เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 26 ประมาท
# วินดี้ อีเกิ้ล #
วินดี้ นั้นไม่ใช่คนที่ดูหัวรุนแรงเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก
เธอก็เป็นเพียงแค่คนที่ไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบและไม่คิดจะเอาเปรียบใคร มันก็เท่านั้น
เมื่อก่อนก็มีหลายอีเว้นท์ที่เธอเคยต่อสู้ร่วมกับกิกันติค ซึ่ง มันก็ทำให้เธอได้รู้ว่า เขาเป็นชายที่มุทะลุไม่ชอบคิดหน้าคิดหลัง
การที่เขาขยายร่างได้ มันทำให้เขาแข็งแกร่ง และ ไม่มีอะไรทำอันตรายเขาได้ จนบางทีเขาก็หลงลืมคนข้างหลังที่อ่อนแอกว่า
กิกันติค อาจจะเป็นนักรบที่ดี แต่ไม่ใช่ผู้นำที่ดี
ถึงเขาจะมีนัมเบอร์มากกว่า แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะให้เขาเป็นผู้นำ ซึ่งมันก็ได้แสดงให้ทุกคนเห็นแล้วหลังการโจมตีอันหนักหน่วงก่อนหน้านี้ที่ทำให้พวกพ้องโดนลูกหลง
เขาสามารถเลือกวิธีที่เบากว่านี้ได้ แต่เขากลับไม่ทำและเลือกวิธีที่เอาสะดวก
บางทีคนที่คิดแผนและกระจายงานต่างๆอาจเป็นเพื่อนๆทั้งสองคนของเขาเสียด้วยซ้ำ
ถึงภาพลักษณ์ภายนอกของทั้งคู่จะดูไม่มีพิษมีภัย แต่ในแผนที่เสนอออกมาก็แฝงด้วยการยึดเอาผลประโยชน์ของฝั่งพวกตนเป็นหลัก
พวกเขาเลือกทำเลที่ดีที่สุดที่จะถ่ายภาพการต่อสู้ของกิกันติคได้ชัดที่สุด แล้วก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เขาใช้ท่าไม้ตาย ทั้งๆที่พวกเขาซึ่งร่วมทีมกันมานานก็น่าจะรู้ดีว่ามีบางครั้งที่ลูกทีมคนอื่นโดนลูกหลงจากกิกันติคแสมช
การอ้างว่ามีเนื้อที่กว้างขวาง นั่นหาได้เป็นสาระสำคัญ ตัววินดี้เองที่รู้จักกิกันติคมานานมั่นใจว่าเขาสามารรถจัดการพวกมอนสเตอร์ด้วยวิธีที่ปลอดภัยได้มากกว่านี้
ในตอนแรกเธอก็กะจะต่อว่าเขาเพิ่มเติม เรื่องที่สวิมโดนลูกหลง ซึ่งมันก็ค่อนข้างน่าหงุดหงิดสำหรับเธอ …..หรือ ต่อให้เปลี่ยนจากสวิมเป็นคนอื่น ประเด็นนี้ก็ควรถูกยกขึ้นมาพูดถึงอยู่ดี
“~ ♪”
ทว่า พอได้ยินเสียงเพลงของโซนาต้า อารมณ์ที่คุกกรุ่นก็ทุเลาลง วินดี้รู้ว่ามันเป็นผลมาจากทาเล้นท์ของเด็กสาวที่เสียงเพลงของเธอทำให้ผู้ฟังรู้สึกผ่อนคลาย
พอใจเย็นลงและคิดอย่างมีเหตุผล เธอเลยตัดสินใจหลีกเลี่ยงการสร้างความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น
ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ และ โซนาต้าเองก็พยายามประคับประคองจิตใจของทุกคนเท่าที่ร่างเล็กๆนั้นจะทำไหว
หากการต่อสู้ของพวกเธอคือการปราบมอนสเตอร์ การต่อสู้ของโซนาต้าก็คงเป็นการต่อสู้กับจิตใจของตัวเองและคนรอบข้าง
การที่วินดี้โวยวาย มันก็ไม่ต่างจากการไปขัดขวางงานของโซนาต้า และ มันก็คงไปทำให้เด็กสาวที่ดูขาดความมั่นใจคนนั้นรู้สึกแย่ เมื่อรู้ว่า เพลงของเธอไม่สามารถยุติความขัดแย้งภายในทีมได้
เพราะงั้น วินดี้จึงอดทนเพื่อทีมแล้วก็เพื่อโซนาต้าที่เป่าฟลูตต่อเนื่องมานานกว่าหนึ่งชั่วโมงเต็ม
เธอจะไม่ทำให้บรรยากาศแย่ลง และ จะช่วยสนับสนุนทุกคนในทีมแทนที่กิกันติคที่เอาแต่สร้างปัญหา
ใช่ว่า ในเสี้ยวหนึ่งในใจเธอจะไม่คาดหวังว่าคนอื่น จะเสนอชื่อเธอ เป็นหัวหน้าแทน ทว่า หลังฟังเพลงของโซนาต้า ในตอนนี้เธอก็อยากจะแบ่งปันความรู้สึกสบายๆผ่อนคลายนี้ไปให้คนอื่นด้วยจริงๆ
เพราะงั้นเธอก็เลยพูดติดตลกออกไปว่า–
“แม่มดอัสนีไม่ฮัมเพลงต่อแล้วหรอ ???”
