิงบอลเพลิงมาที่เธอเช่นเดียวกัน
กึก !
เหนือหัวของเธอสองเมตร
ณ ตำแหน่งที่เกิดฝุ่นควันบดบังทัศนวิสัย
“แย่แล้ว !”
“ยัยเด็กบ้า ! ประมาทไปแล้วม่อน !!!”
ออร์คที่เกาะหน้าต่างของอาคารศูนย์การค้าอยู่หลังหมอกควัน ก็กระโดดลงมาใส่รุ่นพี่แม่มดบนไม้กวาด
ด้วยระยะห่างจากกลุ่มควันเพียงสองเมตร กว่าจะรู้ตัวว่าถูกลอบโจมตีจากด้านบน มันก็เป็นตอนที่ออร์คอยู่ใกล้กับเธอในระยะที่ปลายจมูกแทบจะชนกัน
ดูเหมือนว่าออร์คตัวนี้จะเป็นออร์คที่เคยขี่ไวเวิร์นตัวที่สาม มันอาศัยจังหวะที่ไวเวิร์นของตนโดนยิงร่วง แอบกระโดดขึ้นไปเกาะบนตึกโดยอาศัยควันหลังแรงระเบิดเพื่อปกปิดตัวตน
จากนั้นพอได้จังหวะที่รุ่นพี่แม่มดกำลังตั้งสมาธิเตรียมยิงเวทย์บทถัดไป มันก็พุ่งออกมาจากกลุ่มควันที่มันซ่อนตัวอยู่แล้วกระโดดเกาะไม้กวาดของรุ่นพี่แม่มดเอาไว้
“กรี๊ดดดดด ปล่อยนะ ไอ้เจ้าปีศาจน่าเกลียด !!!”
ด้วยน้ำหนักที่มากขึ้นทำให้ไม้กวาดของเธอเมีเพดานบินที่ต่ำลงเรื่อยๆจนใกล้จะทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ซ้ำร้าย เพราะมัวแต่แกะมือของออร์คที่เกาะไม้กวาดอยู่ เธอจึงตั้งรับบอลเพลิงที่ไวเวิร์นสองตัวยิงมาทางเธอไม่ทัน
ซู่มมมมมมมม
“อึก !”
แต่อย่างน้อยในจังหวะชี้เป็นชี้ตาย เธอก็ตัดสินใจกระโดดออกมาจากไม้กวาดทิ้งให้ออร์คที่เกาะไม้กวาดเธออยู่รับการโจมตีแทน
ตู้มมมมมม
โฮกกกกก
ไม้กวาดของเธอมอดไหม้ไปพร้อมๆกับออร์คตนนั้นที่ส่งเสียงร้องอย่างทุกข์ทรมาน
กระนั้นแล้ว แม้จะพลาดท่าไปบ้าง แต่รุ่นพี่แม่มดก็อาศัยช่วงเวลาที่ลอยตัวกลางอากาศเพื่อเล็งเวทย์สายฟ้าไปยังไวเวิร์นทั้งสองตัวที่กำลังติดดีเลย์หลังยิงบอลเพลิงใส่เธอ
ปัง !!!
ทว่า เสียงกัมปนาทที่ดังมาจากด้านหลังก็ทำให้เธอรีบพลิกตัวกลางอากาศด้วยความร้อนรน
แต่ในตอนที่เธอหันหลังกลับมา มันก็สายเกินไป
ฟ้าวววว
ลูกระเบิดทำจากเหล็กซึ่งถูกยิงออกจากปืนใหญ่กระแทกเข้ากับร่างของเธออย่างจัง
“อั่ก !”
แรงกระแทกทำให้ลมในปอดถูกพ่นออกมาพร้อมกับเลือดและน้ำลาย
ความเจ็บปวดแสนสาหัสฉายให้เห็นบนใบหน้าอันงดงามที่บิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว
ตู้มมมมมมมมมม
หลังจากนั้นคลื่นความร้อนอันมหาศาลก็แผ่ออกมาจากลูกระเบิดและกลืนกินร่างของรุ่นพี่แม่มดเข้าไป
รุ่นพี่แม่มดที่กลายเป็นดอกไม้ไฟก็กระเด็นขึ้นฟ้าด้วยร่างกายที่สะบักสะบอมเต็มไปด้วยบาดแผล
“แย่แล้ว ! เอวาจัง !!!”
