เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 23 พวกพ้องเเละสงคราม
เผลอแป๊ปเดียวก็มาถึงวันเริ่มอีเว้นท์
ระยะเวลารวมทั้งหมดที่เผ่าปีศาจจะปล่อยมอนสเตอร์ออกมาอยู่ที่ราวๆ 24 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ 8 โมงเช้าของวันนี้จนถึง 8 โมงเช้าของวันถัดไป
มีเลขนับถอยหลังแจ้งเตือนอยู่บนหน้าจอเมจิคัลโฟนทำให้รู้ว่าเหลือเวลาอีก 2 ชั่วโมงก่อนเริ่มอีเว้นท์
ฉันก็ไปจัดแจงอาบน้ำ ทานขนมปังทาเนยอย่างง่ายพร้อมนมรสจืดขวดหนึ่งเพื่อรองท้อง แม้กองทัพจะเดินด้วยท้อง แต่ถ้าอิ่มจัดก็คงเคลื่อนไหวลำบาก
พอเสร็จธุระแล้วก็เหลืออีก 1 ชั่วโมง ฉันเลยถอดเสื้อผ้าเปลี่ยนร่างให้เรียบร้อบแล้วเริ่มการออกเดินทาง
ฉันมานั่งรอเอวาที่สวนสาธารณะประจำเมืองในโลกเรพลิก้า เมื่อเงยหน้ามองฟ้าก็พบจุดเล็กๆที่เป็นเมืองลอยฟ้า
ท้องฟ้าของโลกจอมปลอมในวันนี้ช่างสดใส และ บรรยากาศก็สงบสุข ราวกับว่าสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นกับออร์คเป็นเรื่องโกหก
ฉันกอดอกหลับตาเพื่องีบหลับเอาแรง จนกระทั่งคู่หูของฉันในวันนี้วิ่งหน้าตั้งมาหา
“แฮ่กๆๆๆ สายแล้วๆๆ โทษทีๆ มาถึงแล้วค่า !”
เอวา..แม่มดอัสนีวิ่งตรงมาหาฉันโดยที่ยังคงคาบขนมปังไว้ในปาก ดูท่าวันนี้เธอจะตื่นสาย
“อาบน้ำรึยังเนี่ย ?”
“อาบแล้ว..เอ่อ…หมายถึง..เมื่อวานอ่ะน่ะ..”
เป็นคำตอบที่คาดไว้ไม่มีผิด
“ไม่ต้องห่วงน่า ยังไงก็อยู่ในห้องแอร์ตลอด ไม่มีกลิ่นตัวหรอก ไม่เชื่อก็ลองมาดมดูก็ได้”
“ฟุดฟิดๆ จริงด้วย เป็นกลิ่นหอมของเด็กสาวมัธยมปลายธรรมดาๆ…. นี่มัน แชมพูกลิ่นสตอเบอรี่ ?”
“หะ หะ ว๊าย ! ทำอะไรของเธอเนี่ย !?”
พออยู่ๆก็โดนฉันเข้าไปจับเส้นผมมาดมในระยะประชิด เอวาก็รีบกระโดดถอยหลังด้วยใบหน้าแดงก่ำ เส้นผมของเธอที่ยังคงเป็นหลักฐานคามือของก็เลยหลุดติดมือมาด้วย
จะว่าไป ผมของจอมเวทย์นี่นุ่มสลวยจนผมแห้งแตกปลายของคนธรรมดาเทียบไม่ติดเลยจริงๆค่ะ
พอเห็นท่าทางเขินอายของเธอแล้ว ฉันก็อมยิ้มเล็กน้อยด้วยความเอ็นดู ถ้าฉันมีน้องสาวที่อายุต่างกัน ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบเอวารึเปล่า
“ฮุๆ แค่แกล้งเล่นเฉยๆเอง ก็เป็นคนอนุญาติเองไม่ใช่หรอ ? แล้วก็ผ่อนคลายหน่อยสิคะคุณรุ่นพี่ เดี๋ยวก็จะเริ่มงานกันแล้วนะ”
“อะ อะ อย่ามาแตะต้องไม่ให้ซุ่มให้เสียงแบบนี้สิ !!!”
เอวาต่อว่าฉันเสียงสูง ดูท่าทางฉันจะทำให้เธออายจนเกินไป
“ค่ะๆ ต้องขอโทษด้วยค่ะรุ่นพี่ ถ้างั้นเพื่อแทนคำขอโทษ ขออนุญาตินะคะ”
ว่าแล้วก็อ้อมไปอยู่ข้างหลัง แล้วหยิบหมวกปีกกว้างออกมาจากหัวของเธอ
“อ๊ะ !”
ในตอนที่เธอทำเสียงประหลาดใจ มือของฉันก็กดยิกๆไปที่เมจิคัลโฟนอย่างรวดเร็ว
พรึ่บ !
หวีผมสีเงินปรากฎขึ้นมาในมือของฉัน
แซ่กๆ ขวับๆ
จากนั้นฉันขยับมือม้วนผมเรือนผมสีทองของเธอไปมาอย่างคล่องแคล่ว พร้อมใช้หวีจัดทรงผมให้เข้าที่
“รับทรงอะไรดีค่ะคุณลูกค้า ?”
