เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 20
อีเว้นท์ คืออะไร ?
อีเว้นท์ นั่นก็คือกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นเป็นช่วงๆแล้วแต่อัตราการปรากฎตัวของกองทัพจอมมาร โดยภายในอีเว้นท์นั้นจอมเวทย์ทุกท่านที่เข้าร่วมจะได้รับเกียรติขึ้นชื่อบนป้ายเกียรติยศของโลกเวทมนต์ ทุกท่านจะได้รับการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์รวมถึงเงินทองปริมาณมากเพื่อเสริมแกร่งให้พวกเราสามารถเอาชนะศึกครั้งใหญ่นี้ไปด้วยกัน ชื่อเสียงเงินทอง และ อนาคตของมนุษยชาติได้อยู่ในมือของจอมเวทย์ทุกท่านที่เข้าร่วมอีเว้นท์แล้ว คิดซ่ะว่านี่คือกิจกรรมสันทนาการที่ช่วยมอบความตื่นเต้นและสีสันต์ให้กับชีวิตในฐานะจอมเวทย์ก็ว่าได้
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
# เอ็มเพรส มารีน #
หลังอ่านรายละเอียดต่างๆเสร็จ ฉันก็สามารถสรุปคร่าวๆได้ดังนี้
อีก 2 วันข้างหน้าเมืองคาคุฮอนที่อยู่ไม่ไกลจะเกิดเหตุการณ์ออร์คจำนวนมากบุกมายังโลกเรพริก้า ระยะเวลากิจกรรมก็คือหนึ่งวัน หรือก็คือภายในหนึ่งวันนั้นจะมีออร์คบุกมายังเมืองนั้นแค่เมืองเดียวอย่างน้อย 2000 ตัว
จอมเวทย์ที่ได้รับเชิญมีแค่บางส่วนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแย่งล่าและทะเลาะกันเองระหว่างจอมเวทย์ ทางกองบริหารบุคคลกระทรวงเวทมนต์ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนดีแล้วว่าควรจะส่งจอมเวทย์เข้าร่วมกิจกรรมกันกี่คน
ภายในวันนี้ถ้าไม่ตอบข้อความจะถือว่าปฏิเสธ แต่ถ้าตอบตกลงเข้าร่วมแล้ว จะไม่มีสิทธิปฏิเสธทีหลังเว้นแต่จะมีเหตุผลอันสมควร
ทุกคนที่เข้าร่วมจะได้เงินทันทีคนล่ะ 100,000 โกล และราคาค่าหัวของออร์คตัวหนึ่งที่กำจัดได้จะเพิ่มเป็นสองเท่าตัว
เรียกได้ว่านี่คือกิจกรรมฟาร์มเงินครั้งใหญ่ที่หากปฏิเสธไปก็คงได้เสียใจไปชั่วชีวิต
“เยส ! พวกเราไม่ได้ร่วมอีเว้นท์มานานแล้ว ดีจังเลย !!!”
เอวาแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้า เธอเล่าว่าตั้งแต่เป็นจอมเวทย์ เธอและอีกสองคนเคยเข้าร่วมอีเว้นท์ใหญ่ๆแค่ครั้งเดียว เพราะส่วนมากอีเว้นท์จะเรียกตัวแค่จอมเวทย์ในระแวกใกล้เคียง ซึ่งดินแดนแถบเมืองมาซากุระนี้ก็ค่อนข้างสงบสุขไม่ค่อยเกิดการรุกรานบ่อยซักเท่าไหร่จึงไม่มีอีเว้นท์
ทว่า หากคิดในอีกแง่มุม การที่เกิดอีเว้นท์ในดินแดนที่ไม่เคยเกิดอีเว้นท์มาก่อน มันก็บ่งบอกถึงสัญญาณอันตรายบางอย่างที่ยากจะมองข้าม
แต่ตัวฉันที่เป็นเพียงจอมเวทย์ธรรมดาๆคนหนึ่งก็คงไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการไล่กำจัดพวกมันเท่าที่มือสองข้างนี้จะสู้ไหว
แล้วเงิน 100,000 นี่ก็ค่อนข้างล่อตาล่อใจพอสมควร
ตกลงค่ะ ! ฉันกดตอบตกลงเพื่อเข้าร่วมโดยไม่ลังเล ก็นะ เงินมันหอมนี่นา
“ฉันไปแน่ๆ จะได้ฝึกฝนกับคู่ต่อสู้เก่งๆ”
“แต่รอบที่แล้วพึ่งโดนพวกออร์คอัดยับจนเข้าโรงพยาบาลไม่ใช่หรอ”
“นะ นะ นั่นมันไม่นับสิ ! คราวนี้ฉันจะแก้มือ ! จะแก้มือให้ดูเอง !!!”