“ตั้งสติเอาไว้เอวา !!!”
เพื่อนทั้งสองคนเรียกรุ่นพี่แม่มดว่า ‘เอวา’ นั่นคงเป็นชื่อจริงของเธอล่ะมั้ง
“อึก !”
อย่างน้อย เสียงเรียกของเพื่อนๆก็เรียกสติของเธอได้สำเร็จ
แต่ทว่า—
ก๊าซซซซซ
ซูมมมมม
พริบตาที่ดวงตาของเธอเปิดขึ้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่เธอเห็นหาใช่ใบหน้าของเพื่อนๆ หากแต่เป็นบอลเพลิงขนาดใหญ่จากปากไวเวิร์นที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา
“มาริ !!”
“เข้าใจแล้ว !”
จิบิม่อนเรียกชื่อฉัน ฉันรู้เลยว่าเขาต้องการอะไร
ฉันเลยยกคฆาขึ้นมาแล้วเล็งไปที่รุ่นพี่แม่มด
เอาล่ะ ได้เวลาของรุ่นน้องโชว์เทพแล้วค่ะ คุณรุ่นพี่ทั้งหลาย—-
“……………….”
ว่าไปนั่น…..
“ลุยเลยม่อน รีบช่วยแม่มดอัสนีเร็วเข้าม่อน”
“อืม………………..”
“มัวลังเลอะไรอยู่ !!!”
ตู้มมมมมมมม
“กรี๊ดดดดดดดดดด”
ในตอนที่จิบิม่อนเริ่มโวยวาย ร่างของรุ่นพี่แม่มดก็โดนบอลเพลิงอัดเข้าอย่างจัง ความเสียหายมหาศาลทำให้ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยแผลถลอกปลอกเปิด เสื้อผ้าฉีกขาดเผยให้เห็นเนื้อหนังมังสาที่มีคราบเขม่าสีดำปกคลุมผิวกายเนียลขาว
ปากที่อ้ากว้างมีควันขาวๆจากความร้อนลอยออกมา ดวงตาเลื่อนลอย ร่างกายที่ปวกเปียกล่วงหล่นลงสู่พื้นดินจากความสูงเกือบสิบเมตร
โครมมมมมม
เกิดหลุมบ่อขนาดใหญ่โดยมีศูนย์กลางมาจากเด็กสาวผมทองที่มีร่างกายหงิกหงอ
สภาพสังเวชจนทนดูไม่ได้ ลมหายใจของเธอถี่รวนราวกับจะตายไปได้ทุกเมื่อ
“เอวาจัง ! ไม่นะ !!!”
“ผมจะไปช่วยเอวาเอง !!! ซู ระวังตัวด้วย”
“อื้ม !“
รุ่นพี่อัศวินเรียกรุ่นพี่หมัดเมาว่า ‘ซู’ ก่อนจะวิ่งฝ่ากองทัพออร์คเข้าไปช่วยรุ่นพี่แม่มด
“แบบนี้ไม่ดีแน่….รูปขบวนแตกแล้วค่ะ”
“เมื่อกี้ทำอะไรน่ะม่อน ทำไมมาริไม่ยิงไปละ !? ถึงจะเป็นมือใหม่ แต่เลเวลสูงขนาดนี้จะต้องช่วยเด็กๆพวกนั้นได้แน่ม่อน !!!”
“ไม่ล่ะ…ไม่ไหวหรอกค่ะ”
“มั่นใจในตัวเองหน่อยสิม่อน ถ้าเป็นมาริล่ะก็จะต้อง—”
“ไม่เกี่ยวกับความมั่นใจอะไรทั้งนั้นค่ะ”
ฉันปฏิเสธเสียงแข็ง
“ช่วยไปก็เปล่าประโยชน์อยู่ดีค่ะ”
“ว่าไงนะม่อน !”
“ถ้าเคยเล่นเกมพวกแนวซูตติ้ง ก็คงจะรู้กันดีนะคะว่ากฎเหล็กของสไนเปอร์คือการห้ามเปิดเผยตัวตน”
“พูดเรื่องอะไรนิม่อน !”