“พรวด !”
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงสำลักของดีเทคเตอร์ แม้กระทั่ง เอ็กซ์พลอเรอร์ สวิม แฮทเกิล รวมไปถึงมารีนเองก็ยังหลุดเสียงหัวเราะตามมาทีหลัง
พอรู้ว่าโดนพวกพ้องหัวเราะ แม่มดอัสนีก็รีบเปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารรวมขึ้นมาและโต้แย้งใส่ด้วยเสียงอันสั่นเทา
“นะ นะ นั่นมัน เธอหูฝาดไปเองรึเปล่า ?”
“แต่ฉันก็ได้ยินน๊า….”
“แม่มดอัสนี คราวหลังอย่างลืมปิดช่องทางการสื่อสารส่วนกลาง”
ดีเทคเตอร์แย้งกลับด้วยเสียงอันร่าเริง ในขณะที่เอ็กซ์พลอเรอร์ก็พยายามกลั้นขำแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง
“ก็ไม่เห็นต้องอายเลย ร้องเพราะออกนี่นา ~ ♪ ”
“มะ มะ ไม่รู้ด้วยแล้ว !!!”
พอวินดี้ลองฮัมเพลงบ้าง แม่มดอัสนีก็รีบตัดการสื่อสารทิ้งไปดื้อๆ เธอคงจะอายไม่ก็รู้สึกเสียหน้าที่โดนแซว ทว่า วินดี้ก็อยากให้เป็นอย่างแรกมากกว่า เพราะ เธอไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เธอก็แค่อยากช่วยโซนาต้าทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายหลังกลืนฝุ่นทรายเข้าไปเฮือกใหญ่มันก็เท่านั้นเอง
ทว่า เธอก็ไม่ลืมที่จะพูดถึงตัวเอกหลักที่ช่วยให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่นจากเบื้องหลัง
“พริ้นเซส โซนาต้า—-”
ทันทีที่วินดี้เอ่ยชื่อเด็กสาวออกมา เสียงฟลูตที่เคยเป่าอยู่ก็เงียบลง
“เป็นเพลงที่เพราะมาก รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย…ขอบใจนะ”
“—– !!!”
ไม่ลืมที่จะชี้ให้เห็นจุดผิดของคนที่ทำพลาด แม้ว่าคนๆนั้นจะอยู่ระดับที่สูงกว่า และ ก็จะพยายามชมเชยคนที่มีความพยายามพร้อมกับให้กำลังใจ วินดี้เป็นคนที่มีนิสัยเช่นนั้นแหล่ะ
พอได้ยินคำชมจากปากของจอมเวทย์สาวระดับอาดามันเที่ยม โซนาต้าก็เงียบไปพักหนึ่ง
ซู๊ด !