พอโดนฉันแซวเอวาที่แก้มป่องกึ่งงอนเล็กน้อยก็ปฏิเสธด้วยสีหน้าอันบึ้งตึง พอเห็นเธอทำท่าทางราวกับเด็กๆพวกเราสามคนก็หัวเราะออกมา
“ว่าแต่ทั้งสองคนละ ?”
เมื่อฉันถาม ทั้งนานาเสะและซูก็ส่ายหัว
“พอดีว่า พวกเราสองคนติดสอบกลางภาคพอดีนะครับ”
“แล้วถ้าเกิดไปกันหมด วันนั้นก็ไม่มีคนปกป้องเมืองมาซาะกุระพอดีสิคะ”
แบบนี้ก็มีแค่เราสองคนที่เข้าร่วม
กริ๊งๆๆๆ
หลังจากที่พวกเราตกลงกันว่าจะมีแค่ฉันและเอวาที่เข้าร่วมได้ไม่นาน เงินในบัญชีของพวกเราก็เด้งขึ้น พร้อมจดหมายขอบคุณจากทางกองบริหารบุคคล
“หะ หะ หนึ่งแสน ! แบบนี้กลิ้งๆนอนๆไม่ทำงานได้เป็นปีเลย !!!”
“สำเร็จ ! ไม้กวาดอันใหม่ละ อีกนิดเดียวก็จะเก็บเงินซื้อไม่กวาดอันใหม่ได้แล้ว !!!”
“ทั้งสองคน ! ถึงจะเป็นอีเว้นท์ที่มีจอมเวทย์เข้าร่วมเยอะ แต่ความอันตรายมันก็ไม่ต่างจากเดิมนะ เพราะงั้นระวังตัวด้วยล่ะ !!!”
ซูมองพวกเราด้วยสายตาห่วงใยราวกับคุณแม่
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ลืมจุดประสงค์ที่เข้าร่วมแน่นอน ฉันจะแข็งแกร่งขึ้น !!!”
“ฉันไม่ประมาทแน่นอนค่ะ…ยิ่งค่าหัวเพิ่มสองเท่า ฉันจะไม่ประมาทและคิดแผนซ้อนเป็นสิบๆตลบๆเพื่อตามล่าพวกออร์คไม่ให้เหลือกลับโลกปีศาจแม้แต่ตัวเดียว”
“เอ่อ……..”
ซูทำได้เพียงยิ้มแหยๆ ขณะมองเราทั้งคู่จับมือกัน
“ไปหาเงินกันเถอะแม่มดอัสนี !”
“เธอนี่จะหน้าเงินไปแล้วนะเอ็มเพรส มารีน แต่ก็เอาเถอะ ! พวกเรามาปกป้องสันติภาพของโลกใบนี้กันเถอะ”
แม้จุดประสงค์จะแตกต่าง แต่ขั้นตอนนั้นเหมือนกัน
“สองคนนี้…จะไหวไหมเนี่ย ?”