“เมื่อยิงออกไปนัดหนึ่งแล้ว จะเป็นการเปิดเผยตำแหน่งให้อีกฝ่ายรู้โดยทันที เมื่อพิจารณาความคุ้มค่าแล้วฉันเลยไม่ช่วยค่ะ”
ด้วยตำแหน่งของเราที่ไกลพอสมควร แถมยังระยะห่างระหว่างไวเวิร์นและรุ่นพี่แม่มดก็ประชิดกันมากๆ
ต่อให้ยิงวอเตอร์บอลออกไปได้ทัน แต่ระยะที่ลูกบอลน้ำของฉันจะไปหักลบการโจมตีของบอลเพลิงมันก็คงใกล้กับรุ่นพี่แม่มดมากๆ จนสุดท้ายเธอก็ได้รับความเสียหายอยู่ดี
แถมนี่เป็นการโจมตีของจริงครั้งแรก มีโอกาสสูงที่ฉันจะเล็งพลาดไม่ก็เล็งนานเกินไปจนยิงไม่ทัน
ถ้าเปิดเผยตัวออกไปแล้ว จะย้อนกลับมาไม่ได้อีก สำหรับเกมแนวซูตติ้งตัวละครที่ไม่เปิดเผยตัวตนและซ่อนอยู่ในเงามืด จากนั้นก็ไล่สอยฝั่งตรงข้ามรายตัวไม่ให้ใครรู้ คือ ศัตรูตัวฉกาจที่น่ากลัวที่สุด
ฉันให้ค่าการเป็นตัวละครลับที่ช่วยในการพลิกเกม มากกว่า การลงมือช่วยแบบมักง่ายค่ะ
เพราะงั้น ถ้าไม่อยู่ในจังหวะที่คิดว่าช่วยแล้วชนะได้แน่ๆ ฉันจะไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยงแน่นอนค่ะ
ในโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าเราพลาดแล้ว คือ พลาดเลย ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสรอบที่สอง และ แน่นอนว่าก็ไม่ใช่สำหรับโลกเรพลิก้าแห่งนี้เช่นเดียวกัน
ฉันต้องใจเย็น..ใจเย็นเข้าไว้
เพราะไม่อย่างงั้นแล้ว—
“ว๊าย !!!”
“ซู !!!”
— คงได้กลายเป็นเหมือนรุ่นพี่ที่น่าสงสารพวกนี้แน่
“ปล่อยนะ !!!”
รุ่นพี่หมัดเมาโดนออร์คตัวหนึ่งเกาะขาเอาไว้ทำให้เธอขยับไปไหนไม่ได้ แม้เธอจะฟาดกระบองจนหัวแบะแต่ศพที่กอดขาของเธอแน่นก็ทำให้เธอยากจะกระโดดหลบได้อย่างทันท่วงที
ปัง !
จังหวะนั้นเอง ปืนใหญ่ก็ยิงลูกระเบิดใส่รุ่นพี่หมัดเมาโดยไม่สนว่าพวกพ้องจะโดนลูกหลงหรือเปล่า
ตู้มมมมมมม
“อั่ก !”
รุ่นพี่หมัดเมาส่งเสียงกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมาน
หลังการระเบิดที่ซัดร่างออร์ครอบข้างจนกระเด็น เธอก็พยายามยืนขึ้นโดยใช้ไม้กระบองค้ำยันร่างที่โซซัดโซเซเต็มไปด้วยบาดแผล
ก๊าซซซซซซซซ
แต่จังหวะนั้น ไวเวิร์นก็พ่นไฟไปยังร่างของรุ่นพี่หมัดเมาโดยทันที
“กรี๊ด !”
ตู้ม !
ตู้ม !
เมื่อโดนยิงบอลเพลิงอัดร่างสองนัดซ้อน เสื้อผ้าของเธอก็ฉีกขาด เลือดไหลออกมาตามผิวหนังที่ผุพอง ร่างทั้งร่างปกคลุมไปด้วยไอร้อนหลังถูกความร้อนหลายร้อยองศาถาโถมเข้าใส่
“กรอด….”
เธอพยายยามกัดฟันค้ำจุ้นร่างของตนเอาไว้
โฮกกกก
แต่ออร์คโล่สองตัวที่เหลือก็พร้อมใจกันเอาโล่กระแทกใสร่างของเธอ
“อั่ก !”
