เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 25 พลังเเห่งเสียงเพลง
# วิซิเบิล แฮทเกิล#
ท่าไม้ตายของกิกันติคทำให้ฝุ่นทรายฟุ้งกระจายไปทั่วเมือง แน่นอนว่า แฮทเกิล และ โซนาต้า ที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งใกล้สุดก็โดนลูกหลงไปเต็มๆ
“แค่กๆ”
“ไหวรึเปล่า ?”
“ฮึก ! พอได้ค่ะ”
โซนาต้าที่กลืนทรายเข้าไปเฮือกใหญ่แถมโดนคลื่นลมกรรโชกพัดตกจากตึกก็ถึงกับน้ำตาซึม
โชคดีที่ตอนนั้น ตั้งสติเอาไว้ได้ทันแล้วเอาเท้าลง เธอก็เลยได้รับบาดเจ็บแค่ข้อเท้าแพลงเล็กน้อย
แฮทเกิลที่เห็นเพื่อนเจ็บก็รีบส่งน้ำยารักษาซึ่งบรรจุอยู่ในขวดแก้วรูปชมพู่ไปให้
หลังองค์หญิงตัวน้อยกลืนน้ำยารักษาที่เป็นของเหลวสีแดงจนหมดขวด อาการบาดเจ็บทั้งหลายก็หายไปเป็นปลิดทิ้งและเธอก็สามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง
“โฮกกกก”
ปัจจุบันทั้งสองคนกำลังเฝ้าเสาอากาศที่ติดตั้งอยู่บนชั้นดาดฟ้าของห้างสรรพสินค้าสูง 4 ชั้น
เมื่อชะโงกหน้าออกไป…..บนท้องถนนที่ตัดผ่านห้างก็ปรากฎร่างของออร์คที่กำลังลาดตระเวนอยู่ราวๆสี่ถึงห้าตัว
ก่อนการต่อสู้ พวกเธอทั้งคู่ก็ได้แบ่งงานกันเป็นฝ่ายป้องกันและฝ่ายโจมตี—
โซนาต้าจะปกป้องเสาอากาศอยู่บนดาดฟ้า ส่วนแฮทเกิลจะคอยเก็บกวาดพวกมอนสเตอร์ที่อยู่ในเขตล่าของพวกเธอ
“ถ้าไม่ไหวก็รีบติดต่อมานะ”
เมื่อแฮทเกิลเห็นว่าโซนาต้า อาการดีขึ้น เธอก็หยักหน้าให้เด็กสาวก่อนจะกระโดดลงไปเกาะตามราวจับบันไดหนีไฟข้างอาคาร ทิศทางที่เธอมุ่งออกไปคือออร์คหลงฝูงตัวหนึ่งซึ่งเดินวนอยู่แถวถังขยะข้างทางหนีไฟชั้นล่างสุด
แก๊งๆๆๆๆ
เสียงเสียดสีกับราวจับทำจากเหล็กทำให้ออร์คหลงฝูงตนนั้นเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน
“???”
เงาดำๆที่ร่วงตกลงมาอย่างรวดเร็วทำให้ ร่างที่ใหญ่โตตั้งกาดขึ้นมาไม่ทัน
ฉัวะ !
ชั่วพริบตา ที่เงาดำๆนั้นพุ่งผ่านร่างของมันไป ความรู้สึกเย็นยะเยือกที่ลำคอก็ทำให้มันลูบไปที่คอของตัวเองด้วยความงุนงง
พรวด !
เลือดจำนวนมากไหลทะลักออกมาจากรอยเฉือนที่ลำคอ มันมองมือที่ชุ่มเลือดด้วยสติที่พร่าเรือนก่อนจะล้มลงกับพื้น
โครม !!!
สัตว์ประหลาดตัวเขียวถึงกับหมดสติไปในสภาพที่เส้นเลือดใหญ่บริเวณลำคอโดนตัดจนขาด
ข้างกายของมันปรากฎร่างของหญิงสาวนักมายากลที่โยนมีดปลอกผลไม้เปื้อนเลือดสามเล่มสลับกันไปมาระหว่างมือทั้งสองข้างอย่างคล่องแคล่วราวกับเล่นกล
เธอเลียริมฝีปากที่เปื้อนเลือดของตัวเองและประดับรอยยิ้มบางๆไว้บนหน้า ก่อนจะบรรจงแทงมีดซ้ำลงไปที่อกขวาของออร์คอย่างเบามือ
กึก !