“ไม่ต้องยุ่งกับทรงผมของฉันก็ได้น่า เดี๋ยวแป๊ปเดียวก็ยุ่งอีกอยู่ดี”
“แต่เดี๋ยวก็ต้องไปเจอกับจอมเวทย์คนอื่นก่อนไม่ใช่หรอ ? ภาพลักษณ์ตอนเจอหน้ากันครั้งแรกเป็นสิ่งสำคัญนะ”
“เรื่องพรรคนั้นช่างมันเถอะน่า”
“คนที่จะเป็นมหาปราชญ์คิดจะไปออกงานด้วยทรงผมที่ยุ่งเหยิงงั้นหรอ ?”
“อ่า !!! เข้าใจแล้วๆ เธอนี่พูดจาหว่านล้อมเก่งจังนะ เอาตามที่เธออยากทำให้เลยละกัน”
หลังจากนั้นเอวาก็มานั่งตรงม้านั่งและยอมให้ฉันทำผมให้แต่โดยดี
ดีมาก เด็กดีนั่งเฉยๆล่ะ ฉันน่ะรำคาญผมทรงสว่างของคุณมานานแล้ว
ให้ว่ากันตามตรงคุณเหมาะกับทรงอื่นมากกว่า แล้วก็ มันเกะกะค่ะ !
เวลาเดินตามหลังขึ้นบันได เกลียวสว่านของเอวามันเคยทิ่มตาฉันด้วยละ
พอได้จัดระเบียบอะไรที่ดูรกหูรกตาแล้ว ฉันก็รู้สึกดีขึ้นแยอะเลยค่ะ
“เสร็จแล้ว !”
ภาพในกระจกถือที่ส่งให้เอวาดูคือเด็กสาวผมทองผู้ไว้ผมทรงทวินเทลสองข้าง
“อึก…อยากได้แบบเก่ามากกว่า”
“แบบนี้ก็น่ารักอยู่น๊า ฉันชอบแบบนี้มากกว่าอีก”
“ไม่อ่ะ ! ขอกลับเป็นทรงเดิมทีเถอะ !!!”
“ฮุๆ ไปกันเถอะค่ะ ”
“เดี๋ยวเถอะ อย่าหนีนะ ! กลับมาเปลี่ยนผมฉันกลับเดี๋ยวนี้ ทรงแบบนี้มันจะดูเด็กเกินไปแล้ว !!!”
“ก็น่ารักดีนีน่า ไม่เห็นจะผิดตรงไหนเลยเนอะ”
ฉันออกวิ่งและกระโดดไปตามหลังคาโดยมีจุดมุ่งหมายคือเมืองคาคุฮอน แม้จะมีเอวาที่ตอนนี้กลายเป็นสาวน้อยน่ารักวัยประถมไปแล้วไล่ตามหลังมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ฉันก็คิดว่าเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางที่ไม่เลวเลยค่ะ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เมื่อฉันและเอวามาถึงเมืองคาคุฮอน มันก็เหลืออีก 20 นาทีก่อนที่อีเว้นท์จะเริ่ม
กระนั้นตัวเลขนับถอยหลังที่อยู่บนหน้าจอเมจิคัลโฟนกลับไม่สอดคล้องกับภาพที่เห็นตรงหน้า
ครืนนนนนน
เสียงพสุธาสั่นไหวดังกึกก้อง เสียงลมพายุอันรุนแรงพัดพาต้นไม้ใบหญ้าจนปลิวกระจาย
เมืองซึ่งมีเนื้อที่กว้างขวางและเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความอลหม่าน
อาคารบ้านเรือนพังทลายเป็นแถบๆ พร้อมๆกับซากต้นไม้ที่กระจัดกระจาย
รางรถไฟฟ้าถล่มลงมา พื้นที่บางส่วนกำลังลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งก็เหลือเพียงซากปูนที่ทับถมกัน
ท่ามกลางกองซากปรักหักพังกองเป็นพะเนินอยู่ที่ใจกลางเมือง ปรากฎร่างของสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์
“โอ้วววววววว”
เสียงคำรามดังก้องจากสิ่งมีชีวิตปริศนารูปร่างคล้ายมนุษย์
กายาใหญ่โตสูง 10 เมตร บุรุษเพศชายผู้ไว้ผมทรงโมฮ็อกและสวมแว่นตาสีดำไว้บนหน้า รูปร่างกายำลำสั่นกล้ามเป็นหมัด ข้อมือสองข้างสวมใส่กำไลยักษ์สีทอง และทั่วร่างก็สวมชุดเกราะและกางเกงทหารสีเขียว
มนุษย์ยักษ์ร่างโตกำลังแกว่งแขวนปล่อยหมัดใส่อาคารบ้านเรือนรอบๆตัว
เพียงกระแทกหมัดครั้งเดียว อาคารสูง 10 ชั้นก็หักครึ่งอย่างงายดายราวกับท่อนไม้
“ นะ นะ นั่นนัน ! กะ กะ กะ กิกันติค ไจแอนท์ นี่นา !!! ”
ขณะที่ฉันเฝ้ามองภาพมนุษย์ยักษ์กำลังอะละวาดห่างๆบนตึกแถวสูงห้าชั้นตึกหนึ่งจากระยะไกล เอวาที่กระโดดตามมาทีหลังพลางหอบแฮ่กๆ ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ดวงตาเป็นประกายจับจ้องไปยังมนุษย์ยักษ์ที่แกว่งแขนขาไปมาไม่วางตา
“กิกันติค ไจแอนท์ ?”