“ฮ่าๆ…เอาน่า คุณมารีนอยู่ด้วยทั้งคน..คงไม่ปล่อยให้เอวาทำอะไรบ้าๆหรอกมั้ง ?”
นานาเสะและซูที่มองพวกเราด้วยความเป็นห่วงคิดมากเกินไปแล้ว
กะอีแค่ออร์ค พวกเราไม้แพ้ง่ายๆหรอกน่า ถึงจะเห็นแบบนี้ฉันก็ฆ่าออร์คไปเยอะ จนควรที่จะได้ฉายาออร์คสเลเยอร์เลยนะ
แน่นอนว่าฉันจะไม่ประมาท ที่ต้องเป็นห่วงคือยัยแม่มดผมทองที่กำลังชวนฉันไปเลือกซื้อไม้กวาดอันใหม่ที่ดินแดนจอมเวทย์ต่างหาก
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
# เอ็มเพรส มารีน #
เงิน 100,000 โกลไม่ได้มีไว้ประดับบัญชี ก่อนเริ่มอีเว้นท์หนึ่งวัน ฉันและเอวาก็ไปเลือกซื้ออุปกรณ์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับศึกครั้งใหญ่ในวันพรุ่งนี้ ตลอดสองวันนี้ทั้งนานาเสะและซูก็บอกให้พวกเราพักผ่อนกันตามสบาย เดี๋ยวเรื่องมอนสเตอร์ภายในเมืองมาซากุระทั้งคู่จะจัดการให้เอง
เพราะไม่อยากขัดจังหวะเวลาหวานแหววของทั้งคู่ ฉันและเอวาก็เลยมาใช้เวลาร่วมกันที่ร้านขายไม้กวาด
ไม่สิ จะเรียกว่าร้านก็คงไม่เชิง เพราะสถานที่ที่พวกเรามาคืออาคารทรงกลมขนาดใหญ่ที่กว้างขวางราวกับโชว์รูมขายรถไม่มีผิด หากแต่สิ่งที่จอดอยู่ข้างในโชว์รูมไม่ใช่รถ แต่มันกลับเป็นไม้กวาดหน้าต่างแตกต่างกันมากมายต่างหาก
ระหว่างที่เอวากำลังเพ่งสายตาอยู่กับไม้กวาดทางมะพร้าวยาวสามเมตรด้วยตาเป็นประกาย แอนิมัสหน้าตาเหมือนมนุษย์หน้าหงส์ก็ผายปีกที่มีขนสีขาวไปยังไม้กวาดและอธิบาย
“นี่คือไม้กวาดรุ่นเนชั่วรั่ลสปีด ขับเคลื่อนตัวไม้กวาดด้วยดูอัลเจ็มสโตนหรือก็คือผลึกเวทย์สองเตาพลังงาน เพดานบินสูงสุดอยู่ที่ 300 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุดที่เร่งได้อยู่ที่ 2.25 มัค หรือก็คือ 2414 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเทียบเท่ากับเครื่องบันขับไล่ใน 1 ลำ บรรทุคคนได้เต็มที่สองคน สามารถติดตั้งออร์ฟชั่นเสริมเช่นคฑาเวทย์ระดับกลางได้ แต่จะทำให้ความเร็วสูงสุดตกลงไปอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 3 และเพดานบินเหลือแค่ 200 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบโซล่าซิสเต็มที่แปรเปลี่ยนพลังแสงอาทิตย์เป็นพลังเวทย์ ช่วยยืดเวลาบินออกไป โดยจะดึงพลังเวทย์สำรองมาใช้ในกรณีที่ผู้ขี่พลังเวทย์หมด ยังไม่พอ ! ทางเราได้อัพเกรดเวทย์คุณสมบัติพิเศษที่ช่วยในการทำความสะอาด สามารถใช้มันแทนไม้กวาดของจริงได้โดยที่ลดเวลาในการทำความสะอาดกว่าไม้กวาดธรรมดาถึง 10 เท่า”
“นี่มันเยี่ยมไปเลย !!! รุ่นใหม่ล่าสุดแล้วใช่ไหม”
เอวากระดี๋กระด๊าและเอ่ยถามพนักงานหงส์ด้วยความกระตือรือร้น
“มีอีกรุ่นคือ รุ่นมิสฟอจูนน่า สภาพคงทน ความเร็วเท่ารุ่นนี้ แต่มีความสามารถในการล่องหนและสามารถติดตั้งออร์ฟชั่นเสริมโดยความเร็วไม่ลดลง ในด้านของราคาราคาตกอยู่ที่ 400 ล้านโกลค่ะ”
“อึก !”