ทุกคนได้ยินเสียงสั่งน้ำมูกเบาๆจากฝั่งโซนาต้า ก่อนที่หลังจากนั้นเสียงอันไพเราะที่ฟังดูอู้อี้เล็กน้อยจะดังขึ้น
“ขะ…ขอบ…คุณ…ค่ะ”
แม้ มันจะแฝงด้วยความเขินอาย ทว่า เด็กสาวก็ดีใจจริงๆที่เธอได้รับคำชม
“ตายจริง คุณวินดี้นี่ก็ร้ายใช่เล่นนะ คิดจะทำให้เด็กของทางเราเสียน้ำตางั้นหรอ ?”
แฮทเกิลพูดติดตลก จนวินดี้หัวเราะเบาๆ
“ฮ่าๆ โทษทีๆ พอดีทางนี้เป็นคนที่ถนัดกับการทำให้เด็กตัวเล็กๆร้องไห้อยู่แล้วน่ะ”
“งั้นหลังจากนี้ก็มาปลอบแทนด้วย รู้รึเปล่าว่าตัวโซนาต้าจังตัวนุ่มนิ่มมากเลยละ”
“ฮ่าๆๆ ไม่ดีกว่า ถ้าไปกอดคนอื่น เดี๋ยวจะโดนว่าเอา”
“เรา…ไม่บ่นด้วยเรื่องแค่นั้นหรอกน่า”
พอได้ยินเสียงของสวิมมาเข้าร่วมบทสนทนาด้วย คนอื่นๆที่อยู่ในสายก็งงไปตามๆกันว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่
กระนั้น ท่ามกลางบทสนทนาอันผ่อนคลาย แต่ละคนก็พากันจัดการมอนสเตอร์กันมือเป็นระวิง
เอ็กซ์พลอเรอร์ ที่มองจอมอนิเตอร์ตาไม่กระพริบก็ขัดจังหวะด้วยเสียงอันราบเรียบ
“อย่ามัวแต่เล่นกันสิ…วินดี้ ระวังตัวด้วย ทางนั้นกำลังมีไวเวิร์นอย่างน้อยสิบตัวมุ่งหน้าไปหา”
“ฮึ ! สบายมาก ไว้มาซัก 100 ค่อยเตือนก็ยังได้— แต่ก็ขอขอบพระคุณสำหรับความเป็นห่วงละกัน ถึงฉันจะไม่ชอบหน้านายก็ตามเถอะ”
“อ่า..ฉันก็รำคาญพวกเธอเหมือนกัน อย่าทะเล่อทะล่าไปตายจนเป็นภาระพวกเราเสียล่ะ”
แกร๊ก !
สิ้นเสียงสัญญาณที่ถูกตัด โซนาต้าก็รีบบรรเลงเพลงต่ออีกครั้ง
ทว่า เสียงดนตรีก็ไม่อาจสมานความสัมพันธ์ระหว่างวินดี้และเอ็กซ์พลอเรอร์ได้ ก็เพราะว่าเธอและสวิมนั้นเหม็นขี้หน้าเอ็กซ์พลอเรอร์มาตั้งแต่ภารกิจก่อนๆแล้ว
เขาเป็นคนที่จู้จี้น่ารำคาญ ทำตัวยึดตามกฎเกณฑ์ทุกระเบียดนิ้วไม่ผ่อนปลน ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่คนไม่ดี แต่ก็ไม่ใช่คนดีที่มีคนชอบมากซักเท่าไหร่…จนถึงขนาดที่จอมเวทย์บางกลุ่มที่รู้สึกหมั่นไส้มอบฉายาให้ว่า ‘เหามนุษย์ยักษ์’ เลยทีเดียว (ล้อเลียนกับวลีว่า เหาฉลาม)
หลังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ค่อยๆดีขึ้น วินดี้ก็เงยหน้ามองไปข้างหน้า
พรึ่บๆๆๆๆๆ
ปีกสีเขียวโบกสะบัด สัตว์เลื้อยคลานกายาสีเขียวที่บินได้ และฉีกเหยื่อด้วยกรงเล็บอันแหลมคม— ไวเวิร์น
ณ ท้องฟ้าเหนือพื้นดิน 50 เมตร ไวเวิร์นนับสิบตัวกำลังบินพุ่งตรงมาที่เธอด้วยความเร็วอันน่าตกตะลึง
แค่กระพริบตาเพียงชั่วครู่ มันก็ย่นระยะห่างจากแปดช่วงตึกจนเหลือเพียงสี่ช่วงตึก หากตัดสินใจช้าเพียงเสี้ยววิ พวกมันคงเข้ามารุมทึ้งเธอกลางอากาศ
“ให้มันได้อย่างงี้สิ ไม่ต้องรีบร้อนน่า —”
วินดี้ไม่จำเป็นต้องขยับไปไหน เธอทำเพียงแค่สยายปีก ยืนกอดอกอยู่บนท้องฟ้า
ปีกพญาเหยี่ยวที่โบกสะบัดอย่างรุนแรงและเร็วขึ้นเรื่อยๆค่อยๆสร้างพายุหมุนขนาดเล็กขึ้นมา
ดวงตาสีดำบนหมวกรูปเหยี่ยวเปล่งแสงสีแดงเจิดจ้า
วิหคสาวรวบรวมพลังเวทย์แล้วชี้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ตรงไปข้างหน้าแล้วขยิบตา
“สกายซ็อต !!!”