“อะไรกัน มารีนไม่รู้จักงั้นหรอ ?”
พอเห็นฉันเอียงหัวด้วยความสงสัย เอวาก็หยิบเมจิคัลโฟนสีเหลืองขึ้นมาเปิดให้ฉันดู
สิ่งที่ฉายอยู่บนหน้าจอคือเว็บคอมมิกส์แนวซุปเปอร์ฮีโร่ของชาติตะวันตก
ท่ามกลาง เรื่องราวของฮีโร่มากมาย มันก็มีภาพของฮีโร่คนหนึ่งที่คล้ายกับมนุษย์ยักษ์ที่กำลังอาละวาดอยู่ในตอนนี้
‘ยอดมนุษย์ยักษ์จากดาว N52 กิกันติค ไจแอนท์ ปรากฎกาย !’
‘เรื่องราวในยุค 90 ท่ามกลางสงครามเย็นที่เต็มไปด้วยความละหองละแหงของทหาอำนาจ เหล่าสัตว์ประหลาดจากนอกโลกได้ออกอาละวาดและสร้างความเสียหายให้กับผู้คนเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ผู้คนกำลังต่อสู้อย่างสิ้นหวัง กิกันติค ไจแอนท์ ! นักรบจากดวงดาว N52 ก็ได้มาเยือนโลกและสถิตอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มนาม ไมเคิล จอนสัน….เพื่อปกป้องสันติภาพของโลก เด็กหนุ่มได้สวมกำไลแล้วแปลงร่างเป็นยอดมนุษย์ยักษ์เพื่อกำราบเหล่าสัตว์ประหลาดและปกป้องความสงบสุขของโลกเอาไว้ !!!’
ชื่อเรื่องและเรื่องย่อ ทำเอาฉันเบ้ปากอย่างอดไม่ได้ ภาพของตัวละครในคอมมิกส์ มันช่างคล้ายกับมนุษย์ยักษ์ที่กำลังอาละวาดในตอนนี้อย่างกับก๊อปวาง
“เธอไม่เคยดูหรอเรื่อง กิกันติค ไจแอนท์ น่ะ ! เรื่องนี้มีตั้ง 3 ภาคเลยนะ …สนุกๆมากๆเลยล่ะ ขนาดภาคแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของไมเคิล และ กิกันติค ยังซึ้งจนน้ำตาแตก แถมตอนจบที่ค้างคายังปูไปสู่ภาค—”
“เอ่อ..พอเถอะค่ะ เรื่องนั้นฉันไม่ได้อยากรู้”
ฉันรีบยกมือขึ้นปราบ เอวาที่เริ่มโม้ให้ฉันฟังรัวๆถึงฮีโร่ในคอมมิกส์ที่เธอชื่นชอบ
“ที่ฉันสงสัยคือ ทำไมตอนนี้ฮีโร่ในคอมมิกส์ถึงได้ปรากฎตัวขึ้นมาในโลกแห่งความจริงได้”
“ไม่ใช่ ! ฮีโร่ในคอมมิกส์เฉยๆ ! แต่กิกันติค ไจแอนท์น่ะ คือ ฮีโร่ตัวจริงเสียงจริงที่เป็นจอมเวทย์ต่างหาก”
“เอ๋ ? ไม่ใช่ว่า จอมเวทย์ห้ามเปิดเผยตัวจริงให้คนทั่วไปรู้งั้นหรอ ?”
พอฉันถามออกไป เอวาก็กำหมัดขึ้นมาแล้วจ้องไปยังฮีโร่ของเธอ
“สำหรับจอมเวทย์ระดับแพลตตินั่มขึ้นไป จะได้สิทธิพิเศษที่อรุ่มอร่วยเกี่ยวกับกฎระเบียบมากกว่าจอมเวทย์ระดับล่างๆ เช่น บางคนก็กลายเป็นดารา หรือ บางคนก็เอาเรื่องของตัวเองไปแต่งเป็นภาพยนต์ไม่ก็นิยาย ตราบใดที่ผู้คนเชื่อว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เล่าเป็นเรื่องแต่ง ทางสภาเวทย์ก็จะอนุญาติให้ เพียงแต่ต้องผ่านกองเซนเซอร์ที่จัดตั้งขึ้นมาด้วย”
และ กิกันติค ไจแอนท์ ผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ด้วยพลังของกำไลประจำตัว เขาสามารถขยายร่างให้ใหญ่ขึ้นเท่าตึกสิบชั้น และพลังกายก็มากขึ้นถึงขนาดกระโดดเกาะยานอวกาศของเอเลี่ยนหน้าปลาหมึกที่จัดเตรียมกองยานกว่าร้อยลำมาถล่มโลกใน คอมมิกส์ตอนที่ 55 ที่มีชื่อว่า —-”
“เอ่อ….ไว้เล่าเรื่องนั้นทีหลังเถอะ แล้วสรุปว่ากิกันติค ไจแอนท์จะมาอาละวาดทำไมละนั่น ?”
ฉันต้องรีบปรามคุณแม่มดอัสนีที่กำลังจะหลุดประเด็นไปไกลเพราะพล่ามเกี่ยวกับการ์ตูนที่เธอชอบไม่หยุด
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า ทำไมสภาเวทย์ถึงอนุมัติเรื่องพรรคนี้ได้ง่ายๆ ทั้งๆที่พยายามปกปิดการคงอยู่ของจอมเวทย์มาโดยตลอด
แต่ถึงคิดไปก็ไม่ได้คำตอบ
สิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นอย่างแรกคืออีเว้นท์ที่กำลังติดปัญหาเพราะการอาละวาดของมนุษย์ยักษ์คนนี้
“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ ฉันอธิบายได้—-”
“——- !!!”