พอได้ยินราคาจากปากของพนักงานขาย เอวาที่หน้าซีดก็เหลือบตามองไม้กวาดบนแท่นโชว์ที่ปลายนิ้วเล็กๆกำลังลูบด้ามจับด้วยความหลงใหล
“แล้วรุ่นเนชั่วรั่ลสปีดรุ่นนี้ละ ?”
“ราคาตกอยู่ที่ 350 ล้านโกลค่ะ”
“อึ่ก !”
ราคาหลักร้อยล้านทำเอาเอวาถึงกับสะอึก
การที่ราคาแพงก็คงไม่แปลก เพราะสมรรถภาพของไม้กวาดที่พูดมานี่เทียบเท่าเครื่องบินรบของแต่ล่ะประเทศได้เลย
“ละ แล้ว รุ่นนอมัลเอ็นจิ้น ล่ะ…ด้ามก่อนฉันใช้รุ่นนั้น”
“ถ้ารุ่นที่ราคา 1 ล้านโกล ปัจจุบันถูกเรียกคืนสิ้นค้าเนื่องจากปัญหาความปลอดภัยที่พังง่ายค่ะ”
“มะ มะ ไม่จริงน่า ! ไม่เห็นจะพังง่ายตรงไหน รุ่นนั้นฉันใช้มาได้ตั้งครึ่งปีเลยนะ !!!”
“ถ้าแค่นั้นยังไม่เจอปัญหาหรอกค่ะ เพราะหลังใช้งานได้ 1 ปี ก็มีคนพบว่าผลึกเวทย์เสื่อมสภาพจนทำให้มีจอมเวทย์บาดเจ็บหลังไม้กวาดระเบิดกลางอากาศที่ความสูง 10 กิโลเมตร โชคดีที่ตกลงไปในทะเลเลยไม่ถึงตาย แต่ปัจจุบันกำลังฟ้องร้องเรื่องค่าเสียหายกันไม่จบเลยค่ะ”
งือออออ
เอวากำชายกระโปรงแน่นด้วยสีหน้าเศร้าใจ ก่อนจะกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่และเอ่ยถามอีกฝ่าย
“งั้นราคาถูกที่สุดตอนนี้ละ ?”
“ถ้าเอารุ่นที่ปลอดภัยยังไม่ถูกเก็บกลับโรงงานก็จะเป็นรุ่นโทรโฟสเฟียร์ซีรีย์ คลาส E ที่รักษาเพดานบินไดไม่เกิน 1 กิโลเมตรค่ะ ความเร็วเต็มที่อยู่ที่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ราคาตกอยู่ที่ 5 ล้านโกลค่ะ”
“หะ หะ ห้าล้าน ?”
พอมองเงินในบัญชี เอวาก็ค่อยๆเหลือบตามองอีกฝ่าย
“ลดซักล้านได้ไหม ?”
“ไม่ได้ค่ะท่านจอมเวทย์….”
“ฮึก ! มะ มะ มารีน !!!”