ปัง !
สิ้นเสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหวราวกับเสียงปืน ไวเวิร์นตัวหนึ่งที่เกิดรูโบ๋ขนาดใหญ่บนร่างก็ล่วงหล่นลงสู่เบื้องล่าง ไวเวิร์นที่เหลือซึ่งเห็นพวกพ้องตายไปต่อหน้าต่อตาก็ผงะถอยหลังเล็กน้อย
“สกายซ็อต !!!”
ทว่า ทันทีที่วัจนะมนตราเอ่ยขึ้นมา สายลมก็ก่อตัวขึ้นที่ปีกของเธอแล้วกลายเป็นฟองอากาศทรงกลมขนาดเท่ากำปั้นที่ภายในอัดแน่นคมดาบสายลมจำนวนนับไม่ถ้วน….หากจะให้เปรียบเปรยให้เห็นภาพ มันคือ กระสุนลม
พอเธอเล็งด้วยนิ้วเสร็จแล้วสั่งยิง กระสุนลมก็ปะทะเข้ากับหน้าอกไวเวิร์นตัวที่สอง
ฟองอากาศที่แตกออกดังโป๊ะปลดปล่อยคมดาบสายลมจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาแล้วขยายบาดแผลเท่ากำปั้นให้กลายเป็นรูขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ทั้งหน้าอกและช่วงท้อง
หลังจากพวกพ้องของมันตายเป็นตัวที่สอง อีกฝ่ายก็หันหลังเตรียมจะบินหนี กระนั้น นิ้วชี้ก็เล็งไปข้างหน้าอย่างไร้ปราณี
ปังๆๆๆๆ !!!
กระสุนลมห้านัดคร่าชีวิตของไวเวิร์นในชั่วพริบตา ยังไม่ทันที่จะได้บุกเข้ามา ไวเวิร์นก็เหลือเพียงแค่สามตัวที่แต่ละตัวต่างก็บินหนีอย่างทุลักทุเล
วินดี้จึงเล็งใหม่อีกรอบ เตรียมปิดฉาก
ฟ้าวววววววววว
แต่แล้ว ทันใดนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงบางสิ่งบางอย่างแหวกผ่านสายลม เมื่อมองลงไปข้างล่างตามต้นเสียงเธอก็พบกับลูกธนูดอกหนึ่งกำลังพุ่งตรงมาที่ใบหน้าของเธอ
หมับ !
เธอจับมันไว้อย่างสบายๆ ก่อนจะหักลูกธนูทิ้งด้วยมือเปล่าดังกร๊อบ !
พอมองไปตามทิศทางที่มันพุ่งมา เธอก็พบกับกอบลินธนูกว่ายี่สิบตัวที่เกาะกลุ่มกันอยู่บนดาดฟ้าของอาคารสูงสามชั้น พวกมันต่างเล็กธนูมาที่เธอและปล่อยลูกศรออกมาอย่างพร้อมเพียง
ฟ้าวววววววววววว
ห่าฝนลูกธนูจำนวนมากโหมกระหน่ำใส่วิหคสาวที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ
ทว่า วินดี้ก็หาได้กังวล แค่เธอบินสูงขึ้นแล้วยกเท้าขึ้นเพียงเล็กน้อย —
ฟุบ !