“—– !!!”
ทันใดนั้นเอง เสียงและฝีเท้าที่ดังขึ้นมาจากข้างหลัง ก็ทำให้ฉันและเอวารีบหันกลับมองด้วยความตื่นตัว
ที่ริมอาคารสูง 5 เมตรที่เราสองคนยืนอยู่ก็ปรากฎร่างของผู้หญิงและเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉัน วิซิเบิล แฮทเกิล —-”
ผู้ที่ทักพวกเราและแนะนำตัวก่อนคือ หญิงสาวผู้มีท่าทางสุภาพเรียบร้อย
ชุดสูทสีดำประดับร่างกายอันผอมเพรียว โบว์สีแดงบนหน้าอกดูโดดเด่น แต่สวมหมวกสีดำใหม่เอี่ยมอ่องที่ประดับอยู่บนศีรษะกลับดูโดดเด่นยิ่งกว่า ถ้าจะให้พูดตามความรู้สึก หญิงสาวผู้นี้มีรูปลักษณ์คล้ายผู้ช่วยนักมายากล
แต่ในเมื่อมาอยู่ที่นี่ได้ เธอคนนี้ก็คงเป็นจอมเวทย์เช่นเดียวกับพวกเรา
ฉันและเอวาจึงโค้งหัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อยแทนคำทักทาย ในขณะที่ แฮทเกิล เองก็ประดับรอยยิ้มแจ่มใสไว้บนหน้า ก่อนขยับร่างออกไปด้านข้างเพื่อดันร่างเด็กสาวอีกคนที่แอบอยู่ข้างหลังเธอออกมา
“—— !!!”
ผู้ที่แอบอยู่ข้างหลัง แฮทเกิล ด้วยร่างอันสันเทาคือ เด็กสาวร่างเล็กอายุน่าจะราวๆชั้นประถมซึ่งแต่งกายด้วยชุดกระโปรงหรูสีชมพู ราวกับเจ้าหญิง มือเล็กๆที่บอบบางกอดฟลูตสีขาวน่าตาประหลาดที่มีปีกเล็กๆงอกออกมา ท่าทางของเธอดูสั่นกลัว ชวนให้รู้สึกอยากปกป้อง
สายตาที่พยายามหลบหน้าก็แฝงด้วยความตื่นกลัว ดูเหมือนว่า เด็กคนนี้จะไม่ถูกกับคนแปลกหน้า
“ส่วนเด็กคนนี้มีชื่อว่า พริ้นเซส โซนาต้า…อาจจะขี้อายกับคนแปลกหน้าไปบ้าง แต่ก็ขอฝากตัวด้วยล่ะ”
พอเห็นสายตาที่จ้องมองมา เด็กสาวผมชมพู พริ้นเซส โซนาต้า ก็เหลือบมองแฮทเกิล
ทันทีที่สบตา แฮทเกิลก็ขยิบตาแล้วส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นไปให้
พริ้นเซส โซนาต้า ก็สะดุ้งเบาๆก่อนสูดหายใจเฮือกใหญ่แล้วจ้องมองมาที่เราสองคน
“ยะ ยะ ยินดีที่ได้รู้จักง่ะ !”
เด็กสาวร่างเล็กพูดรัวจนลิ้นพันกัน ก่อนจะรีบไปหลบอยู่ข้างหลังและแอบชะเง้อมองออกมาด้วยความเขินอาย
ท่าทางอันน่ารักนี่ ทำเอาอยากเข้าไปกอดด้วยความเอ็นดูเลยทีเดียว
“พวกเราคือจอมเวทย์ประจำเมืองคาคุฮอนแห่งนี้…ไม่ทราบว่าจะขอทราบชื่อของพวกเธอทั้งสองคนจะได้รึเปล่า”
เอวาได้ยินดังนั้นก็ส่งสายตามาให้ฉัน ก่อนจะหยักหน้าแล้วเดินออกไปหาแฮทเกิล
“ฉัน แม่มดอัสนี จอมเวทย์จากเมือง มาซากุระ”
“ส่วนฉัน เอ็มเพรส มารีน มาจากเมืองเดียวกัน”
— ขอฝากตัวด้วยค่ะ
เรายืนมือมาจับมือทักทายกับแฮทเกิล แฮทเกิลก็ยิ้มตอบและจับมือของพวกเราด้วยรอยยิ้มสดใส
พอฉันลองยื่นมือไปหา โซนาต้าจัง ที่กำลังหลบหลังแฮทเกิลอย่างเขินอายบ้าง เธอก็กรอกตาไปหาแฮทเกิลเล็กน้อยราวกับจะขออนุญาติ
แน่นอนว่า แฮทเกิลก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มบางๆ โซนาต้าจังเลยพยักหน้าและยื่นมือเล็กๆมาจับมือของฉัน
ขนาดมือของเราสองคนต่างกันเกือบจะสองเท่า แถมมือของโซนาต้าจังยังนุ่มนิ่มเหมือนกับเด็กทารก
ช่างเป็นเด็กที่น่ารัก ไม่เหมาะกับสถานที่ที่เต็มไปด้วยคาวเลือดแบบนี้เลย มาสคอตนี่มันนิสัยเสียจริงๆที่กล้าเปลี่ยนเด็กตัวเล็กๆแบบนี้ให้กลายมาเป็นจอมเวทย์
หลังแนะนำตัวเสร็จสรรพ ฉันก็มองไปที่มนุษย์ยักษ์ซึ่งกำลังอาละวาด แล้วเอ่ยถามแฮทเกิลซึ่งเป็นจอมเวทย์ประจำเมืองแห่งนี้
“ว่าแต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมอยู่ๆ คนยักษ์—”
“กิกันติค ไจแอนท์ ต่างหาก !!!”