อยู่ๆเอวาก็ช้อนตามองฉันด้วยดวงตารื้นน้ำ ถึงจะอ้อนด้วยหน้าตาน่าสงสารฉันก็ไม่มีเงินล้านมาจ่ายให้หรอกค่ะ แค่หนี้ส่วนตัวฉันยังจ่ายไม่หมดเลย
“ขอยืมเงินหน่อย นะๆๆๆ”
“มีรุ่นพี่ที่ไหนมาขอเงินรุ่นน้องกันบ้างค่ะ ไม่ละอายบ้างหรอ ?”
“ก็มัน…ฮึก ! แม่มดที่ไม่มีไม่กวาด มันก็ไม่ใช่แม่มดน่ะสิ !!!”
ตรรกะอะไรของคุณกันเนี่ย ?
“นะๆๆๆ ขอยืมหน่อย ถ้ายืมล่ะก็จะช่วยขับไปรับไปส่งให้ตลอดชีวิตเลย”
“ขอโทษด้วยค่ะท่านจอมเวทย์ รุ่นนี้บรรทุกได้แค่คนขี่แค่คนเดียวค่ะ ”
“ฮึก ! ถะ ถะ ถ้างั้น แบ่งกันใช้ก็ได้”
อย่าทำแบบนั้นสิ คุณรุ่นพี่
อายุอานามก็ปาไปชั้นมัธยมปลายแล้วนะ จะมาร้องไห้งอแงอยากได้ไม้กวาดราวกับเด็กๆแบบนี้ มันน่าขายหน้าเกินไปมุ้ย
แล้วที่บอกว่าจะขี่ไปส่งตลอดชีวิตนั่น ขอแต่งงานรึไง ? ช่วยเลือกคำพูดให้เข้าท่าและคิดให้รอบคอบกว่านี้หน่อยเถอะ
เฮ้อ…..
ดูท่าเธอจะมีปัญหาด้านการเงิน ฉันเลยลองถามพนักงานขาย
“แล้วมีรุ่นไหนที่ผ่อนได้บ้างไหมคะ ?”
“ค่ะมีรุ่นเซเว่นสปีด้า ราคา 7 ล้าน ดอกเบี้ย 0% ผ่อนเดือนละ 100,000 โกล”
ถ้าคำนวณดูก็จะตกที่ 70 เดือน หรือก็เกือบ 7 ปีได้เลย ถ้ารุ่นพี่คนนี้ใช้ไม่ระวังแบบครั้งก่อนคงพังภายในไม่กี่เดือนแน่ๆ
“มีถูกกว่านี้ไหม ?”
“ไม่มีแล้วค่ะ….”
“ฮัลโหลลล ซู ! ฮืออออ เค้าขอยืมเงินหน่อยสิ—- อ๊อย ! เจ็บนะ !!! หยิกแก้มฉันทำไมเนี่ยเอ็มเพรส มารีน !?”
พอฉันหยิกแก้มเรียกสติเธอไปทีนึง เอวาที่มีหยดน้ำใสๆติดอยู่ที่หางตาก็ลูบแก้มที่แดงเล็กน้อยพลางมองค้อนมาที่ฉัน
“คือว่า…ขออนุญาตินะคะ”
เป็นตอนนั้นเองที่พนักงานเสนอสินค้าใหม่
“ถ้าต้องการแค่พาหนะที่บินได้ ก็มีอันหนึ่งราคาตกอยู่ที่ 1 ล้าน ความเร็วอาจไม่มาก แต่บรรทุกคนได้ถึง 5 คนเลยค่ะ”
“อะไรนะ !? มีของดีแบบนั้นด้วยหรอ”
ว่าแล้ว พนักงานก็นำทางเอวาที่ตาเป็นประกายไปยังส่วนลึกสุดของร้าน ระหว่างทางบนแท่นโชว์สองข้างก็เต็มไปด้วยไม้กวาดหลากหลายรูปแบบหลากหลายสีสันต์
มีทั้งไม้กวาดสีแดงที่กำลังลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง หรือ ไม้กวาดที่ทำจากไม้ไผ่ก็ยังมี กระทั่ง หน้าตาแปลกๆอย่างไม้กวาดที่มีปากและกำลังยื่นลิ้นห้อยต่องแต่งจนน้ำลายหยดบนพื้นก็มีให้เห็น
นิยามคำว่าไม้กวาด นี่มันช่างหลากหลายจริงๆค่ะ
กึก !