ลูกธนูทั้งหมดต่างพลาดเป้า และ ไม่มีธนูดอกไหนถูกยิงมาได้ไกลถึงตำแหน่งที่เธออยู่แม้แต่ดอกเดียว
สำหรับออร์คทั้งหลายที่เผชิญหน้ากับเธอ สิ่งนี้คือความโชคร้ายเหนือคณา
หากเธอบินอยู่บนฟ้าก็จะไม่มีการโจมตีใดๆไปถึงตัวเธอได้ ทว่า ฝั่งเธอเองกลับสามารถโจมตีลงมาจากมุมสูงได้อย่างแม่นยำ
พั่บๆๆๆๆๆ
ปีกวิหคสะบัดรัว สายลมที่ไหลผ่านปลายขนรวมตัวกันเป็นคลื่นลมอยู่เบื้องหน้า
จากนั้นคลื่นลมที่หมุนวนเป็นเกลียวก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆแล้วกลายเป็นพายุหมุน
“เกรทไทฟูน ! ”
จากนั้นเมื่อวิหคสาวสะบัดมือออกไปทางอาคารที่พวกออร์คธนูอยู่ พายุหมุนขนาดใหญ่เท่าบ้านทั้งหลังก็ทะยานเข้าไปกลืนกินอาคารของพวกออร์คในชั่วพริบตา
“โฮกกกก !?”
แควก !!! ฉัวๆๆๆๆ แผล่ะ !!! โครมมม เพล้ง !
ท่ามกลางเสียงสายลมกรรโชก มันก็มีเสียงอาคารที่พังทลายลงมาและเสียงกายเนื้อที่ถูกเชือดเฉือน ดังประสานเป็นบทเพลงแห่งความตาย
เสียงร้องครวญครางด้วยความทรมานของออร์คนั้นฟังดูไม่ลื่นหู เธอเลยหันมาฟังเพลงของโซนาต้าอย่างเพลิดเพลินแทน
หลังพายุหมุนสลายไป สิ่งที่หลงเหลือมีแค่ซากปรักหักพังกองเป็นพะเนินที่ฝังร่างของพวกออร์คที่กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไว้ข้างใต้
คนที่อยู่ข้างหลังคงได้กลิ่นคาวเลือดโชยมาแต่ไกล ทว่า สำหรับวินดี้ที่ลอยอยู่เหนือลม เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เธอทำเป็นการต่อสู้แม้แต่น้อย
— หลังจากนั้น เธอก็ออกล่าพวกมอนสเตอร์แต่เพียงฝ่ายเดียว
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
# แม่มดอัสนี #
— 16 ชั่วโมงผ่านไปหลังการต่อสู้อันยาวนาน ขณะนี้เป็นเวลา 0.00 น. พอดี
ทุกๆคนเริ่มจะเหนื่อยล้า แม้ในตอนแรกจะได้เสียงเพลงของโซนาต้าช่วยเยียวยาจิตใจ แต่โซนาต้าก็ไม่ได้แข็งแรงถึงขนาดเป่าฟลูตต่อเนื่องนานหลายสิบชั่วโมงได้ คนที่ยังคงประจำตำแหน่งไหวก็คงมีแค่ กิกันติค วินดี้ และ มารีน
แน่นอนว่า ทางฝั่งของเผ่าปีศาจเองก็ไม่ได้มีกำลังมากพอจะส่งออร์คเข้ามาติดๆกันโดยไม่หยุดพัก
อย่างน้อยทุกๆ 3-4 ชั่วโมงก็จะมีช่วงเวลาที่เว้นว่างไม่เกิน 20 นาทีที่จะไม่มีมอนสเตอร์ออกมาเพิ่มอีก