“อ่า….กิกันติค ไจแอนท์ ทำไมหมอนั่นถึงอาละวาดล่ะ ?”
ฉันจิ้มแก้มเอวาที่กำลังพองออกด้วยความไม่พอใจที่ฉันเรียกชื่อฮีโร่ในดวงใจของเธอผิด พลางรอคอยคำตอบจากแฮทเกิล
แฮทเกิลก็ยักไหล่แล้วยิ้มแห้งๆก่อนเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ทั้งหมด
เริ่มจากข้อมูลที่พวกเธอซึ่งเป็นจอมเวทย์ประจำเมืองได้รู้มา คือ อีเว้นท์ปราบกอบลินจะมีจอมเวทย์มาเข้าร่วมรวม 11 คน โดยประกอบด้วยระดับ แพลตตินั่ม 2 คน โกล 5 คน ซิลเวอร์ 2 คน และ บรอนซ์ 2 คน
ตามปกติแล้วเวลามีอีเว้นท์ ทุกๆคนจะมาประชุมร่วมกันก่อนเพื่อแบ่งเขตการออกล่า รวมถึงกำหนดตัวผู้นำที่จะแก้ไขความขัดแย้งเวลาเกิดปัญหา เพื่อให้ผ่านอีเว้นท์ไปได้อย่างราบรื่น
ทีนี้ มันก็มาติดปัญหาเรื่องผู้นำ ซึ่งตามปกติจะให้คนที่อยู่ระดับสูงสุดเป็นผู้นำ ทว่า ในครั้งนี้มีจอมเวทย์ระดับแพลตตินั่มอยู่ถึงสองคน
แม้จอมเวทย์ระดับแพลตตินั่มจะมีการกำหนด ‘นัมเบอร์’ เพื่อแสดงถึงลำดับชั้นในหมู่จอมเวทย์ระดับแพลตตินั่มอีกที กระนั้นจอมเวทย์อีกคนที่เป็นแพลตตินั่มเหมือนกันกลับไม่พอใจที่จะให้กิกันติค เป็นผู้นำ จนทำให้ทั้งสองกระทบกระทั่งกันถึงขั้นประลองสดหน้างานเพื่อตัดสินว่าใครคู่ควรกับตำแหน่งผู้นำมากกว่า
“ตอนนี้เลยกลายเป็นการต่อสู้ตัดสินระหว่าง วินดี้ อีเกิ้ล นัมเบอร์เท็น ( 10) และ กิกันติค ไจแอนท์ นัมเบอร์ เซเว่น (7)”
พอมองตามปลายนิ้วที่แฮทเกิลชี้ไปก็พบกับจุดเล็กๆจุดหนึ่งบนท้องฟ้า
ฉันต้องเพ่งสายตาพอสมควรกว่าจะเห็นว่ามีหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังบินอยู่
“คนนั้นนั่นแหล่ะคือ วินดี้ อีเกิ้ล จากเมืองปูซาง ”
วินดี้ อีเกิ้ล คือหญิงสาวผู้สวมใส่คอสตูมแปลกๆ บนหัวของเธอมีหมวกตุ๊กตาหัวเหยี่ยวจะงอยแหลมสีเหลือง อาภรณ์ที่สวมใส่คือชุดหนังสีน้ำตาลแหวกอกที่เผยให้เห็นหน้าอกอวบอิ่มและสะดือจิ้มลิ่ม ชุดที่เว้าราวกับชุดว่ายน้ำเผยให้เห็นต้นขาขาวเนียลไร้สิ่งใดห่อหุ้ม และ ปลายเท้าสองข้างของเธอก็สวมใส่รองเท้ารูปกรงเล็บสีเหลือง
กระนั่น สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของหญิงสาว มันคงไม่พ้นปีกสีน้ำตาลสองข้างที่โบกสะบัดกลางเวหา
วินดี้ อีเกิ้ล ….คือ จอมเวทย์ที่มีรูปลักษณ์ราวกับเหยี่ยวและบินบนฟ้าได้จริงๆ
ดูจากพายุหมุนที่ปล่อยออกมาจากปีกที่กะพืออย่างรวดเร็ว เวทย์ที่เธอถนัดคงเป็นธาตุลม
ตู้มมมมมม
ในขณะที่กิกันติคเหวี่ยงหมัดเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำลายตึกได้ทั้งหลัง การโจมตีด้วยพายุหมุนกรรโชกของวินดี้ก็กัดกร่อนอาคารทั้งหลายด้วยคมดาบวายุที่ซ่อนอยู่ภายในพายุหมุนขนาดใหญ่ แม้จะพังทลายลงมาช้ากว่าการโจมตีกายภาพของกิกันติค แต่ก็ถือว่ามีความรุนแรงไม่ต่างกัน
การต่อสู้นี้มองเผินๆฝั่งวินดี้ดูเหมือนจะได้เปรียบ เธอสามารถโบยบินไปในท้องฟ้าอย่างคล่องแคล่ว ต่างจากกิกันติคที่เคลื่อนไหวร่างกายอันใหญ่โตได้ช้ากว่า
ในขณะที่กิกันติคสะบัดมือหนึ่งครั้ง วินดี้ก็สามารถเสกพายุออกมาจากปีกแล้วพุ่งเข้าใส่กิกันติคได้สองลูกซ้อน
ฟู่ววววววววว
พายุที่ปะทะกับกายาใหญ่ยักษ์ก็สลายไป หากแต่ทิ้งรอยบาดนับไม่ถ้วนลงบนผิวกายของกิกันติค กระนั้นความลึกของบาดแผลก็อยู่แค่เพียงผิวหนังชั้นนอก ไม่อาจทำอันตรายได้มากถึงขั้นปิดฉากการต่อสู้
ฟ้าวววว ตึ้ง !
