เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 21
# แซนดี้ ครีเอเตอร์ #
“พี่ค่ะ ! หนูได้เป็นจอมเวทย์แล้วล่ะ !!!”
เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ ทาเนีย สลาเวนเจอร์ — สถาปนิกสาวกำลังออกแบบบ้านให้กับลูกค้าเหมือนกับทุกครั้ง ประตูห้องทำงานของเธอก็กระแทกเปิดอย่างรุนแรงจนห้องทั้งห้องสั่นสะเทือน
เมื่อเงยหน้าขึ้นจากงานก็พบกับน้องสาวจอมยุ่งของเธอที่พุ่งเข้ามาหาอย่างร่าเริง
“ริน ! พี่ก็บอกแล้วไงว่าให้เคาะก่อน—”
ในตอนที่ทาเนียกำลังจะต่อว่าน้องสาว ภาพลักษณ์ของเธอที่ต่างไปจากเดิมทำให้หญิงสาวอ้าปากค้างไปชั่วขณะ
เรือนผมสีเกาลัดถักเป็นเปียถูกประดับด้วยดอกไม้หลากสีสันต์ที่แทรกอยู่ในเรือนผมอันงดงามและส่งกลิ่นหอมชวนให้เคลิบเคลิ้ม
ดวงตาสีดำขลับปรากฎสัญลักษณ์ใบโคลเวอร์สี่แฉกสีชมพูที่เปล่งแสงสว่างไสวอยู่ข้างใน
ผิวกายที่ขาวเนียลปานหิมะถูกห่อหุ้มเรือนร่างด้วยเถาวัลย์และใบไม้ที่ถักทอขึ้นมาเป็นชุเดรสสีเขียวอันงดงามที่ประดับรอบกายด้วยดอกไม้ซึ่งผลิบานออกมา ทุกครั้งที่ปลายเท้าอันบอบบางย่ำลงมาบนพื้นก็จะปรากฎดอกไม้เบ่งบานขึ้นมาบนพื้นห้อง เธอยื่นหน้ามาหาทาเนียด้วยรอยยิ้มแล้วเอามือไขว้หลัง
หญิงสาวมองน้องสาวของตนสลับกับฝักบัวรดน้ำสีทองสองและสีเงินที่ลอยอยู่ข้างๆเธอด้วยความสับสน
“กำลังแต่งคอสเพลย์อยู่ ?”
“ไม่ใช่ซักหน่อย !!!”
น้องสาวผู้รายล้อมด้วยดอกไม้อันงดงาม หากแต่เป็นตัวเธอเองที่เป็นดอกไม้ที่งดงามที่สุดก็ทำแก้มป่องใส่คุณพี่สาว
ทาเนียถึงกับใจเต้นไปชั่วขณะเมื่อได้สัมผัสถึงความงามอันหาที่สุดไม่ได้ของน้องสาวในระยะประชิด
เธอไม่เคยใจเต้นกับน้องสาวมาก่อน จนกระทั่งได้มาเห็นภาพลักษณ์อันงดงามที่พัฒนาก้าวกระโดดจนเธอรู้สึกว่าไม่เคยเห็นสิ่งใดที่งดงามเท่านี้มาก่อน
“ตอนนี้ฉันกลายเป็นจอมเวทย์แล้วค่ะ พี่ทาเนีย”
“จอมเวทย์ ?”