ร่างของมันกระตุกเฮือกใหญ่ก่อนจะสิ้นชีพย์ลงเพราะมีดปลอดผลไม้
“โฮกกกกกก”
ออร์คตัวหนึ่งได้ยินเสียงล้มลงของพวกพ้อง มันเลยรีบวิ่งเข้ามาดูแล้วพบกับนักมายากลสาวที่ดึงมีดออกมาจากอกของออร์คซึ่งนอนตายอยู่ที่พื้น
“อ้าวๆ เสียงดังไปหรอเนี่ย ?”
เธอค่อยๆเอียงหัวมาข้างหลังเล็กน้อยราวกับหนังสยองขวัญ ออร์คที่เห็นใบหน้าเลอโฉมซึ่งเปื้อนเลือดอย่างน่าขนลุกก็สะดุ้งเฮือกใหญ่
มันตัดสินใจกระชับขวานในมือแน่นและง้างเข้ามาฟันใส่หญิงสาวในทันที
“น่าๆ ใจเย็นก่อน”
ทว่า ก่อนที่ขวานเล่มยักษ์จะผ่ากลางลงมาที่ศีรษะของเธอ แฮทเกิลกลับยกหมวกขึ้นมา แล้วสะบัดใส่ขวานเล่มยักษ์ในแนวนอน
พรึ่บ !
“โฮก !?”
ทันใดนั้นเอง ขวานของมันก็หายออกไปจากมือ ออร์คมองมือที่ว่างเปล่าของตัวเองด้วยความสับสน
— ทั้งๆที่เมื่อกี้กำลังถือขวานอยู่ แต่มันหลุดออกจากมือไปตอนไหนกัน ?
นั่นคือสิ่งที่ออร์คคิด
“กำลังหาเจ้านี้อยู่งั้นหรอ ?”
ถ้าอยากรู้ล่ะก็ ทางนี้ก็จะแถลงไข แฮทเกิลจะบอกให้เอง
เสียงของหญิงสาวตรงหน้า ทำให้มันเงยหน้ามองด้วยความสงสัย
สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง เมื่อพบว่า นักมายากลสาวกำลังถือขวานคู่ใจของมันอยู่
“โฮก !?”
ในขณะที่มันกำลังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า แฮทเกิลก็สวมหมวกกลับไปอีกครั้ง ก่อนจะเอามือสองข้างจับขวานโยนกลับไปให้ออร์คอย่างส่งๆ
พอเห็นอาวุธของตัวเองลอยเข้ามาใกล้ ออร์คก็รีบยื่นมือออกไปรับ
หมับ !
มันคว้าขวานเอาไว้ได้ทันอย่างฉิวเฉียด ก่อนที่ขวานคู่ใจจะตกพื้น
ฉัวะ !
ทว่า ชั่วพริบตาที่มันแสดงสีหน้าโล่งอก มีดปลอกผลไม้เล่มหนึ่งก็พุ่งเสียบทะลุคอหอย
“???”
ออร์คผู้น่าสังเวชมองไปข้างหน้าด้วยดวงตาอันว่างเปล่า ก่อนจะเอนหลังล้มหัวฟาดพื้นและตายไปทั้งๆอย่างงั้น
“เสร็จไปสอง—”
แฮทเกิลหยิบผ้าขาวขึ้นมาเช็ดคราบเลือดบนใบมีด ก่อนจะหยิบเมจิคัลโฟนขึ้นมา
“ขึ้นไปทางเหนือ 500 เมตร มีออร์คห้าตัว….โล่สอง หอกสอง ขวานหนึ่ง…ตายจริง จัดขบวนทัพกันอยู่หรอเนี่ย ?”
พอเห็นจุดแดงๆบนแผ่นที่รวมตัวกันเป็นกระจุก นักมายากลสาวก็คลี่ยิ้มบางๆ
ตึก
….เธอออกวิ่งไปข้างหน้า แล้วหยิบหมวกออกมาจากศีรษะ
บนท้อนถนนที่ทอดยาวออกไป ปรากฎรถขนขยะอยู่หนึ่งคัน
เธอรีบวิ่งผ่านรถคันนั้นแล้วยื่นหมวกของเธอไปสวมเข้ากับแผ่นป้ายทะเบียนท้ายรถ
พรึ่บ !