ผัวะ !
โล่กระแทกหน้า
“ซู !”
ผัวะ !
โล่กระแทกหลัง
“แค่ก !”
ผัวะๆๆๆๆๆ
ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก
หลังโดนโล่กระแทกจากรอบทิศทางจนร่างกายบอบซ้ำนับครั้งไม่ถ้วน รุ่นพี่หมัดเมาก็กระอักเลือดออกมาแล้วล้มลงกับพื้น
จากนั้นร่างของเธอก็แน่นิ่งไม่ไหวติง…..
ก๊าซซซซซซซ
รุ่นพี่หมัดเมาถูกหิ้วปีกขึ้นมาแล้วจ่อหัวเข้าไปในปากของไวเวิร์น
แต่ถึงอย่างงั้น หัวของเธอก็ไม่ได้ถูกกัดออกจากตัวโดยทันที
พวกออร์คค้างรุ่นพี่หมัดเมาเอาไว้ในสภาพนั้นแล้วจ้องไปยังรุ่นพี่อัศวินราวกับกำลังข่มขู่เขาอยู่
“นะ นะ นี่มันแย่แล้วม่อน !”
“โดนใช้เป็นตัวประกันด้วยหรอคะ เจ้าพวกนี้ไม่ใช่เล่นๆเลยค่ะ”
“ก็ระดับโกลเลยนี่ม่อน ถึงจะไม่แข็งแกร่งมาก แต่ในด้านกลยุทธ์ถือว่าน่ากลัวและใช้ได้จริง เพราะงั้นถึงไม่อยากให้ซิลเวอร์มายังไงล่ะม่อน !!!”
พอรุ่นพี่อัศวินทำท่าจะกระโจนเข้าใส่ ฟันของไวเวิร์นก็ขยับเข้าใกล้คอของรุ่นพี่หมัดเมามากยิ่งขึ้น
“กรอด”
โฮกกกกกก
พวกมันส่งเสียงคำรามข่มขู่ราวกับจะบอกว่า ถ้ายังขยับตัวอีก นังเด็กนี่ตาย
“อึก ! เข้าใจแล้ว”
สุดท้าย รุ่นพี่อัศวินก็ชูมือขึ้นฟ้า แล้ว ปล่อยอาวุธลงกับพื้น
โฮกกกกกก
เห็นดังนั้น พวกออร์คก็คำรามด้วยความยินดี พร้อมกระโจนเข้าใส่รุ่นพี่อัศวิน
ฉึก !
แกร๊ง !
หอกที่ถูกแทงออกไปไม่อาจทะลุดชุดเกราะของรุ่นพี่อัศวินได้
กระนั้น แรงกระแทกก็ทำให้ร่างกายข้างในบอบซ้ำจนเขาต้องกัดฟันเพื่ออดกลั้นต่อความเจ็บปวด
ฉึก !
แต่พวกมันก็แทงซ้ำไปที่ตำแหน่งเดิม
ฉึกๆๆ
“กรอด….”
แทงซ้ำอีกรอบ !
ยิ่งรุ่นพี่อัศวินทำหน้าทุกข์ทรมาน พวกมันก็ยิ่งฉีกยิ้มอย่างสนุกสนานแล้วสลับกันแทง
ฉึกๆๆๆๆ
แทงซ้ำอีกเยอะๆๆๆเลย
ทรมานเข้าไป ! เจ็บปวดเข้าไป !
นั่นคงเป็นความหมายของเสียงคำรามของพวกมัน
ฉึกกกกกกกกกกกกก
“อ๊ากกกกกก”
จนกระทั่งเกราะของรุ่นพี่อัศวินแตกเป็นเสี่ยงๆ และ หอกของมันก็แทงทะลุท้องของเขา
โฮกกกกกก
ซวบ !