ในขณะที่หญิงสาวกำลังเอียงหัวด้วยความสงสัย พวงองุ่นลอยได้ลูกหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากข้างหลังน้องสาว
“ให้ผมอธิบายเองดีกว่าเดส ยินดีที่ได้รู้จักนี่ เดสสึม่อน นะเดส”
สิ่งมีชีวิตแปลกๆแนะนำตัวเองว่ามันคือมาสคอต แมวมองจากดินแดนจอมเวทย์ที่ตามหาบุคคลที่มีคุณสมบัติกลายเป็นจอมเวทย์
มันได้อธิบายให้ทาเนียฟังว่า จอมเวทย์มีหน้าที่ต่อสู้กับปีศาจเพื่อปกป้องโลกจากการรุกรานของจอมมาร และ มันก็พบว่าทั้งทาเนียและน้องสาวของเธอมีคุณสมบัติในการเป็นจอมเวทย์
“ตอนนี้หนูมีชื่อว่า เลดี้ฟลาวเวอร์เรีย จอมเวทย์ระดับโกลค่ะ ! ”
น้องสาวของเธอ ซาเรีย สลาเวนเจอร์ กลายเป็นจอมเวทย์แห่งดอกไม้ ผู้มีทาเล้นท์อันพิสดารก็คือ การเสกดอกไม้ชนิดใดขึ้นมาก็ได้ในตำแหน่งที่เธอใช้ฝักบัวรดน้ำประจำตัวรดน้ำลงไป
ความจริงที่ได้รับรู้ทำให้ทาเนียรู้สึกสับสน แต่หลังจากที่น้องสาวของเธอแสดงพลังให้เห็น เธอก็เริ่มปลักใจเชื่อ
แม้ในใจจะรู้สึกหวาดระแวงมาสคอตรูปร่างองุ่น แต่เพราะน้องสาวก้าวข้ามมาสู่โลกฝั่งนั้น ในฐานะที่เธอเป็นพี่สาวของเด็กสาววัยมัธยมต้น เธอก็เลยเลือกที่จะกลายเป็นจอมเวทย์ด้วยความเป็นห่วง
ทาเนียได้กลายมาเป็นจอมเวทย์ชำนาญธาตุดินเช่นเดียวกับน้องสาว หากแต่รูปร่างของเธอกลับดูแตกต่าง เพราะเธอนั้นเป็นหญิงสาวในชุดนางรำนุ่งน้อยห่มน้อย ผ้าคลุมอกสีขาวขนาดเล็กปานชุดวายน้ำเผยให้เห็นผิวสีแทนเปล่งปลั่ง กระโปรงสั้นเปิดข้างเผยให้เห็นขาอ่อนที่มีน้ำมีนวล ผ้าคลุมสีขาวบางๆที่ประดับเรือนร่างช่วยขับเน้นรูปลักษณ์อันน่าหลงใหล แม้ตอนแรกเธอจะกังวลเรื่องการเปิดเผยเนื้อหนัง แต่หลังจากใส่ชุดนี้ไปนานๆเข้าประกอบกับได้รับคำชมจากน้องสาว เธอก็เลิกที่จะรู้สึกอายกับการแต่งกายอันแสนใจกล้านี้ไปในที่สุด
แซนดี้ ครีเอเตอร์ นั่นคือฉายาจอมเวทย์ของเธอ…จอมเวทย์สายสนับสนุนธาตุดิน ผู้มีทาเล้นท์สายสรรค์สร้างซึ่งเป็นที่ต้องการ ความสามารถของเธอก็คือ เมื่อใดก็ตามที่ใช้มือสองข้างปั้นทรายขึ้นมาเป็นวัตถุบางอย่าง หลังจากนั้น รูปปั้นทรายที่เธอสร้างขึ้นมาก็จะกลายเป็นของสิ่งนั้นจริงๆ
แม้ตอนแรกเธอจะคิดว่าชีวิตของเธอและน้องสาวจะเต็มไปด้วยการต่อสู้ ทว่า ทาเล้นท์ประเภทสรรค์สร้างของทั้งสองคนกลับถูกนำไปใช้ทำอย่างอื่นที่น่าเหลือเชื่อแทน
งานก่อสร้างหลายงานในดินแดนจอมเวทย์ได้เชิญแซนดี้มาช่วยสร้าง ทั้งพรสวรรค์ที่ได้รับมาและความรู้เดิมในฐานะสถาปนิกทำให้ชนชั้นสูงและจอมเวทย์ระดับบนๆชอบใจในสิ่งก่อสร้างอันเปี่ยมด้วยศิลปะของเธอ