สุดท้าย พวกเราก็มายืนอยู่หน้าพรหมกำมะยี่สีแดงสด
“พรหมลอยได้ รุ่นอิน—-”
“นี่มันไม่ใช่ไม้กวาดซักหน่อย !!!”
แม้พนักงานจะพยายามอธิบายว่าหากเอวากลัวอาภรณ์เวทย์ของเธอดูไม่เข้ากับพรหม ทางร้านจะแถมชุดอาภรณ์เวทย์ที่มีหมวกขาวคลุมหัวและชุดนางรำสีเหลืองสีเข้าคู่กับพรหมไปให้
ทว่า เอวาก็รับไม่ได้ จนสุดท้าย ฉันต้องลากคอเธอออกมาจากโชว์รูม
“ฮึก ! ก็มัน..ก็มัน….เค้าอยากได้ไม้กวาดอ่า”
“ค่าๆๆ ไว้หลังจากนี้ขยันทำงานเก็บเงินเยอะๆนะคะรุ่นพี่”
นี่เห็นฉันเป็นผู้ปกครองหรือไง ?
ให้ตายเถอะ ในบางครั้งรุ่นพี่ของฉันก็แสดงด้านที่เป็นเด็กๆออกมาจนอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มด้วยความเอ็นดูจริงๆค่ะ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
หลังเคลียร์เรื่องไม้กวาด ฉันก็ตรงไปร้านขายอาวุธเพื่อเติมกระสุนเวทย์ชนิดพิเศษที่สั่งทำเอาไว้เมื่อสัปดาห์ก่อน
“มารีนยังฝึกยิงปืนอยู่งั้นหรอ ?”
“อื้ม…พอคิดว่า ถ้าเจอศัตรูบนฟ้าแล้วจะลำบาก ไม่ว่ายังฉันก็ยังอยากจะลองวิธีที่ดูสามัญๆที่ต่อให้ไม่ใช่จอมเวทย์ก็ทำได้อยู่ดี”
หากเป็นกระสุนธรรมดาอย่างมากก็แค่ฆ่าพวกกอบลิน แต่ถ้าอยากยิงให้ทะลุร่างของพวกออร์คในนัดเดียว หรือฆ่าจอมเวทย์ไม่ก็เผ่าปีศาจ ฉันต้องใช้กระสุนชนิดสั่งทำพิเศษพิเศษที่มีราคาแพง
ด้วยประสาทสัมผัสของฉันที่เป็นจอมเวทย์ระดับสูง ฉันก็ใช้เวลาไม่นานฝึกฝนยิงปืนได้สำเร็จ ทว่า ถึงจะเป็นอย่างงั้น ฉันก็ยิงศัตรูที่อยู่ระยะไกลไม่เก่งซักเท่าไหร่ ถ้าจะให้แม่นก็ต้องเป็นระยะไม่เกิน 10 เมตร รู้สึกเล็งอยากกว่าเวทมนต์ที่วิธีใช้ขึ้นอยู่กับพลังจินตนาการในหัวเสียอีก สมมุติว่าครั้งหน้าเจอไวเวิร์นบินหนีไปอีกปืนพกก็คงจัดการมันไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็พอมีประโยชน์ในตอนที่พลังเวทย์หมด
ในปัจจุบันก็มีจอมเวทย์บางส่วนใช้ปืนมาเป็นอาวุธเสริม แต่ถึงอย่างงั้นมันก็เป็นอาวุธรองยามคับขัน เพราะกระสุนที่มีจำกัดทำให้บริหารการใช้งานยากกว่าพลังเวทย์ที่เติมใหม่ได้เรื่อยๆ แถมราคาก็ไม่ได้ถูกๆ จะยิงแต่ล่ะนัดต้องคิดให้ดีๆ ครั้งล่าสุดที่เอาไปใช้ตอนฝึกต่อสู้ก็แค่ลองดูความรุนแรงเฉยๆ ครั้งหน้าจะไม่เอาไปยิงเล่นให้เปลืองเงินอีกแน่ๆ
ฉันว่าจะลองฝึกใช้เจ้านี่ไปก่อน เผื่อว่าซักวันเก่งขึ้นจะลองใช้สไนเปอร์ดู พอถึงเวลานั้นต่อให้ห่างเป็นกิโลฉันก็สามารถจัดการศัตรูได้ค่ะ
“นี่ๆขอลองบ้างสิ”
“ก็ได้ค่ะ….”