กลับกัน วินดี้ที่โบยบินบนท้องฟ้าก็ต้องหลบหลีกอีกฝ่ายอย่างตึงมือ การโจมตีของเธอไม่อาจทำให้กิกันติคบาดเจ็บสาหัส ทว่า หากกิกันติคตบใส่เธอแค่ครั้งเดียว ตัวเธอก็ถึงตาย
ภาพที่เห็นจึงราวกับภาพมนุษย์ที่กำลังไล่ตบยุงที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ตบไม่โดนเสียที
ทว่า จากมุมมองคนภายนอก แค่มองก็รู้ว่า วินดี้ ไม่มีทางเอาชนะได้
ตอนนี้ก็เหลือเพียงรอเวลาว่าจะยอมแพ้กันเมื่อไหร่
“สู้กันมานานแค่ไหนแล้วนะ ?”
“ 20 นาทีได้แล้ว”
แววตาของทั้งสองฝ่ายดูเดือดดาลไม่มีใครยอมใคร ไม่มีเหงื่อไหลซักหยด แล้ว ก็ไม่ได้ดูเหนื่อยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าให้สู้กันหนึ่งชั่วโมงก็คงไหว แต่อีกไม่เกิน 15 นาทีอีเว้นท์ก็จะเริ่ม ปล่อยให้ต่อสู้กันต่อไปก็คงไม่ดี
ณ จุดนี้ต้องมีใครบางคนมาห้ามมวย แน่นอนว่า ฉันคงหนึ่งที่ไม่ไหว ฉันนึกหาวิธีหยุดมนุษย์ยักษ์พรรคนั้นไม่ได้เลย
ถามจริง ? คนที่ตัวใหญ่ขนาดนั้นไม่ใช่ระดับอาดามันเที่ยมเนี่ยนะ ? บางครั้งฉันก็สงสัยว่าสิ่งที่เรียกว่าระดับของจอมเวทย์ มันเชื่อได้จริงๆหรอ ?
ระหว่างที่กำลังเฝ้าดูการต่อสู้อันไร้แก่นสารของสองจอมเวทย์สองคน ข้างๆฉันเอวาก็กำลังยกเมจิคัลโฟนขึ้นมาอัดวีดีโอ แต่แล้ว ทันใดนั้นเอง มันก็มีเสียงเตือนดังขึ้นมาจากตึกที่อยู่ข้างๆ
“เดี๋ยวเถอะ ! ห้ามถ่ายวีดีโอโดยไม่ได้รับอนุญาตินะ”
ตึก !
ชั่วพริบตา จอมเวทย์ที่อยู่อีกตึกหนึ่งจำนวนสองคนก็กระโดดเข้ามาหาเอวาอย่างรวดเร็ว
เอวาผง่ะถอยหลังด้วยความตกกะใจ ฉันเองก็กำคฑาในมือแน่นและจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา
“การต่อสู้ของกิกันติค ถือว่ามีลิขสิทธิ์ นับเป็นทรัพย์สินทางปัญญา จะมาถ่ายแล้วไปเอาอัพลงโซเซีลยเองเออเองไม่ได้เด็ดขาด !!!”