ทันใดนั้นเอง รถทั้งคันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งใดอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก
“อยู่นี่เอง—”
เมื่อนักมายากลมองออกไปกลางสี่แยกที่อยู่ไม่ไกล เธอก็พบกับออร์คห้าตัวที่เกาะกลุ่มกันอย่างเป็นระเบียบ
หญิงสาวที่เห็นเป้าหมายก็ไม่รอช้า วิ่งเข้าหาพวกมันตรงๆ
“โฮกกกกกกก”
ออร์คโล่รีบออกมาตั้งโล่อยู่แถวหน้าพร้อมออร์คขวาน ส่วนออร์คหอกก็หลบไปอยู่ข้างหลัง
ซวบ !!!
ทันทีที่เข้าประชิดกับโล่ หอกสองเล่มก็พุ่งผ่านออกมาทางช่องว่าง เธอเอี้ยวตัวหลบอย่างว่องไวแล้วเอามือดันพื้นเพื่อออกแรงส่งร่างของตนไปทางด้านขวา
ตึ้ง !
ขวานที่พุ่งมาจากทางด้านซ้ายก็กระแทกกับพื้นจนเกิดรอยร้าว แฮทเกิลผู้พริ้วไหวปานผีเสื้อก็แสดงมายากลด้วยการวางปลายเท้าลงบนคมขวาน ก่อนจะก้าวไปบนด้ามจับและออกแรงกระโดดสุดแรงจนด้ามจับขวานถึงกับหักออกเป็นสองท่อน
แควก !
ตัวเธอที่กระโดดกลางอากาศเหนือหัวพวกมันก็เคาะหมวกในมือของตัวเองเบาๆสองสามที
เงาเล็กๆที่ลอยเหนือหัวก็เร่งเร้าให้พวกออร์คเงยหน้าขึ้นฟ้าเพื่อไม่ให้คลาดสายตาจากศัตรู
ทว่า เพียงเสี้ยววิที่สลับการมองเห็นจากบนพื้นขึ้นไปบนฟ้า เงาเล็กๆของหญิงสาวก็ได้แปรเปลี่ยนเงาขนาดใหญ่ซ่ะอย่างงั้น
“โฮก !?”
แผล่ะ !
ภาพสุดท้ายที่พวกมันเห็นคือ รถขนขยะขนาดใหญ่ที่ตกลงมาทับกะโหลกของพวกมันจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
โครมมม
สิ้นเสียงโลหะที่กระจัดกระจายออกเป็นชิ้นๆและร่างของพวกออร์คที่แบนราบเป็นหมูบด ผู้ยืนอยู่เหนือจุดสูงสุดของซากรถขนขยะคือนักมายากลสาวที่ค่อยๆสวมหมวกกลับมาแล้วหยิบเมจิคัลโฟนขึ้นมาดูแผนที่
“คราวนี้ก็ไปทางใต้งั้นหรอ ?”
พอเห็นจุดแดงๆบนแผนที่ซึ่งแสดงจำนวนและตำแหน่งของศัตรู นักมายากลสาวก็ค่อยๆก้าวไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา มือขวาที่ว่างอยู่ก็หยิบหมวกออกมาสวมให้กับเสาไฟฟ้าที่ตั้งตรงอยู่ข้างทาง
เสาสูงสี่เมตรที่เคยตั้งอยู่ก็หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก ทั้งๆที่ความจริงแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากความสามารถของแฮทเกิล อย่าง ทาเล้นท์ ที่สามารถ ซ่อนสิ่งของทุกชนิดไม่จำกัดขนาดไว้ภายภายในหมวกประจำตัวของเธอเอง
แน่นอนว่าหลังจากนั้นเหยื่อรายใหม่ของเธอก็ถูกเสาไฟฟ้าทับจนตายเฉกเช่นเดียวกับออร์คกลุ่มก่อนที่โดนรถขนขยะบดขยี้นั่นเอง
หลังจากนั้นแล้วก็ต่อๆไป ของชิ้นใหญ่ข้างทางก็ถูกเก็บไว้ในหมวก ก่อนจะถูกโยนเข้าใส่ร่างของพวกออร์ค
“~ ♪”
ท่ามกลางการต่อสู้นองเลือดที่ย้อมพื้นถนนสองข้างทางให้กลายเป็นสีแดง เสียงเป่าฟลูตที่ดังคลออยู่ในหู ก็ทำให้ไหล่ที่ตึงเปรี๊ยะผ่อนคลายขึ้นมา ความรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อตัวหลังขยับร่างกายก็หายไปราวกับได้นั่งพักมาเป็นเวลานาน เธอรู้สึกกระปี้กระเป่าตลอดเวลาจนอยากจะขยับแขนขาต่อไปเรื่อยๆไม่หยุดพัก ตอนนี้เธอรู้สึกมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมากขึ้นราวกับว่าตัวเองในตอนนี้จะสามารถทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งกำจัดจอมมาร
อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลมาจาก เสียงเพลงที่บรรเลงโดยฟลูตของโซนาต้า
แม้เด็กสาวคนนั้นจะทำประโยชน์อะไรได้ไม่มากในการต่อสู้ตัวต่อตัว กระนั้น สำหรับสงครามที่พวกพ้องรู้สึกท้อแท้สิ้นหวีง เสียงเพลงของเธอคือน้ำหล่อเลี้ยงชั้นยอดที่ผลักดันให้เพื่อนร่วมทีมสามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้
มันไม่ได้เว่อเกินจริงเลย หากจะบอกว่า เด็กสาวคนนั้นคือ องค์หญิงแห่งเสียงดนตรี
นั่นคือสิ่งที่แฮทเกิลซึ่งกำลังยิ้มมุมปากคิด ขณะทุ่มตู้ ATM ใส่หัวของออร์คผู้โชคร้าย
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
# พริ้นเซส โซนาต้า #
ไม่ว่าเมื่อไหร่ ซางาระ ฮิเมโกะ ก็ยังคงรู้สึกว่าตนเองขี้ขลาดอยู่เสมอ
ในขณะที่พวกพ้องสู้ตาย ตัวเธอกลับหลบอยู่ในสถานที่ปลอดภัยและทำได้เพียงเฝ้าดูอยู่ห่างๆ
หากอยู่ๆมีกอบลินกระโดดมาแตะบ่าจากข้างหลัง เธอก็มักจะฉี่ราดด้วยความตื่นตกใจ
ถ้ามีออร์คมายืนอยู่ตรงหน้า เธอก็ถึงกับขาสั่นขยับไปไหนไม่ได้ด้วยความหวาดกลัว
และเมื่อใดที่ไวเวิร์นบินเข้ามาใกล้ เธอก็จะจินตนาการถึงความตายอันน่าสิ้นหวังของตัวเองแล้วล้มหมดสติไปทั้งๆอย่างงั้น
เพราะเธอมีลักษณะเช่นนั้น ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เธอก็ทำได้เพียงให้ผู้อื่นปกป้องอยู่เสมอ จนสุดท้ายพวกพ้องทุกคนที่ปกป้องเธอต่างพากันล้มหายตายจากไปจนเหลือแค่เธอเพียงคนเดียว
ความทรงจำอันเรือนลางที่ตามหลอกหลอน ย้ำเตือนให้เธอตระหนักว่า ในวันที่พวกพ้องปาร์ตี้เก่าถูกกอบลินฆ่าตาย ตัวเธอนั้นทำได้เพียงแอบอยู่ในที่ซ่อนและปล่อยให้พวกเขาตายต่อหน้าต่อตา
มีเพื่อนคนหนึ่งมองเห็นตัวเธอที่ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้และพยายามยื่นมือมาขอความช่วยเหลือ ทว่า ฮิเมโกะที่หวาดกลัวสุดขีดกลับเบือนหน้าหนีและทำเป็นมองไม่เห็น
เธอไม่กล้าจินตนาการเลยว่า ในวาระสุดท้าย เพื่อนของเธอจะโกรธเกลียดชิงชังเธอรึเปล่า และ เธอก็พยายามลืมทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขาแล้วเริ่มต้นใหม่กับเพื่อนใหม่ของเธออย่าง วิซิเบิล แฮทเกิล แทน
ความเจ็บปวดที่หนักอึ้งเกินจะทานทนทำให้เธอตัดสินใจหยิบฟลูตขึ้นมา
คำภาวนาได้แปรเปลี่ยนเป็นบทเพลง
— แด่เพื่อนที่จากไป ขอให้พวกเขาได้โปรดยกโทษให้กับเธอ
— และสำหรับผู้มีชีวิตอยู่…วิซิเบิล แฮทเกิล ได้โปรดมีชีวิตต่อไป ได้โปรดรอดกลับมาให้ได้ ขอให้เธอปลอดภัย ขอให้คุณอยู่ข้างๆหนูตลอดไป ขอภาวนาให้พี่สาวกลับมายิ้มให้หนูเหมือนกับทุกครั้ง
“~ ♪”