ในขณะเดียวกันดอกไม้ที่ฟลาวเวอร์เรียปลูกขึ้นมาก็ทำให้เหล่าผู้ที่ชื่นชอบดอกไม้รู้สึกหลงใหล ไม่ว่าจะคนในอาณาจักรเซเลสเทียเอง หรือ ผู้คนในโลกแห่งความเป็นจริง เธอได้เปิดธุรกิจร้านขายดอกไม้เล็กๆขึ้นโดยมีพี่สาวของเธอช่วยดูแลด้วยอีกแรง
พวกเธอทั้งคู่คือจอมเวทย์สายสรรค์สร้างที่ห่างไกลจากการต่อสู้และเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมากในสังคมจอมเวทย์ที่หาพลังประเภทนี้ได้ยาก
โดยเฉพาะฟลาวเวอร์เรีย ที่เธอนั้นก็ได้รับงานอันน่าอัศจจรย์มา นั่นก็คือการปลูกดอกไม้ในดินแดนที่รกร้างหลังสงครามนิวเคลียร์ซึ่งยังมีกัมมันตรังสีตกค้างอยู่ทำให้คนทั่วไปไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ต่างจากจอมเวทย์ที่ร่างกายต้านทานการแบ่งเซลล์อันผิดปกติหลังสัมผัสกัมมันตรังสี
ฟลาวเวอร์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจคทวงคืนผืนดินที่ช่วยแปรเปลี่ยนสภาพโลกแห่งความเป็นจริงส่วนที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีให้มนุษย์กลับมาอยู่อาศัยได้อีกครั้ง ของจอมเวทย์ระดับอาดามันเที่ยม ผู้มีนามว่า อังเคิ่ล อิมอทั่ล
เงินทองและชื่อเสียงที่ไหลมาเทมา ทำให้พี่น้องทั้งคู่งานยุ่งทั้งโลกเวทมนต์และโลกแห่งความจริงตัวเป็นระวิง แต่ทุกๆวันหลังกลับจากที่ทำงานทั้งสองก็จะใช้เวลาว่างระหว่างทานข้าวพูดคุยเรื่อยเปื่อยถึงชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยสีสันต์
ครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่ได้คุยกัน คือ วันนั้นที่อยู่ๆ ซาเรียก็ทักทาเนียบนโต๊ะอาหาร
“พี่ค่ะ คือว่าสัปดาห์หน้าจะเป็นวันปัจฉิมของหนูแล้ว”
อีกไม่นานทาเนียจะเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ในวันสุดท้ายที่ได้เข้าเรียน หลายๆครอบครัวก็จะถ่ายรูปบุตรสาวเป็นที่ระลึกและพาไปเลี้ยงฉลองเพื่อแสดงความยินดี
เพราะทั้งคู่ต่างเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กและอยู่กับคุณป้าฝั่งแม่ซึ่งหลังๆมานี้แยกบ้านอยู่กับพวกเธอเพราะทาเนียนั้นโตแล้วและสามารถหาเงินส่งเสียให้น้องสาวเรียนต่อได้แล้ว มันจึงไม่แปลกหากจะบอกว่า ครอบครัวของเธอเหลือกันแค่สองคน
พอพูดถึงตรงนี้ทาเนียก็พอเดาคำขอของน้องสาวได้
“เพราะงั้นจะช่วยมาถ่ายรูปกับหนูได้ไหมคะ ?”
กึก !
ทาเนียที่จมอยู่กับแบบแปลนตรงหน้าตอบซาเรียโดยไม่ล่ะสายตาออกมา
“ขอโทษนะ…พอดีช่วงนี้พี่มีโปรเจคใหญ่ยังทำไม่เสร็จ งานที่ใหญ่ระดับนี้ถ้าพี่ไม่คุมเอง มันจะผิดพลาดเอาได้”
“งั้นหรอคะ…..”
แม้งานจะสำคัญ แต่พอได้ยินน้ำเสียงอันเหงาหงอยของน้องสาว เธอก็เหลือบตาไปเห็นน้องสาวที่ก้มหน้าลง
“เฮ้อ…..ถ้าแค่ครึ่งชั่วโมงก็น่าจะพอได้”
“—-!!!”