คนที่ปรามเอวาอย่างเข้มงวด คือ ชายหนุ่มในชุดนักสำรวจ
แว่นกันลมสวมบนหัว มือสองข้างสวมถุงมือหนัง และ ข้างเอวของเขาก็ติดเคียวขนาดเล็ก และ เหล็กเส้นสองเส้นที่หน้าตาเหมือนกับ ดาวซิ่ง ? เอาไว้
ดาวซิ่ง งั้นหรอ ? เป็นอุปกรณ์งมงายที่ดูดักแก่ใช่เล่น
(เกร็ดความรู้ : ดาวซิ่งคือวัตถุแท่งเหล็กรูปตัว Y หรือ L ที่ใช้แพร่หลายในคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 ซึ่งในสมัยนั้นเชื่อกันว่า สามารถใช้พยากรณ์แหล่งน้ำใต้ดิน หรือ อัญมณี ได้ ทว่า มันเป็นวิทยาศาสตร์เทียมที่ไม่มีหลักฐานว่าใช้งานได้จริง จนถูกเลิกใช้งานไปแล้ว เหมือนกับ GT 200 ของไทยนั่นเอง)
ในขณะที่ชายคนนั้นมองมาที่เอวาด้วยความไม่พอใจ หญิงสาวอีกคนก็วางมือลงบนบ่าของเขาและส่งยิ้มเรียบๆตามมารยาทมาให้พวกเรา
“ใจเย็นก่อน เอ็กซ์พลอเรอร์ …..เด็กคนนั้นก็แค่ไม่รู้ อย่าถือสาหาความเลยน่า”
“ไม่ได้ ! เธอน่ะหย่อนยานไปแล้ว ดีเทคเตอร์ การถ่ายรูปผู้อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาติ ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็ยังผิดกฎหมายเลย นี่ยิ่งเป็นคนดังระดับหมอนั่น เรื่องนี้ปล่อยผ่านไม่ได้หรอก”
“น่าๆ เดี๋ยวฉันเคลียร์เอง….แล้วก็พี่สาวคนนั้นวางอาวุธลงก่อน พวกเราไม่ได้จะมาหาเรื่องนะ”
หญิงสาวที่เข้ามาปราม ชูมือขึ้นฟ้าเพื่อบอกให้รู้ว่าในมือของเธอปราศจากอาวุธ พอเห็นเช่นนั้น ฉันก็คลายมือที่จับคฑาแน่นลง และ ถือมันตั้งตรงโดยไม่ได้ขยับเขยื่อนเพิ่มเติมอีก
“อื้ม ขอบคุณค่ะ ”
หญิงสาวผู้ถูกเรียกว่า ดีเทคเตอร์ กล่าวขอบคุณ
เธอคือหญิงสาวส่วนสูงราวๆ 150 ผู้สวมชุดหมีสีน้ำตาลแบบที่พวกช่างนั้นใช้กัน แว่นสายตากรอบเงินเงาวับบนใบหน้าฉายให้เห็น ภาพลักษณ์อันใจเย็นและฉลาดเฉลียว
หลังจากนั้น หญิงสาวก็แนะนำตัวว่าเธอมีชื่อว่า เอนจิ้น ดีเทคเตอร์
เธอเป็นจอมเวทย์ระดับซิลเวอร์ที่อยู่ปาร์ตี้เดียวกับกิกันติค ไจแอนท์
ส่วนผู้ชายที่ดูอารมณ์เสียอยู่ข้างๆเธอมีชื่อว่า ไวเบรเนียม เอ็กซ์พลอเรอร์ จอมเวทย์ระดับบรอนซ์ที่อยู่ปาร์ตี้เดียวกัน
พอถึงคราวฉันและเอวาแนะนำตัวเสร็จ เอ็กซ์พลอเรอร์ ก็ยืนกอดอกด้วยสีหน้าถมึงทึง ส่วน ดีเทคเตอร์ ก็เดินเข้ามาใกล้เอวาและประดับรอยยิ้มทางการค้าไว้บนใบหน้าอันอ่อนเยาว์
“ขอโทษนะ คุณแม่มดอัสนี จะช่วยลบภาพการต่อสู้ที่ถ่ายเมื่อกี้ได้รึเปล่า ?”
เอวาที่รู้ว่าเป็นฝ่ายผิดก็พยักหน้าเบาๆด้วยท่าทางเสียดาย
“ขอโทษค่ะ…พอดีฉันเป็นแฟนตัวยงของกิกันติค ไจแอนท์ ก็เลยเผลอไปหน่อย”
“อื้ม เรื่องนั้นฉันเข้าใจดีเลยล่ะ เวลาเจอดาราตัวเป็นๆ ไม่ว่าใครก็อยากถ่ายรูปใกล้ๆเก็บไว้อยู่แล้ว แต่คราวหน้าคราวหลังต้องขออนุญาติก่อนนะคะ …..เดี๋ยวฉันไปบอกคุณกิกันติคให้ว่ามีแฟนๆมาหา …..เรื่องนี้อย่าไปบอกใครนะคะ ถึงจะเห็นแบบนี้เขาก็ชอบแจกลายเซ็นล่ะ ถ้าเป็นคุณที่มาร่วมงานด้วยวันนี้ ก็น่าจะขอได้อยู่”
“จะ จะ จริงหรอ ! ขอบคุณมากๆค่ะ ! จะลบเดี๋ยวนี้เลยค่ะ !!!”
เอวาลบวีดีโอด้วยความกระตือรือร้น เอ็กซ์พลอเรอร์ ก็ถอนหายใจด้วยท่าทางเอือมระอา ในขณะที่ดีเทคเตอร์ก็เฝ้ามองเอวาวีด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“นี่พวกเธอทำอะไรกันน่ะ ?”
ทว่า การปรากฎตัวของตัวละครใหม่ก็ยังไม่จบ อยู่ๆก็มีหญิงสาวในชุดว่ายน้ำโรงเรียนผู้หนึ่งโผล่ขึ้นมาใกล้ๆแฮทเกิลจนโซนาต้าจังถึงกับสะดุ้งโหยงแล้ววิ่งไปหลบข้างๆแฮทเกิลอีกทาง
หญิงสาวในชุดว่ายน้ำ ผู้มีเรือนผมสีดอกซากุระ ก็ลูบศีรษะที่สวมแว่นตาว่ายน้ำและหมวกคลุมผมของตน ก่อนจะขอโทษที่เธอทำให้โซนาต้าจังตกใจ
“พวกเธอคืออีกสองคนมาจากเมืองข้างๆใช่ไหม เรา— สวิม แสวม เพื่อนของวินดี้ อีเกิ้ล ขอฝากตัวด้วยละ”
ฉันและเอวาจึงแนะนำตัวบ้าง ในขณะที่เอ็กซ์พลอเรอร์มองไปที่หญิงสาวในชุดว่ายน้ำด้วยความฉุนเฉียว
“แต่งตัวแบบนั้น ไม่อายบ้างรึไง ?”