ปังๆๆๆๆ
ทุกๆครั้งที่ลงเอยว่าจะให้เอวาฝึกซ้อมด้วย ฉันก็ต้องพบกับความผิดหวังแทบทุกครั้ง
ใช่…..เอวาที่ไม่เคยยิงปืนมาก่อนกลับยิงแม่นกว่าฉันเสียอีก
ชิ ! คนเขาอุตส่าห์ฝึกยิงมาก่อนแท้ๆ พอเข้าใจแล้วละว่าความรู้สึกเจ็บปวดเวลาเจอคนที่มาทีหลัง แต่เก่งกว่า มันรู้สึกยังไง
หลังจากนั้นฉันก็ไปเลือกซื้อพวกยาเสริมพลังเวทย์และยารักษาต่างๆ เป็นอันเสร็จภารกิจของวันนี้
พอจบงาน พวกเราที่ท้องว่างก็ตรงไปที่คาเฟ่ ‘สไลม์มี่ คาเฟทาเรีย’ เจ้าเก่าที่เรารัก
ฉันเจอกับสไลม์ที่แสนจะนุ่มนิ่มที่มาคลอเคลียกับฉันอย่างน่ารัก ส่วนเอวาก็เจอกับสไลม์สีช็อคโกแลตเจ้าเก่า ท่าทางเจ้าตัวนั้นจะสนิทกับเอวาพอสมควร
ในขณะที่ฉันแทบจะโดนพวกสไลม์ทับจนหายใจไม่ออก เอวาที่มีสไลม์สีช็อคโกแลตนั่งตักอยู่แค่ตัวเดียวก็เลื่อนสายตาไปตามเมนู
“กองทัพต้องเดินด้วยท้อง มารีน ! เรามาลองอะไรใหม่ๆกันเถอะ”
“คิกๆ เด็กคนนี้นี่ขี้อ้อนจัง คะ ? เมื่อกี้ว่าไงนะ”
ฉันที่กำลังถูกสไลม์นัวเนียขาจนจักกะจี้ล่ะสายตามามองเมนูที่เธอกำลังสนใจ
“ว่าจะลองเมนูที่แพงที่สุดของร้านอย่าง ช็อคโกๆๆ สไลม์พุดดิ้ง อาไลฟวิ่งแฟนตาซี”
“รายละเอียดใต้ภาพบอกว่า มันเป็นพุดดิ้งที่ทานได้สี่คนเลยนะคะ”
“นั่นแหล่ะๆ มาลองกันเถอะ”
อืม….
ชีวิตของคนเราไม่แน่ไม่นอน
ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้รุ่นพี่เอวาคนนี้จะหาเรื่องไปโดนออร์ครุมกระทำชำเราอีกรึเปล่า เพราะงั้นตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ การได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆก็ไม่เสียหายค่ะ
“งั้นขอเมนูนี้นะ”
“อื้ม ! เอาสิ แบ่งกันกินละกัน”
หลังสั่งเรียบร้อย หัวหน้าพ่อครัวหน้าทานูกิที่มีหมวกพ่อครัวสีขาวขนาดใหญ่ก็เดินออกมาโค้งหัวให้กับพวกเรา
ระหว่างที่กำลังงุนงง อีกฝ่ายก็เสิร์ฟจานเปล่าลงบนโต๊ะ
“เอ๋ ?”