“แค่ถ่ายรูปแป๊ปเดียวนะ ส่วนเรื่องเลี้ยงฉลองก็ไว้วันอื่น—”
“เย้ ! ขอบคุณนะพี่ค่ะ รักที่สุดเลยค่ะ !!! ”
น้องสาวที่ตัวก็ไม่ได้เล็กๆแล้วพุ่งเข้ากอดเธอ ร่างกายนุ่มๆและกลิ่นหอมของแชมพู ซ้ำยังความอบอุ่นที่ชวนให้หัวใจรู้สึกชุ่มชื้น
เธอลูบหัวน้องสาวที่ไม่รู้จักโตเบาๆ ตั้งแต่เล็กๆเด็กคนนี้ก็มักจะเกาะติดเธอตลอด
อายุของทั้งคู่ห่างกันถึง 7 ปี ทาเนียเลยได้เห็นซาเรียตั้งแต่ยังตัวเล็กเท่าลูกแตงโม
เด็กๆนั้นโตเร็วจนน่าใจหาย พอรู้ว่าน้องสาวที่เธอคอยดูแลโตขึ้นถึงเพียงนี้ ทาเนียก็ยิ้มบางๆ
หลายสิ่งหลายอย่างที่เสียสล่ะให้กับซาเรีย ทาเนียนั้นไม่เคยรู้สึกเสียดาย การได้มีน้องสาวที่น่ารักถึงเพียงนี้คือหนึ่งในไม่กี่สิ่งในชีวิตที่ช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจที่แห้งเหือดของเธอหลังสูญเสียพ่อแม่ไป
“อื้ม….”
และแล้วพี่น้องทั้งสองก็กอดกันเกลียว ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน
วันถัดมา ทาเนียก็หายออกไปจากบ้านเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เพื่อไปควบคุมโปรเจคใหญ่ที่ว่า
กระนั้นเมื่อถึงวันนัด ตัวเธอก็มารอที่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมพร้อมดอกไม้ช่อใหญ่ตามสัญญา
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป จากตอนแรกที่ดวงอาทิตย์อยู่เหนือหัว จนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า มันกลายเป็นว่าคนที่ผิดสัญญากลับเป็นน้องสาวของเธอแทน
ทาเนียไม่นึกไม่ฝันว่าบทอ้อมกอดในคืนนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองได้กอดกัน
.
.
.
.
.
ภายในตรอกซอยที่มืดสนิท หญิงสาวในชุดนางรำ….แซนดี้ ครีเอเตอร์ ยืนกอดอกพิงกำแพงรอคู่ค้าของเธอท่ามกลางความมืดมิด
ในวันนี้ดวงดาวสุกสกาวเต็มท้องฟ้าขับสู้แสงจันทร์สีขาวนวล
แสงอ่อนๆส่องกระทบผิวสีแทนอันน่าหลงใหล หากแต่ดวงเนตรสีดำสนิทของเธอกลับดูมืดหม่นเสียยิ่งกว่าเงาดำที่ทอดยาวออกไป
ฟู่วววว
สายลมเย็นๆพัดโบก พริบตาที่เธอกระพริบตาเบาๆ ทันใดนั้นเองเสียงมาดเข้มของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“ท่ามกลางแสงไฟของความศิวิไล ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จักมีเงามืดแฝงกายอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง—-”
พรึ่บ !
แสงสปอร์ตไลท์ชวนแสบตาถูกฉายขึ้นไปบนอาคารสูงสี่ชั้น ที่ตรงนั้นก็ปรากฎร่างชายปริศนาในชุดหนังสีดำ
ส่วนสูงราวๆ 180 รูปร่างผอมเพรียว หน้ากากรูปร่างประหลาดที่ปรากฎตัวอักษร x ประดับบนศีรษะ ทั่วร่างปกคลุมด้วยชุดหนังสีดำที่เงาวับ บริเวณเอวสวมใส่เข็มขัดที่ฝังอัญมณีสีแดงขนาดใหญ่อยู่ข้างใน
“ร่างทรงแห่งความถูกต้อง กำปั้นนี้เพื่ออนาคตอันสดใส จิตใจมุ่งมั่นกล้าหาญและเข้มแข็ง แสงยานุภาพของพวกเราจักเฉิดฉายเพื่อชี้ทางสว่างให้ผู้คน !”
ชายหน้ากากตวัดแขนขา ย่อเข่าลงและไขว้มือเป็นรูปกากบาท
“ขบวนการนักรบหน้ากาก คาเมนเมจิกเซี่ยน —- คาเมน X ปรากฎกาย !!!”
ตู้มมมมมมมม !!!
เบื้องหลังของชายหน้ากากเกิดระเบิดแสงสีเป็นรูปตัว x ดังสนั่นบ้านสนั่นเมือง
หญิงสาวที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้คนบนท้อนถนนก็หรี่ตามองชายที่อยู่ข้างบนด้วยความรู้สึกแสบตาจากแสงสีที่สว่างไสว
“เลิกเล่นแล้วลงมาดีๆเถอะ…”
ได้ยินเสียงเอือมระอาของหญิงสาว บุรุษหน้ากาก คาเมน X ก็พยักหน้า
เขาเกร็งขาสองข้างเตรียมกระโดดลงมา
กึก !