เพราะงั้นเสาอากาศที่อยู่บนอาคารสูงก็ไม่จำเป็นต้องไปคุ้มกันอะไรมาก เนื่องจากอีกฝั่งคงไม่รู้ตำแหน่งและไม่มีกำลังมากพอจะมาจัดการ ด้วยจำนวนมอนสเตอร์ในเมืองที่เหลือน้อยนิด การรอให้อีกฝ่ายโจมตีเสาอากาศก่อนแล้วค่อยออกไปป้องกัน มันก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว เพราะแบบนั้น ในตอนนี้ทุกๆคนจึงไม่ได้ประจำอยู่ที่ตำแหน่งเดิม
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับหลายคนๆ ช่วงนี้ก็ถือว่าเป็นเวลาพักผ่อนเพียงชั่วอึดใจ
“ข้าขอผ่าน พวกเจ้าไปพักกันเลย”
“ฉันก็เหมือนกัน—-”
“อ๊ะ ! งั้นเราขอไปอยู่กับวินดี้จังด้วยนะ”
กิกันติคขอนั่งเฝ้าที่ทิศใต้ต่อ ส่วนวินดี้ก็ขอลาดตระเวนไล่เก็บกวาดพวกมอนสเตอร์ที่ตกค้างโดยมีวินดี้ติดสอยห้อยตามไปด้วย
“แม่มดอัสนีมารับแซนวิสแล้วไปพักเถอะ”
ส่วนมารีนที่ไม่มีแม้แต่เหงื่อซักหยด ถึงขนาดที่เรียกว่ายังสภาพดูดีกว่าพวกเอ็กซ์พลอเรอร์ที่ยืนจ้องจอมอนิเตอร์ทั้งวันก็ขอตัวไปออกล่าพวกมอนสเตอร์ต่อ เธอวางแซนวิสไส้ทูน่าสองคู่ทิ้งไว้ให้เอวาในตำแหน่งของเสาอากาศทางทิศตะวันตกซึ่งปลอดภัยจากพวกมอนสเตอร์ เพราะ มันติดตั้งอยู่บนยอดของชิงช้าสวรรค์ภายในสวนสนุกประจำเมือง
เอวาก็ลากร่างกายที่อ่อนล้าผ่านไปตามเครื่องเล่นต่างๆที่ไร้ซึ่งแสงไฟ ร่างของเธอถูกความมืดกลืนเข้าไปจนอดหวาดรู้สึกกลัวไม่ได้ เพราะสวนสนุกที่มืดเช่นนี้ มันช่างดูคล้ายกับสวนสนุกผีสิงซ่ะเหลือเกิน
หลังจากที่ไต่ไปตามแท่งเหล็กที่เป็นคานของชิงช้าสวรรค์ เธอก็ไปถึงจุดยอดสุดที่มีการติดตั้งเสาอากาศไว้บนห้องโดยสารทรงสี่เหลี่ยมที่ภายในติดตั้งเบาะสองที่นั่ง
พอเธอกระโดดเข้าไปข้างในก็พบกับแซนวิสสองคู่ที่วางทิ้งไว้บนเบาะ
“จะทานละนะคะ”
เอวาที่หิวไส้กิ่วกล่าวขอบคุณสหายของเธอแล้วงับเข้าปากไปเต็มคำ
ขนมปังสีขาวเนียลสัมผัสน้ำลายของเธอจนอ่อนนุ่ม รสชาติหวานอมเปรี้ยวของครีมสลัดคลุกเคล้าเข้ากับเนื้อทูน่าที่ละเมียดละไม
เอวาก็ไม่รู้หรอกว่าวัตถุดิบที่เอามาทำแซนวิสดีรึเปล่า
แต่น้ำสลัดที่ใส่เข้ามา มันช่วยทำให้มะเขือเทศและผักกาดที่จืดชืดดูมีรสชาติขึ้นมา พอผสานเข้ากับขนมปังและเนื้อทูน่า เอวาก็รู้สึกว่าแซนวิสที่กินบนชิงช้าสวรรค์ในตอนนี้ มันช่างอร่อยเหาะซ่ะเหลือเกิน
แต่การได้มานั่งกินในชิงช้าคนเดียวมืดๆ มันก็ชวนให้รู้สึกเหงา
รอบข้างเงียบสงบราวกับป่าช้า หากมองออกไปข้างล่างก็จะพบกับสวนสนุกที่วังเวงเสียจนรู้สึกหดหู่
แกร๊ก !
เอวาเลยเปิดช่องทางติดต่อสื่อสารส่วนตัวกับมาริซ่า
“แซนวิส…ไม่เลวเลยนะ”
“จะถือว่าเป็นคำชมละกัน…อควาคัตเตอร์ !”