ความเศร้าโศกและความหวัง อารมณ์อันหลากหลายได้หลอมลวมกันกลายเป็นเสียงดนตรีที่ชวนให้ผ่อนคลาย
ไม่มีใครรู้ว่าลึกๆแล้วภายในหัวใจของเธอที่กำลังบรรเลงเสียงดนตรีนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
ไม่มีใครรู้ว่าร่างเล็กๆนี้กำลังแบกรับบาปอันหนักหนาที่เหนือกว่าคนทั่วไปจะนึกถึง
ยิ่งอารมณ์ของเธอรุนแรงมากขึ้นเท่าไหร่ เสียงเพลงของเธอก็จะทรงพลังมากขึ้นเป็นทวีคูณ โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นอารมณ์ด้านลบหรือด้านบวก
ทาเล้นท์ของเธอไม่สนว่าเธอจะรู้สึกยังไง หลักการของมันมีแค่การเปลี่ยนแปลงอารมณ์อันรุนแรงให้กลายเป็นบทเพลงที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
หากจินตนาการถึงความทรงจำดีๆในชีวิต อารมณ์ที่เปี่ยมด้วยความสุขก็จะถูกปลดปล่อยออกมา ทว่า มันก็ไม่รุนแรงเทียบเท่ากับ อารมณ์เศร้าโศกยากสูญเสียเหล่าคนสำคัญ เพราะงั้นเพื่อแสดงประสิทธิภาพออกมาให้มากที่สุด เธอจึงต้องนึกถึงแต่เรื่องแย่ๆในชีวิตทำให้ทุกครั้งที่เธอเป่าแฟรี่ฟลูต อารมร์ที่พรั่งพรูออกมาก็จะทำให้เธอไม่อาจกลั้นหยดน้ำที่ติดอยู่แถวหางตา
ว่ากันว่า หากแจ้งความจำนงค์ ‘เลิกเป็นจอมเวทย์’ มันก็จะมีคนจากกระทรวงเวทมนต์มาช่วยลบความทรงจำเกี่ยวกับจอมเวทย์ทั้งหมดไปให้ ซึ่งมันก็จะช่วยทำให้เธอกลับไปเป็นเด็กสาวธรรมดาๆ และ ลืมการต่อสู้อันเลวร้ายไปทั้งหมด
ความจริง ฮิเมโกะ ก็คิดที่จะหนีอยู่บ่อยครั้ง ทว่า พอกลับไปเห็นแม่ของตัวเองที่นอนติดเตียงในสภาพที่แค่กุมมือของเธอก็ยังทำไม่ได้ องค์หญิงแห่งเสียงเพลงผู้นี้ก็จักต้องบรรเลงบทเพลงด้วยแฟรี่ฟลูตต่อไปจนกว่าแม่ของเธอจะตายหรือไม่ก็หายดี…หรือ บางที ซักวันเธออาจจะตายไปก่อนก็เป็นได้
โชคยังดีที่ ช่วงหลังมานี้ มีจอมเวทย์ใจดีที่แทนตัวเองว่า ‘P ซัง’ จ้างเธอไปบันทึก MV ที่เมืองต่างๆพร้อมกับให้ค่าจ้างเป็นเงินจำนวนมาก แล้วเขาก็ยังเสนอวิธีรักษาแม่ของเธอด้วยเวทมนต์ เธอเลยฝากให้เขาดูแลแม่ของเธอด้วยความหวังว่าจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
แล้วก็ MV ที่อัดไว้แล้วอัพลงเน็ตก็ทำให้เธอดังขึ้นมานิดหน่อย P ซังคนนั้นก็แนะนำว่า ถ้าพยายามมากกว่านี้ ซักวันหนึ่งเธออาจได้เป็นไอดอล ไม่ก็ ดารา แล้วจะสามารถหาเงินได้เยอะๆมาเลี้ยงดูตัวเองและคุณแม่
แสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในชีวิตทำให้ฮิเมโกะลืมตาอ้าปากได้ ทว่า ยิ่งแสงสว่างมีมากเท่าไหร่ เมื่อหันหลังกลับไปก็จะพบกับเงาที่ทอดยาวออกไปมากตามเท่านั้น
หากมองเข้าไปในเงาก็จะมองเห็นเพื่อนๆที่ถูกทอดทิ้ง…
ฮิเมโกะไม่อาจตอบแทนอะไรพวกเขาได้เลย นอกจากเป่าฟลูตให้ทุกคนฟัง
ทุกๆคนต่างมีความสุขเวลาได้ยินเสียงฟลูตของเธอ แต่หัวใจของเธอที่กำลังบรรบทเพลงกลับเจ็บปวดร้าวราวกับกำลังตายทั้งเป็น
เธออยากมีความสุข แต่ก็มักจะคิดอยู่บ่อยๆว่าคนอย่างเธอสมควรได้รับสิ่งดีๆแล้วงั้นหรอ ?