ทว่า ทันใดนั้นเอง เขาก็สะดุ้งเฮือกใหญ่ราวกับนึกขึ้นได้ ว่าแล้วเขาก็เปลี่ยนจากกระโดดมาวิ่งลงทางบันไดหนีไฟแทน
“……………………”
หญิงสาวมองบุรุษหน้ากากที่วิ่งหน้าตั้งลงมาจากบันไดหนีไฟด้วยดวงตาตายด้าน
หลังจากนั้นไม่เกินสามนาที บุรุษหน้ากากก็มายืนหอบอยู่ข้างหน้าเธอ
“แฮ่กๆ ขออภัยเป็นอย่างยิ่งคุณผู้หญิง เพราะเกรงว่า หากกระโดดลงมาจะทำให้พื้นข้างล่างเสียหาย กระผมจึงต้องให้ท่านเสียเวลารอ ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง”
แม้จะคิดในใจว่า แล้วการะเบิดเมื่อกี้ไม่สร้างความเสียหายให้ที่สาธารณะรึยังไง แต่เธอก็ไม่สายความยาวต่อความยืด หญิงสาวเอ่ยกับบุรุษหน้ากากด้วยเสียงราบเรียบพร้อมยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้กับเขา
“ช่างเรื่องยิบย่อยเถอะ ฉันมีเรื่องต้องการว่าจ้างนาย ฮีโร่หน้ากาก คาเมน X”
บุรุษหน้ากาก หรือ นามที่จอมเวทย์เรียกโดยทั่วกัน คาเมน X เขาคือหนึ่งในจอมเวทย์สังกัดขบวนการนักรบหน้ากากที่ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 5 คนซึ่งทุกคนจะมีรูปลักษณ์เป็นฮีโร่สวมหน้ากากคล้ายในหนังยอดมนุษย์เหมือนกันหมด
หากจะเล่าถึงจุดเริ่มต้น มันก็คงนาน เอาเป็นว่ากล่าวโดยสรุปสั้นๆ พวกเขาคือองค์กรยอดมนุษย์ขนาดเล็กไม่แสวงหาผลกำไรที่ต่อสู้กับเหล่าร้ายเพื่อปกป้องความสงบสุขของโลกใบนี้
ไม่ว่าจะผู้ก่อการร้าย องค์กรค้ามนุษย์ รวมไปถึงแก๊งค้ายาเสพติด ขบวนการนักรบหน้ากาก เป็นหนึ่งในกลุ่มคนจำนวนเพียงหยิบมือที่ได้รับอนุญาติจากสภาเวทย์ให้ช่วยเหลือสังคมจากในเงามืดและใช้เวทมนต์เพื่อลงทัณฑ์คนเลวอย่างถูกกฎหมาย
แน่นอนว่า ห้ามใช้กำลังทำร้ายจนถึงตาย และจำเป็นต้องจับตัวคนร้ายไปดำเนินคดีตามกฎหมาย จะยกเว้นก็แค่อาชญากรจอมเวทย์ที่ทางการหมายหัวซึ่งอนุญาติให้จับตาย
ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูหลุดโลก ประกอบกับงานที่ไล่ล่าจอมเวทย์ด้วยกันเอง พวกเขาจึงไม่ใช่กลุ่มคนที่ได้รับความชื่นชอบจากจอมเวทย์ด้วยกันเองซักเท่าไหร่ กลับกันพวกเขาถูกมองเป็นตัวตลกซ่ะมากกว่า
กระนั้นแล้ว ฝีมือของพวกเขาคือของจริง แม้แต่ คาเมน X ที่เป็นฮีโร่คนเล็กสุด ก็มีเรื่องเล่ากันว่าเขาสามารถสังหารมังกรด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว
หลังจากที่คาเมน X ได้อ่านเอกสารข้างใน เขาก็พยักหน้าและเอ่ยกับแซนดี้ด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยต่างจากอารมณ์ก่อนหน้าที่ดีดจัด
“เลดี้ฟลาวเวอร์เรีย…คุณหนูผู้นั้นเป็นหนึ่งในจอมเวทย์ไม่กี่คนที่ปฏิบัติกับพวกเราขบวนการหน้ากากอย่างเป็นมิตร”
พอนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวที่แย้มยิ้มอย่างร่าเริงและยื่นช่อดอกไม้ให้กับพวกตน คาเมน X ก็กำหมัดแน่น
“เด็กคนนั้นหายตัวไปได้หนึ่งเดือนแล้ว…ฉันพยายามเต็มที่ในการแกะรอยเมจิคัลโฟนจนรู้ว่าหนึ่งในสถานที่ที่เธอปรากฎตัวเป็นครั้งสุดท้ายคือ เมืองคาคุฮอน ”
พอได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยของหญิงสาว หน้ากากรูปตัว x ของคาเมน X ก็เปร่งแสงสีแดง
“ฉันจะไปสืบสวนที่นั่นราวๆหนึ่งสัปดาห์ และ ฉันต้องการคนคุ้มกัน”
“ก็เลยเลือกกระผมเช่นนั้นสินะครับ”
“อ่า….ถ้ามีคนระดับนายอยู่ด้วย ฉันก็คงวางใจได้เปราะหนึ่ง…นอกจากนี้ช่วงที่เราไปถึง เมืองๆนั้นจะมีอีเว้นท์ปราบปรามออร์ค หลังจากที่อีเว้นท์จบลง พวกเราก็จะได้คนจากสมาคมบลูคอสมอสมาช่วยสืบสวนด้วยอีกแรง”
‘สมาคมบลูคอสมอส’ —- องค์กรในสังกัดของจอมเวทย์ระดับอาดามันเที่ยม อังเคิ่ล อิมอทั่ล ซึ่งเลดี้ฟลาวเวอร์เรีย ก็สังกัดอยู่ในสมาคมดังกล่าวอยู่ แน่นอนว่าทางนั้นเองก็ค่อนข้างร้อนรนเช่นเดียวกันที่หนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของสมาคมหายตัวไป
“ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว การจ้างกระผมมาด้วยจะไม่เป็นปัญหาหรอกรึ ?”
เป็นที่รู้กันดีว่า จอมเวทย์ของสมาคมต่างๆจะค่อนข้างดูถูกขบวนการนักรบหน้ากากที่ชอบเป็นจุดเด่นและแสดงออกเป็นเอกลักษณ์เด่นสะดุดตาจนน่ารำคาญ
“ฉัน…ไม่ไว้ใจพวกเขา”
“—- !!!”
ดวงตาที่เย็นชาของเธอทำให้แสงสว่างภายในหน้ากาก x กระพริบปริบๆ
“ฉันได้ใช้เส้นสายที่มีอยู่ไปสืบข่าวมาแล้วก็พบเรื่องร้องเรียนอย่างน้อย 10 เรื่องที่พูดถึงการหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาของจอมเวทย์ถูกส่งไปยังสภาโต๊ะกลม….แต่จนถึงตอนนี้ทางสภาโต๊ะกลมก็ยังไม่ทำการสืบสวน ทั้งๆที่จำนวนจอมเวทย์ที่หายตัวไปกำลังเพิ่มขึ้น !”