ออร์คที่เห็นรุ่นพี่อัศวินทำตาเหลือกจนสลบ ส่งเสียงคำรามด้วยความยินดี
ทั้งรุ่นพี่มัดเมา รุ่นพี่แม่มด และ รุ่นพี่อัศวินต่างหน้าจูบพื้นกันหมดเลย
ดูเหมือนรุ่นพี่ของฉันจะโดนพวกออร์คจัดการกันหมดเรียบร้อยแล้วค่ะ
“เฮ้อ….ไม่ไหวค่ะ จุดๆนี้ฉันไม่น่าจะช่วยพลิกเกมได้แล้วค่ะ”
มาแบบนี้อยู่ต่อก็เสียเวลาเปล่า
แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นการต่อสู้ของจริงว่าเป็นยังไง หลังกลับไปต้องคิดให้ดีว่าจะสู้ยังไงให้ปลอดภัยที่สุด
นึกว่าจะเป็นงานที่ง่ายกว่านี้ซ่ะอีก แต่ก็เอาเถอะ รายได้ก็ดีอยู่ ไว้จะลองๆดูซักครั้ง ถ้าไม่ไหวก็ค่อยยอมตัดใจแล้วลาออกล่ะกันเนอะ
ฉันลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังให้กับเหล่ารุ่นพี่ผู้น่าสงสาร
“จะไม่ไปช่วยหน่อยหรอม่อน ?”
“ไม่ไหวค่ะ ฉันไม่มีสมาธิรับมือการโจมตีจากบนดินและบนฟ้าพร้อมกันหรอกค่ะ”
ถ้าอย่างน้อยไวเวิร์นถูกจัดการไปหมด ฉันก็พอจะเคลื่อนไหวได้อยู่
แต่การที่อีกฝั่งมีไวเวิร์นที่พร้อมพ่นไฟสองตัว กับปืนใหญ่อีกหนึ่งชิ้น มันก็ไม่ต่างอะไรจากการกระโดดเข้าไปในดงกระสุน
ถ้าฉันจะช่วยก็ควรโดดเข้าไปช่วยตั้งแต่ที่สามคนนั้นยังสู้ไหว
ตอนนี้มันเลยจุดที่ฉันช่วยได้ไปแล้ว
อีกอย่างฉันเป็นแค่มือใหม่จะให้ลงสนามจริงโดยไม่มีคนช่วย มันไม่ไหวหรอกค่ะ
ทำไมฉันต้องเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงโดยไม่รู้ว่าจะชนะรึเปล่า….ฉันไม่อยากตายค่ะ
ทว่า ในขณะที่ฉันหยิบเมจิคัลโฟนขึ้นมาเพื่อเตรียมหนี ทันใดนั้นเองก็เกิดประกายแสงเจิดจ้าขึ้นมาจากข้างหลัง
ตู้มมมมมมมม
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
เมื่อฉันยื่นหน้าออกไปที่ถนนอีกครั้ง ฉันก็พบร่างของไวเวิร์นทั้งสองที่ล้มลงกับพื้นในสภาพที่ร่างกายไหม้เกรียม
ถ้าถามว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง ฉันก็ต้องมองไปยังตัวต้นเหตุ
คุณแม่มดผมทองที่ร่างกายสะบัดสะบอมและนอนเจียนตายอยู่ในหลุมขนาดใหญ่
เสียงพึมพำที่แหบพร่า
ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายแสงอันแรงกล้า
แม้จะมองจากบนดาดฟ้า ฉันกลับได้ยินสิ่งที่เธอพูดอย่างชัดเจน
“ไม่-ยอม-แพ้-เด็ด-ขาด”
“…………………………”
ทุกครั้งที่เธอพูด ลมหายใจจะถี่รวนมากขึ้นเรื่อยๆ
“แค่ก ! …จะ-ปก-ป้อง-ทุก-คน”
“……………………..”
ทุกคำพูดมาพร้อมเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากปาก
“กลับ-บ้าน-ด้วย-กัน”
“……………………”
แต่ถึงอย่างงั้น น้ำเสียงยังคงหนักแน่น
“เพื่อ-คุณแม่ !”
“ ??? ”
ดวงตายังไม่เคยยอมแพ้
“จะ-มา-ตาย-ที่-นี่-ไม่-ได้ !!!”
“…………………..”
และภายในนั้นก็แฝงไปด้วยการเตรียมใจอันแนวแน่
“ธันเดอร์—-”
กร๊อบ !
แต่ทว่า เหล่าอสูรกายอันต่ำช้าก็บดขยี้ความหวังของเธอจนป่นปี้ไม่มีชิ้นดี
ฝ่ามืออันบอบบางที่ยื่นออกไปถูกฝ่ามือสีเขียวใหญ่ยักษ์คว้าเอาไว้และบดขยี้จนบิดงอ
กร๊อบๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
“กรี๊ด !!!”