พอได้ยินเสียงของสายน้ำดังมาจากอีกฟาก เอวาซึ่งนั่งกอดเข่าก็เอียงหัวเล็กน้อย
“ศัตรูยังไม่หมด ?”
“ยังค่ะ…ดูเหมือนว่าจะมี อินเฟอร์ดโน่วูฟออกมาเพ่นพ่านเต็มเลย…ทั้งๆที่เป็นอีเว้นท์ปราบออร์คแท้ๆ ”
“ถ้างั้นให้ไปช่วย—”
“อย่าดีกว่า ฉันว่ามันไม่ปลอดภัย เพราะตอนกลางคืนพวกมันมีประสาทสัมผัสไวกว่า..แถม โลกเรพลิก้าเองก็ไม่ค่อยมีแสงสว่างซักเท่าไหร่ ทางเราก็เลยเสียเปรียบ ”
พอมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เด็กสาวก็ไม่เห็นดวงดาวแม้แต่ดวงเดียว กระทั่งดวงจันทร์ก็ไม่มีให้เห็น จนภาพที่เห็นราวกับว่ามีใครก็ไม่รู้เอาสีดำมาเทบนท้องฟ้า
“ฉันได้เสนอให้ออกล่าอีกทีตอนรุ่งสางของวันพรุ่งนี้…แล้ว ทางกิกันติคเองก็เห็นด้วย เพราะงั้นเดี๋ยวฉันจะรีบกลับไปรวมกลุ่มกับทุกคน เอวายังอยู่ที่ชิงช้าสวรรค์ใช่ไหม ?”
“อื้ม…”
“รับทราบ ! เดี๋ยวอีกซักครู่จะไปหา”
กริ๊ก !
สิ้นเสียงตัดสาย เอวาก็ยืดแขนบิดขี้เกียจเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงแน่น
ระหว่างกำลังลิ้มรสแซนวิสอยู่ เธอก็ได้ยินเสียงเพลงของโซนาต้าดังขึ้นมา
แม้กระทั่งเวลาพักผ่อน เด็กคนนั้นก็ยังฝืนตัวเอง ทำเอาเอวาอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนช่องทางการติดต่อสื่อสารไปเป็นช่องทางส่วนตัวกับโซนาต้า
“หวัดดี—”
“—– !!!”
เสียงของเอวาทำให้โซนาต้าสะดุ้งเฮือกจนเผลอทำฟลูตตกจากมือดัง แกร๊ง !
เอวาได้ยินเสียงแฮทเกิลที่อยู่อีกฟากถามมาว่า มีอะไรรึเปล่า ?
“คะ..คะ….”
เสียงของสาวน้อยที่ฟังดูสั่นๆทำเอาเอวายิ้มแห้งๆ
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ไม่พักผ่อนซักหน่อยละ ?”
กึก !
เอวาได้ยินเสียงอีกฝ่ายกลั้นหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันสั่นเทา
“ขะ..ขะ…ขอโทษค่ะ”
“???”
เอวาไม่คิดเลยว่าอยู่ๆเสียงสั่นกลัวของอีกฝ่ายจะกลายเป็นน้ำเสียงสำนึกผิด
“หนู…รบกวนเวลาพักผ่อน…ขอโทษค่ะ”
“ไม่ๆๆ ไม่ใช่อย่างงั้นซักหน่อย แค่เห็นเธอเล่นดนตรีมานานหลายชั่วโมงแล้ว ก็เลยเป็นห่วง…. ถ้าไม่พักบ้างเดี๋ยวก็เสียงแหบเอาหรอก”
“…………………”
โซนาต้าเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะค่อยๆเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา
“แต่…หนู….ทำได้แค่นี้”
“???”
“สิ่งที่หนูช่วยทุกคนได้…มีแค่การเล่นฟลูต”
แม้จะเชื่องช้า แต่เด็กสาวก็ค่อยๆรวบรวมคำพูดที่ไม่ประติดประต่อให้กลายเป็นประโยค
“ต่อสู้ก็ไม่ได้เรื่อง…..สนับสนุนก็ไม่ไหว….เหลือแค่เล่นดนตรี คือสิ่งเดียวที่หนูทำได้”
“………………”
“อะ อะ อยากเป็นกำลังให้ทุกคนค่ะ….ไม่อยากเป็นแค่คนที่ถูกปกป้อง”
“……………….”