สภาโต๊ะกลม คือ กลุ่มผู้บริหารระดับบนๆซึ่งคานอำนาจกับสภาเวทมนต์
หากสภาเวทมนต์คือองค์กรที่ขับเคลื่อนโดยเหล่าจอมเวทย์จากอาณาจักรเซเลสเทีย สถาโต๊ะกลมคือองค์กรที่บริหารโดยเหล่าจอมเวทย์ระดับอาดามันเที่ยมทั้ง 9 คน
ด้วยความที่จอมเวทย์จากอาณาจักรเซเลสเทียสูญเสียร่างกายไปจนเหลือแค่วิญญาณจากการใช้พลังทั้งหมดสร้างโลกเรพลิก้า อำนาจของฝั่งสภาเวทมนต์จึงมีเพียงการออกกฎระเบียบ และ พิพากษาลงโทษจอมเวทย์ผู้กระทำความผิด ประหนึ่งฝ่ายนิติบัญญัติควบรวมกับฝ่ายตุลาการ ทว่า ด้วยความที่เหลือแค่ร่างวิญญาณ การดำเนินงานต่างๆจึงล่าช้าและไม่ค่อยศักดิ์สิทธิ์มากพอทำให้จอมเวทย์บางส่วนหย่อนหยาน จนเกิดปัญหาจอมเวทย์วายร้ายที่ใช้เวทมนต์กับคนธรรมดา หรือ ใช้พลังข่มขู่จอมเวทย์ด้วยกันเอง (อนึ่ง การปรากฎตัวของมอนสเตอร์ในโลกเรพลิก้าถือว่าอยู่ในการกำกับดูแลของสภาเวทย์เป็นกรณีพิเศษเนื่องจากโลกเรพลิก้ามีกรรมสิทธิอยู่ในการครอบครองของอาณาจักรเซเลสเทีย)
กลับกันที่พึ่งพาได้มากที่สุด คือ สภาโต๊ะกลม ที่ขับเคลื่อนโดยจอมเวทย์ระดับอาดามันเที่ยม ซึ่งพวกเขาเป็นฝ่ายบริหารวางแผนนโยบายต่างๆเพื่อปกป้องสันติสุขของโลกใบนี้ ไม่วาจะแผนทวงคืนผินดินที่ปนปื้อนกัมมันตรังสี การวางแนวป้องกันการรุกรานจากเผ่าปีศาจ รวมถึงหนึ่งในโปรเจคที่แซนดี้มีส่วนร่วมอย่าง โปรเจค ’รีเบล’ ที่เป็นแผนการครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จะรวบรวมจอมเวทย์เข้าโจมตีโลกของเผ่าปีศาจ
“ทางสภาเวทย์ได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นและส่งต่อเรื่องไปให้สภาโต๊ะกลมเพื่อช่วยคัดเลือกคนมาสอบสวน แต่ทางสภาโต๊ะกลมเองกลับยังไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย ราวกับว่าจะใช้โอกาสนี้ถ่วงเวลาเพิ่มจำนวนผู้เสียหาย เพื่อดิสเครดิตของสภาเวทย์ที่ไม่มีกำลังจัดหาจอมเวทย์ไปสืบสวนเอง”
เป็นที่รู้กันดีว่า สภาเวทย์นั้นศักดิ์สิทธิ์แค่ในนาม จอมเวทย์ในสังกัดโดยตรงของพวกเขานั้นมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับสภาโต๊ะกลมซึ่งเหล่าจอมเวทย์อาดามันเที่ยมได้สร้างสมาคมของแต่ละคนขึ้นมาและมีจอมเวทย์ในสังกัดอยู่มากมาย การกระจายคนไปแก้ปัญหาต่างๆ สภาเวทย์จึงทำได้ล่าช้ากว่า
“คุณหญิงแซนดี้จึงมีความกังวลใจว่าคนในสมาคมบลูคอสมอสซึ่งบริหารโดยหนึ่งในจอมเวทย์ระดับอาดามันเที่ยมจะจงใจขัดแข้งขัดขาการสืบสวนเพื่อดิสเครดิตสภาเวทย์เช่นนั้นหรอครับ”
“อ่า…ตอนนี้…ฉันไม่รู้ว่าจะไว้ใจใครในดินแดนจอมเวทย์ได้แล้ว…พวกที่พอจะวางใจได้ก็มีแต่จอมเวทย์อิสระไม่ขึ้นกับฝ่ายใดอย่างพวกนาย”
หงึกๆ
ได้ยินดังนั้นคาเมน X ก็วางมือลงบนอกและโค้งหัวให้อย่างมีมารยาท
“ถ้าเช่นนั้น กระผมก็ยินดีตอบรับคำขอของคุณหญิง…ในนามของความเที่ยงธรรม กระผมจะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ”
แม้จะเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทางโอเว่อ แต่หญิงสาวก็หาได้ถือสา
ในตอนนี้เมื่อเทียบกับความกังวลใจเรื่องความปลอดภัยของน้องสาว กะอีแค่ท่าทางตลกๆนี่ถือเป็นเรื่องเล็ก
ตราบใดที่มันช่วยให้ไปถึงน้องสาวของเธอแม้เพียงก้าวเดียว แซนดี้ ก็พร้อมจะใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นอะไรก็ตาม
— และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นก่อนที่ทั้งคู่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้นองเลือดครั้งใหญ่