แรงบีบมหาศาลทำให้กระดูกมือขวาแตกละเอียดเป็นเสี่ยง จนเธอส่งเสียงกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานออกมา
ดวงตาเบิกกว้างด้วยความสิ้นหวัง น้ำตาอุ่นๆไหลอาบพวงแก้มที่เปรอะเปื้อนทั้งสองข้าง
ฟ้าวววว
แถมออร์คตัวนั้นยังยกแขนขึ้นฟ้าแล้วฟาดลงไปที่ท้องของเธอเต็มแรง
“อั่ก !!!”
ตู้มมมมมมม
พื้นดินสั่นไหวอย่างรุนแรงประหนึ่งแผ่นดินไหว เกิดรอยร้าวแตกกระจายออกไปโดยมีเธอเป็นศูนย์กลาง
ฟ้าวววว ตู้มมมมมมมม
“#@#$@$@##%#% !!!”
เด็กสาวส่งเสียงเจ็บปวดไม่เป็นภาษาออกมา
ผัวะๆๆๆๆๆ
ในขณะเดียวกันออร์คก็รัวหมัดใส่เธอไม่ยั้งจนเสียงร้องของเธอเบาลงเรื่อยๆ
ตู้ม !
“—–!!!”
ก่อนที่จะกระโดดแล้วเหยียบเธอซ้ำอีกที
กร๊อบ !
ได้ยินเสียงไม่พึงประสงค์จากร่างกายที่บิดเบี้ยว
ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ บัดนี้กลับเลื่อนลอยและเต็มไปด้วยน้ำมูกน้ำตาปนคราบเลือด
ขวับ !
ฉันได้แต่เบือนหน้าหนีออกมา เพราะไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป
ช่างเป็นคนที่กล้าหาญและน่าเคารพ แต่ถึงอย่างงั้นเพราะการตัดสินใจอันขลาดเขลา โลกใบนี้คงเสียคนดีๆไปอีกคน
“เด็กคนนั้นที่มีฉายาว่าแม่มดอัสนี มีชื่อจริงคือ เอวา บัฟฟอร์ด น่ะม่อน”
ในตอนที่ฉันกำลังจะหนี จู่ๆจิบิม่อนก็พูดโพล่งขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อน….เมื่อกี้บอกเองไม่ใช่หรอคะ ว่าเป็นข้อมูลส่วนตัว”
ฉันรีบหยิบเมจิคัลโฟนขึ้นมาและกดไปที่ไอค่อนประตู ด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดี
ฉันสังหรณ์ใจว่า ถ้าฟังจิบิม่อนพูดมากไปกว่านี้ มันคงไม่ดีแน่
“เป้าหมายของเธอคือการเป็นจอมเวทย์ระดับมหาปราชญ์ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดของเหล่าจอมเวทย์ ….”
“………………….”
“รู้ไหมว่าทำไม ???”
ฟู่ววววว
กระจกที่เชื่อมต่อกับโลกแห่งความจริงปรากฎที่เบื้องหน้าของฉัน
เมื่อมองไปที่เมจิคัลโฟนก็ปรากฎข้อความแจ้งเตือนขึ้นมา
‘อัตราฟูลซิงโคร 70 %’
“……………………………….”
เหลืออีกแค่ 30 % เท่านั้น พวกมันก็จะบุกไปยังโลกแห่งความจริงได้สำเร็จ
“นั่นก็เพราะว่า เอวาจังต้องสูญเสียแม่ไปจากการที่มอนสเตอร์หลุดไปโลกแห่งความจริงยังไงล่ะม่อน”
“…………………….”
“ในวันนั้นที่ท้องฟ้าแจ่มใส เธอและแม่ก็ไปซื้อของในห้างกันตามปกติ แต่จู่ๆก็มีมังกรตัวใหญ่ยักษ์โผล่ออกมาและกินแม่ของเธอเข้าไป นั่นคงเป็นเรื่องที่โหดร้ายสำหรับเด็กอายุ 15 แน่เลย…..ภาพแม่ของตัวเองที่โดนมังกรเคี้ยวเล่นต่อหน้าต่อตาน่ะม่อน”
“หลังจากนั้น คุณพ่อของเธอก็กลายเป็นตาแก่ขี้เหล้าที่วันๆเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจ ถึงจะมีมรดกมากมายทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ความสัมพันธ์ในครอบครัวค่อนข้างเลวร้ายเลยแหล่ะม่อน”
“พูดพอใจรึยังคะ ?”