สายตาของเขาเหลือบมองไปยังชุดว่ายน้ำโรงเรียนที่เผยร่องอกใหญ่บะฮึ่มและขาอ่อนขาวๆอวบอิ่มทั้งสองข้าง การแต่งกายที่เปิดเผยช่างคล้ายกับวินดี้ อีเกิ้ล สมเป็นเพื่อนกันดีจริงๆ
“อย่ามองเราด้วยสายตาลามก แบบนั้นสิ”
สวิม เอามือปิดบังหน้าอกด้วยท่าทางเขินอายอย่างเสแสร้ง
“กลุ่มของพวกเธอนี่มันไร้ยางอายทั้งนิสัยและการกระทำจริงๆ ตามหลักแล้วก็ควรจะให้กิกันติคที่มีนัมเบอร์สูงกว่าเป็นหัวหน้าแท้ๆ”
“ถ้าตามหลัก มันก็ใช่หรอก…แต่วิธีแบ่งเขตออกล่าของคนๆนั้น มันก็เกินไปหน่อยนะ”
“ก็มันแน่อยู่แล้ว ! เอาเข้าจริง แค่กิกันติค คนเดียวก็สามารถเคลียร์อีเว้นท์ได้ เพื่อนของเธอ แทบจะไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ”
“—— !!!”
“เดี๋ยวเถอะ ! เอ็กซ์พลอเรอร์ อย่าพูดแบบนั้นสิ ใจเย็นก่อนนะ”
ดีเทคเตอร์ เอามือปิดปากเอ็กซ์พลอเรอร์ที่หน้าแดงก่ำ ส่วนสวิมก็หรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยท่าทางไม่ชอบใจ
ในระหว่างที่กำลังสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แฮทเกิลก็ช่วยอธิบายให้ฉันฟัง
“ในตอนแรกก็ให้กิกันติคเป็นคนแบ่งพื้นที่ออกล่าอยู่หรอก แต่พอทางกิกันติคกำหนดพื้นที่ 50 % เป็นเขตออกล่าของเขา ฝั่งของวินดี้ก็เลยไม่พอใจและคัดค้านการแบ่งนั้น ก่อนจะเสนอเปลี่ยนตัวหัวหน้า”
“แบบนี้นี่เอง…..”
เอาเข้าจริงด้วยร่างกายที่ใหญ่โตนั่น การจะกวาดล้างทัพออร์คก็คงไม่ใช่เรื่องยาก
ลำพังด้วยกำลังกายเพียวๆคงบดขยี้กองทัพออร์คส่วนใหญ่ที่อยู่กันเป็นกระจุกได้กว่า 90% ส่วนเล็กๆที่รอดออกมาก็ให้จอมเวทย์ที่เหลือคอยเก็บตก
หากเลือกกลยุทธ์แบบนั้น นั่นคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด เมื่อมีมนุษย์ยักษ์พลังทำลายสูงอย่างเขาเข้าร่วม
แต่ในแง่ของผลประโยชน์ ทางฝั่งของกิกันติคจะได้เงินค่าหัวของออร์คมากกว่าหลายสิบเท่า นั่นคงจะทำให้วินดี้ยอมรับไม่ได้
“เวลาเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นมา ทุกๆฝ่ายก็ควรจะหาข้อตกลงกันว่าจะแบ่ง % กันยังไง เช่น กิกันติคอาจจะแบ่งรายได้บางส่วนกระจายให้ทุกคนอะไรทำนองนั้น แต่เพราะจอมเวทย์ยังมากันไม่ครบเลยโหวตกันไม่ได้ มันก็เลยกลายเป็นว่าทั้งสองฝ่ายที่อารมณ์ร้อนก็ตัดสินกันด้วยกำลังแทน”
“ถ้างั้นก็เป็นความผิดของเอวาที่มาสายคนเดียวเลย”
“เดี๋ยวดิ ! ไหงฉันเป็นคนผิดเฉยเลยล่ะ”
“ล้อเล่นค่ะ”
“ไม่เห็นจะตลกตรงไหนเลย”
ฉันเลิกตบมุขกับเอวา ก่อนจะกวาดสายตาไปโดยรอบ
พอนับจำนวนดู ก็พบว่ายังขาดจอมเวทย์อีก 2 คนที่ยังมาไม่ถึง
ตอนนี้ก็เหลืออีก 10 นาทีแล้ว ถ้าปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ดีแน่
“จับได้แล้ว !”
ทว่า ในตอนที่ฉันกำลังกังวลว่าจะเอายังไงต่อ เสียงตะโกนที่ดังกึกก้องก็เรียกความสนใจของจอมเวทย์ทุกๆคน
ตรงใจกลางการต่อสู่อันสุดแสนอลหม่าน ภาพที่ทุกคนเห็นก็คือ วินดี้ อีเกิ้ลที่พยายามดิ้นอยู่ในกำมือของกิกันติค ไจแอนท์ด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราดนั่นเอง