พอเป่าฟลูตด้วยอารมณ์ที่เริ่มจะตีกัน ประสิทธิภาพก็ค่อยๆลดต่ำลง
“อึก ! นึกถึงเรื่องแย่ๆเข้าไว้”
เพราะงั้น แม้จะไม่ชอบใจ แต่เธอก็พยายามดูถูกตัวเอง และ นึกเรื่องแย่ๆทั้งหมดในชีวิตออกมาจนน้ำตาคลำ
— ณ ดาดฟ้าห้างสรรพสินค้าสูง 4 ชั้น ริมระเบียงก็ปรากฎร่างของนางฟ้าตัวน้อยผู้กำลังบรรเลงฟลูตเทพธิดา ใบหน้ากลมเล็กอันสงบนิ่งแต่งแต้มด้วยหยาดน้ำตาที่สะท้อนแสงแดดจนเปร่งประกาย ภาพที่เห็นมันช่างงดงามเหนือล้นราวกับทูตสวรรค์ที่ถูกส่งลงมาเพื่อขับกล่อมบทเพลงให้หมู่มวลมนุษย์ แสงสีชมพูจางๆปกคลุมเรือนร่างอันบอบบาง ปีกสีขาวเรือนรางสยายออกข้างหลังราวกับเป็นพื้นหลังที่แต่งแต้มตำนานขององค์หญิงแห่งเสียงเพลง
พริ้นเซส โซนาต้า ก็ยังคงบรรเลงบทเพลงของเธอต่อไป โดยที่ในใจนั้นปราถนาการปลอบโยนของวิซิเบิล แฮทเกิล ทุกวินาที
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
# เอ็มเพรส มารีน #
ฉัน….เผลอกลืนทรายเข้าปาก
ทั้งๆที่อยู่ห่างกันตั้งไกล แต่ท่าไม้ตายของกิกันติค ไจแอนท์ก็ทำให้ทรายกระจายฟุ้งไปทั่วเมือง
“เฮ้อ……”
แต่อย่างน้อยในตอนที่กำลังรู้สึกอารมณ์เสีย เสียงเพลงที่ดังคลออยู่ในหูฟังก็ทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย
“~ ♪”
ดูจากประเภทเครื่องดนตรีแล้ว มันคือ ฟลูต นี่คงเป็นความสามารถของบทเพลงที่บรรเลงโดยโซนาต้าจังไม่ผิดแน่ๆ
ถึงแม้ตอนแนะนำตัว เด็กคนนั้นจะดูกล้าๆกลัวๆ แล้วบอกว่าตัวเองทำได้แค่เป่าฟลูต จนดูเหมือนเธอไม่มีประโยชน์อะไรกับอีเว้นท์นี้ ทว่า ประโยชน์ของเธอก็มาแสดงผลให้เห็นในตอนที่กิกันติค ไจแอนท์ทำให้พวกพ้องอารมณ์เสียจากการโดนลูกหลง
ตอนแรก สวิมก็ทำท่าจะโวยวายยกใหญ่ แต่พอได้พังเสียงเพลงของโซนาต้าจัง เธอก็สงบลงแล้วกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
ส่วนวินดี้ที่เคยพยายามหาเรื่องด้วยการบอกว่า เสียงของกิกันติคมันหนวกหูน่ารำคาญ เธอกลับปล่อยผ่านเรื่องที่สำคัญกว่าอย่างเรื่องที่สวิมโดนลูกหลงจากท่าไม้ตายของเขาไปซ่ะอย่างงั้น
ราวกับว่าบทเพลงของโซนาต้าจังคือบทเพลงแห่งสันติภาพที่ช่วยสยบความขัดแย้ง
ท่ามกลางการรวมกลุ่มของจอมเวทย์ที่พร้อมจะบวกกันทุกเมื่อและเต็มไปด้วยความไม่ชอบหน้าซึ่งกันและกัน บทเพลงของเธอเป็นดั่งกาวประสานใจที่ช่วยให้ทุกคนยังเป็นทีมเดียวกันอยู่
เพราะงั้นการที่จะบอกว่า ทาเล้นท์ของเธอไร้ประโยชน์นั้น มันช่างผิดถนัด