“เพราะงั้นเอวาจังเลยตัดสินใจจะกลายเป็นมหาปราชญ์เพื่อไปสังหารจอมมาร …..เพื่อที่จะได้ไม่มีใครต้องโชคร้ายแบบตัวเองอีก เธอก็เลยฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเลยล่ะม่อน”
“……………….”
“ทั้งๆที่เป็นแค่เด็กม.ปลายแท้ๆ แต่มีความรับผิดชอบต่อสังคมที่สูงจนน่าเป็นห่วงเลยม่อน”
“นี่คือ….ที่จะบอกทั้งหมดใช่ไหมคะ ? คนที่ผิดมันคือพวกคุณที่ดึงเด็กม.ปลายมาเสี่ยงอันตรายเองต่างหาก”
“ตอนนี้จอมเวทย์ระดับโกลกำลังเดินทางมา แต่คงมาไม่ถึงในเร็วๆนี้แน่ม่อน….มาริรู้รึเปล่าว่าหากสู้แพ้ออร์คมันจะเกิดอะไรขึ้น”
“……………………..”
“ผู้ชายจะถูกฆ่า ส่วนผู้หญิงจะถูกจับมาทำเป็นแม่พันธุ์และต้องตั้งท้องลูกของพวกมันซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าจะตาย”
“…………………..”
“แบบนี้จะดีจริงๆหรอมาริ ?”
กึก !
ฉันได้แต่กำคฑาในมือแน่น
“จะไม่เสียใจทีหลังอย่างงั้นหรอ ?”
“ถ้ามีเรื่องที่จะพูดแค่นี้ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“จะดีจริงๆหรอม่อน”
“พอได้แล้วค่ะ….ฉันไม่อยากฟังแล้ว”
“นี่คือโอกาสแก้ไขความผิดพลาดในอดีตแล้วนะม่อน ไม่คิดว่าภาพของเด็กคนนี้ซ้อนทับกับใครซักคนในอดีตเลยหรอม่อน ยกตัวอย่างเช่น คนที่พูดว่า—-”
“……………………….”
“ ‘หมอ…ช่วยผมด้วย’ ”
“อควาคัตเตอร์—-”
ฉัวะ !!!
“อึก ! เล็งเป้าหมายผิดคนรึเปล่าม่อน ?”
ฉันจ้องไปยังเจ้าแตงโมพูดได้ที่ขาดเป็นสองท่อนด้วยดวงตาที่สงบนิ่งและใจเย็นสุดๆจนตอนนี้ถ้ามาสคอสแถวนี้ตายไปซักตัวก็คงจะไม่รู้สึกเสียใจแต่อย่างใด
“ขอโทษค่ะ…พอดีเมื่อกี้เห็นแมลงวันบินมาตอม ก็เลยว่าจะช่วยซักหน่อย แต่พอดีตั้งใจช่วยเกินไปค่ะ”
“ฮ่าๆๆๆ งี้นี่เองขอบใจมากม่อน”
“ไม่หรอกค่ะ ถ้าปากของคุณไม่พูดอะไรเน่าๆออกมา แมลงวันก็คงไม่มาตอมปากขอบคุณตั้งแต่แรกแล้วค่ะ”
“โทษทีนะม่อน พอดีเป็นนิสัยส่วนตัว”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ….เพราะยังไงจอมเวทย์ก็คงเป็นทรัพยากรบุคคลที่จำเป็นสำหรับพวกคุณอยู่แล้ว คุณก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นเอง เพียงแต่—”
ฉันเว้นหายใจเล็กน้อย ก่อนจะยกเจ้าแตงโมครึ่งซึกนี่ขึ้นมา
“— อย่าล้ำเส้นให้มากนัก….เพราะเมื่อถึงตอนนั้นฉันจะโกรธมากๆค่ะ”
“ขะ ขะ ขอโทษด้วยม่อน”
“รู้อะไรรึเปล่าคะ สิ่งที่ฉันเกลียดเป็นอันดับต้นๆในโลกนี้คืออะไร ?”