“เพราะอย่างงั้น……เพราะงั้น”
น้ำเสียงที่ฟังดูกล้าๆกลัวๆ มีแค่ท่อนท้ายเท่านั้นที่หนักแน่น
“จะร้องเพลงต่อไปค่ะ !!!”
ความมุ่งมั่นที่สื่อผ่านน้ำเสียงทำให้เอวาคลี่ยิ้มออกมา จนเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมอีกฝ่าย
“ทางนี้เหลือแซนวิสอยู่หนึ่งคู่”
“คะ ???”
ดูเหมือนว่าเอวาจะคิดตื้นมากเกินไป ถึงจะตัวเล็กเพียงแค่นี้ แต่ พริ้นเซส โซนาต้า ก็เป็นจอมเวทย์
จิตใจที่ปราถนาปกป้องผู้อื่นของเด็กสาว มันแรงกล้าไม่แพ้ของเอวา
เพราะงั้นถ้ายุ่งกับชีวิตอีกฝ่ายมากเกิน มันก็คงเป็นการเสียมารยาทกับความพยายามของเธอ
“รู้สึกอิ่มพอดี เลยว่าจะหาคนช่วยกิน โซนาต้าหาอะไรกินไปบ้างรึยัง ?”
“คือเรื่องนั้น—”
จ๊อก…
เสียงท้องร้องฟังดูน่ารักให้คำตอบแทนเธอเรียบร้อย
“ฮ่าๆ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะเอาไปให้นะ”
“แต่….”
“กองทัพต้องเดินด้วยท้องสิ ไม่ต้องมาบอกว่าไม่จำเป็นสำหรับคนที่ไม่ช่วยสู้เลยนะ ทุกๆคนต่างต่อสู้ในรูปแบบของตัวเองกันทั้งนั้นนั่นแหล่ะ”
โซนาต้าเงียบไปพักใหญ่
เสียงสายลมไหลผ่านหูฟัง เดาไม่ถูกเลยว่าเด็กคนนั้รจะตอบว่าอะไร จนกระทั่งน้ำเสียงใสๆดังขึ้น
“พี่แม่มดอัสนี—”
“???”
“ขะ..ขอบคุณนะคะ”
“อื้ม !”
หลังการสนทนาอันเรียบง่าย เอวาก็ตัดสายทิ้งไป
เธอกระโดดลงจากชิงช้าสวรรค์และออกวิ่งไปตามทางถนนปูด้วยอิฐแดงที่ทอดยาวออกไปยังทางออก
มือข้างหนึ่งเคาะหูฟังเพื่อทำการเชื่อมต่อกับมาริซ่าเพื่อแจ้งให้ทางนั้นรู้ว่า เดี๋ยวเธอจะออกไปข้างนอกซํกพัก หากกลับมาไม่เจอใครก็ไม่ต้องตกใจ
ส่วนมืออีกข้างก็เปิดหน้าจอเมจิคัลโฟนเพื่อส่องแสงยามค่ำคืน
ซวบ !
เสียงฝีเท้าของเธอดังก้องภายในสวนสนุกที่เงียบสงัด อยู่ที่นี่คนเดียวๆนานๆอาจหลอนจนเป็นบ้าได้เลยทีเดียว
ตึกๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงย่ำเท้ารัวๆดังขึ้นมา
“เอ๋ ?”
แต่พอคิดไปคิดมา นั่นมันเสียงเท้าคนอื่นไม่ใช่ของเธอไม่ใช่หรอ
“กรรรรรรรร !!!”
เสียงคำรามที่ดังแสบแก้วหูมาจากทางด้านหลัง
เอวารีบหันหลังกลับไปเพราะรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา
ทว่า ภาพที่เธอเห็นในตอนที่หัวสมองกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ มันก็คือกรงเล็บขนาดใหญ่ที่กำลังตะปปลงมาที่ใบหน้าของเธอ
ฉัวะ !
สิ้นเสียงของแหลมเสียดแทงผิวหนังอย่างรุนแรง
— เลือดสีแดงสดก็สาดกระเซ็นและย้อมพื้นอิฐให้กลายเป็นสีแดง