หากใช้งานดีๆอย่างเป็นระบบเช่นให้เธอไปร้องเพลงปลุกใจก่อนเริ่มสงคราม ผู้คนก็คงจะพร้อมจับดาบสู้ตายถวายชีวิตโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัว
อย่างเช่นตัวฉันในตอนนี้เอง จากตอนแรกที่กำลังกังวลเรื่องเอวา ฉันก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาและเริ่มคิดว่า ระดับ เอวาคงไม่เป็นอะไรหรอก
พอความกังวลหายไป หลังจากนั้นฉันก็ขยับร่างกายได้คล่องแคล่วมากขึ้น
ฉันสามารถกระโดดไปตามตึกแล้วยิงอควาบุลเล็ตใส่ออร์คอย่างแม่นยำ
ต่อให้มันมีจำนวนรวมกันถึง 10 ตัว ฉันก็ไม่จำเป็นต้องลอบฆ่าจากข้างหลัง หากเเต่พุ่งไปเผชิญหน้าตรงๆแล้วค่อยๆยิงอควาบุลเล็ตอย่างใจเย็น
กระสุนน้ำเข้าเป้าทุกนัด และ ใช้เวลาเร็วขึ้นเกือบเท่าตัวในการกำจัดมอนสเตอร์
เผลอแป๊ปเดียวฉันก็ฆ่าได้เป็นสิบ และพร้อมจะออกล่าต่อทันทีโดยไม่ต้องหยุดพัก
เพราะได้เสียงเพลงที่ชวนให้ผ่อนคลายนั้น ฉันเลยไม่รู้สึกว่าเหนื่อย แม้จะสู้ติดต่อกันนานเกินหนึ่งชั่วโมงแล้วก็ตาม
รู้สึกดีแปลกๆจนกังวลว่า นี่มันเข้าข่ายล้างสมองรึเปล่า ทว่า พอได้ยินเสียงเอวาฮัมเพลงตามอย่างอารมณ์ดีผ่านหูฟัง ฉันก็ไม่คิดว่านั่นคือเรื่องที่สำคัญมากเท่ากับเอวาที่ตอนนี้เริ่มจะประมาท
ฉันรีบปรับเปลี่ยนช่องทางการสื่อสารของหูฟังเป็นส่วนตัว โดยติดต่อไปยังเอวา
แน่นอนว่าระหว่างนั้น ฉันก็เล็งคฑาไปที่ออร์คแล้วเสกกระสุนน้ำยิงหัวมัน
“ซ่า…..ติดต่อมา มีอะไร มารีน ?”
พอได้ยินเสียงใสๆจากฟูฟังขนาดเล็ก ฉันก็อมยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดออกมา
“แม่มดอัสนี….เธอลืมปิดช่องสัญญญาณรวมรึเปล่า เสียงฮัมเพลงของเธอติดมาด้วยนะ”
“—- !!!”
เอวาเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะได้ยินเสียงร้องว่าตายแล้วๆ
ผ่านไปซักพัก สัญญาณเครื่องติดต่อของเธอก็เปลี่ยนจากกระจายเสียงไปหาทุกคนมาเป็นสื่อสารกับฉันแค่คนเดียว
“ซ่า….ได้ยินงั้นหรอ ?”
“ร้องเพลงเพราะดีนะ”
“อุก ! ช่วยลืมๆมันไปทีเถอะ— ธันเดอร์โบลท์ !!!”
เปรี้ยง !
ฉันได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังมาจากที่อีกฟากของคู่สนทนา
“น่าจะยาก เสียงของเธอมันติดหูไปแล้วล่ะ ถ้าปรับเสียงพูดปกติที่ชอบวี๊ดว๊ายเป็นเสียงฮัมเพลงแบบเมื่อกี้ มันก็ดีเหมือนกันนะ เพราะกว่าเยอะเลย— อ๊ะ ! อควาคัตเตอร์ !!!”
ฉัวะ !
ออร์คตัวหนึ่งหัวขาด
ฉันขยับคฑาไปพลางไล่ล่าพวกออร์คที่วิ่งหนีกันไปคนล่ะทาง
“ยุ่งน่า ฉันจะพูดอะไร มันก็เรื่องของฉัน…เธอเป็นแม่ของฉันรึยังไงเนี่ย ?”
“ฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้นซักหน่อย คิดซ่ะว่าเป็นคำแนะนำของคุณพี่สาวก็ได้”
“น่ารำคาญชะมัด — ธันเดอร์โบลท์ !!!”
เปรี้ยง !!!
“ที่บอกว่าน่ารำคาญ นี่หมายถึง ฉันหรืออร์คที่จัดการไปเมื่อกี้ ?”
“ทั้งสองอย่างนั่นแหล่ะ — ธันเดอร์โบลท์ !!!”
เปรี้ยง !!!
“หรอ อควาบุลเล็ต !!!……..จะว่าไปทางนั้นเป็นไงบ้าง ?”
“ซ่า……..ทางนี้เสาอากาศตั้งอยู่กลางสวนสาธารณะ แค่ฉันยืนอยู่เฉยๆในเขตบาเรียป้องกัน พวกออร์คก็เดินเข้ามาชนกับบาเรียให้ฉันเชือดนิ่มเฉยเลย”
“ก็ดีแล้วนี่นา”
“ไม่เห็นจะดีตรงไหน !!! ไม่ได้ฝึกฝีมือเพิ่มเลยอ่ะ”
“น่าๆ ปลอดภัยก็ดีแล้ว…จะว่าไป ปกติแล้ว ระหว่างอีเว้นท์มีพักกินข้าวรึเปล่านะ”
“ก็ไม่ได้มีเวลากำหนดแน่ชัด…แต่ถ้าช่วงไหนมอนสเตอร์น้อยๆก็ไปหลบหลังบาเรียแล้วกินอะไรง่ายๆให้เสร็จไวๆ …อ๊ะ !!!”
“มีอะไรรึเปล่า ?”
“เพราะตื่นสาย วันนี้เลยไม่ได้เตรียมอะไรมารองท้องเลยอ่า”
“แหมๆ ตายจริง แย่หน่อยเนอะ”
“คงต้องทนหิวจนหมดอีเว้น์แน่ๆเลย”
“แบบนั้นไม่ดีเลย ถ้าท้องว่างจะหมดแรงเอาได้ ….เฮ้อ เธอควรจะตั้งนาฬิกาปลุกและวางแผนชีวิตให้ดีกว่านี้นะ”
“ไม่ต้องบอกเรื่องที่รู้อยู่แล้วให้ฟังก็ได้ นี่เธอเป็นแม่ฉันหรือไงเนี่ย !? ”
“โชคดีที่ฉันเตรียมแซนวิสมาเผื่อ เดี๋ยวถ้าว่างๆแล้วมาเอาไปด้วยล่ะ”
“สรุปว่า นี่เธอเป็นแม่ฉันจริงๆใช่ไหม !? ถึงขนาดเตรียมข้าวไว้ให้เลยเรอะ !?”
“แล้วจะเอาหรือไม่เอาล่ะ ?”
“อึก ! เอาค่ะ !!! เช้านี้ฉันยังไม่ได้กินข้าวเลยยยย ถ้าไม่ได้แซนวิสที่เธอทำมาให้ ฉันต้องอดตายแน่ๆ”
“โอเค ! ตามนั้นละกัน~ ♪”
ฉันฮัมเพลงตามเสียงฟลูตเล่นๆแล้วฟาดคฑาใส่หัวของออร์คที่พุ่งเข้ามา จากนั้นก็ใช้ขาถีบออร์คอีกตัวที่กระโดดมาจากด้านหลัง ส่วนมืออีกข้างก็เอาปืนพกจ่อปากของออร์คที่วิ่งมาทางด้านซ้าย
ปังๆๆๆ
สิ้นเสียงกัมปนาทและแสงสว่างวาบภายในปากของออร์ค สิ่งมีชีวิตตัวเขียวก็ล้มลงกับพื้น
ในขณะที่เสียงฟลูตอันแสนไพเราะเสนาะหูกำลังบรรเลง ฉันก็ได้ยินเสียงวินดี้พูดขึ้นมา—
“แม่มดอัสนีไม่ฮัมเพลงต่อแล้วหรอ ???”
ตุบ !
ดูท่าวินดี้จะมีอารมณ์ขันกว่าที่คิด
แล้วก็ฉันได้ยินเสียงทุบกำแพงดังมาจากสายของเอวา ฉันเดาว่าเธอกำลังดิ้นพล่านด้วยความอายอยู่ที่สวนสาธารณะแน่ๆค่ะ