“อะ อะ อะไรหรอม่อน ?”
“สิ่งนั้นคือ คุณงามความดี และ ความรับผิดชอบค่ะ”
“งั้นหรอม่อน”
“ใช่แล้วค่ะ เพราะสองสิ่งนี้คือเครื่องมือสุดแสนจะระยำที่มีไว้บีบบังคับให้คนๆหนึ่งเหลือทางเลือกแค่ทางเดียว”
“…………………..”
“ต่อให้อ่อนล้า….ต่อให้มือคู่นี้ไม่อาจจะกระดิกได้ แต่ฉันก็ต้องทำให้ได้…มีแต่ต้องทำให้ได้เท่านั้น…ความคาดหวังที่ทับถมลงมา การถูกตราหน้าว่าสารเลว เพียงเพราะ ความล้มเหลวที่ไม่ได้อยากลงมือทำตั้งแต่แรก…..”
“………………….”
“ไม่จำเป็นต้องเข้าใจฉันก็ได้ค่ะ….แล้วก็ไม่ต้องยอมรับหรือเชื่อในสิ่งที่ฉันพูดก็ได้”
“………………….”
“เพียงแต่อย่าได้ล้ำเส้นอีกเป็นอันขาด….ช่วยเข้าใจตรงกันตรงจุดนี้ด้วยค่ะ ไม่งั้นอย่าหวังเลยว่าจะมีครั้งหน้าที่เราจะได้ร่วมงานกันอีก”
“…………………”
หลังจากเว้นหายใจได้หักใหญ่ ไอ้แตงโมสารเลวก็ผงกหัวอย่างช้าๆ
“เข้าใจแล้วม่อน จิบิม่อนขอสัญญา”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ— เอ้า อควาคัตเตอร์”
ฉัวะ !
“อึ่ก ! ทำอะไรนะม่อน !!!”
เจ้าแตงโมที่กลายเป็นสี่ส่วนร้องโวยวาย สภาพของมันในตอนนี้ทำเอาตัวฉันกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
“ก็แหม ถ้าคุณเหลือแค่ชิ้นเดียว แบบนี้ฉันก็พกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกกว่าเยอะเลย แถมไม่ต้องเห็นหน้าเกะกะๆของคุณให้รกหูรกตา ดีออกจะตายไป …เฮ้อ…รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเยอะเลยค่ะ…จะว่าไปขอสับเพิ่มให้กลายเป็น 1 ใน 8 ส่วนจะได้ไหมคะ ?”
“พะ พะ พอแล้วม่อน ! มันเจ็บนะม่อน”
“ค่าๆๆ เข้าใจแล้วค่ะ เอาเถอะ ดูเหมือนพวกเราจะสนิทกันมากขึ้นแล้วนะคะ”
“ไม่เห็นจะสนิทกันตรงไหนเลยม่อน !”
“อย่างน้อยฉันก็ได้เข้าใจคุณมากขึ้นว่าคุณมันก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตสวะเห็นแก่ตัวที่ยึดหน้าที่ของตัวเองเป็นหลักโดยไม่สนความรู้สึกของคนอื่น ส่วนคุณเองก็ได้รู้จักฉันมากขึ้นว่าเป็นคนที่ขี้ขลาดมากแค่ไหน”
เอาล่ะ…ถ้างั้น ในเมื่อคุยกันพอหอมปากหอมคอแล้ว มาลุยกันดีกว่าค่ะ
ตัวเลือกของฉันถูกปิดตายไปหมดแล้ว
เพราะงั้นแล้ว—
“มาช่วยไอ้เด็กโง่พวกนั้นกันเถอะค่ะ ไอ้แตงโมพูดได้เฮงซวย…แล้วก็ถ้าได้โบนัสเพิ่มจากการช่วยเหลือเด็กพวกนี้ จะดีมากเลยค่ะ”
“หนวกหูนะม่อน ! รีบๆไปช่วยได้แล้วไอ้มนุษย์งี่เง่า !!!”
“ค่ะๆ ฉันรู้สึกว่าเราทั้งคู่สนิทกันมากขึ้นจริงๆนะคะ”