เอวา เอียงหัวด้วยความสงสัย ฉันเลยกระซิบให้เธอฟัง
“นี่ไง เพราะเป็นเมนูที่แพงที่สุด เซฟเขาเลยมาปรุงให้ดูสดๆเลยไง”
“งี้นี่เอง น่าสนุกจัง !”
พรึ่บ !
มือที่เต็มไปด้วยขนของเซฟทานูกิหยิบผงน้ำตาลขึ้นมาโปรยทีละเม็ดราวกับหิมะกำลังโปรยลงบนจาน หลังจากนั้นเขาก็หยิบขวดนมข้นหวานมาสะบัดๆวาดลวดลายเลี้ยวโค้งสลับไปมาอย่างมีชั้นเชิง
ภาพที่เต็มไปด้วยความขลังทำให้เรามองเซฟทานูกิด้วยความตื่นเต้นจนลืมหายใจ
ศิลปะอาหารอันงดงาม
รอบจานถูกลูกเชอรี่วางประดับ ช็อคโกแลตแท่งถูกวางตั้ง วิปปิ้งครีมค่อยๆก่อตัวขึ้นเหนื่อแท่งช็อคโกแลตจนกลายเป็นเหมือนต้นไม้
พื้นด้านล่างถูกปูด้วยวัฟเฟิ่ลสดใหม่ควันหอมฉุย เซฟค่อยๆบรรจงเอาพู่กันวาดครีมสีเขียวสลับสีน้ำตาลบางๆลงไปจนวาฟเฟิ่ลดูเหมือนพื้นดิน
ภาพตรงหน้าที่เห็นในจานคล้ายกับพื้นที่โล่งซึ่งรายล้อมด้วยป่าไม้เลยล่ะ
ตอนนี้ก็เหลือแค่ตรงกลางที่ว่างเปล่า จะมีอะไรต่อกันนะ
กึก !
เซฟทานูกิมองซ้ายมองขวาราวกับหาอะไรบางอย่าง เขาเอียงหัวถามผู้ช่วยที่อยู่ข้างหลัง
“แล้ววัตถุดิบล่ะ ?”
“เหลืออยู่แค่ตัวเดียวครับ”
ทันใดนั้นเอง เซฟทานูกิก็เหลือบมองมาที่เอวาแล้วโค้งหัวให้
“ขออนุญาตินะครับ”
เขาเอ่ยกับเอวาที่กำลังทำหน้างงอย่างสุภาพ มือที่เต็มไปด้วยขนยื่นไปคว้าสไลม์สีน้ำตาลบนตักของเอวาขึ้นมาแล้วโยนขึ้นฟ้า
จากนั้นมืออีกข้างก็รับมีดสีเงินคมกริบจากผู้ช่วยแล้วสับร่างของสไลม์สีน้ำตาลตัวนั้นจนขาดครึ่งกลางอากาศ
แผล่ะ !!!
“(⊙o⊙)”
ต่อหน้าต่อตาเอวาที่ทำตาโตจนแทบจะถลนออกมา คือ สไลม์ตัวน้อยบนตักเธอที่กลายเป็นสองส่วนอยู่บนจาน
“เอ่อ………….”
โดยที่ไม่ทันจะได้เสียน้ำตา ช็อคโกแลตร้อนก็ถูกราดลงไปจนควันขาวกลิ่นหอมโชยขึ้นมา เกล็ดน้ำตาลถูกโปรยลงมาด้านบนราวกับหิมะ จากนั้นไอติมรสวานิลาก็ค่อยๆถูกโปะลงด้านบนเป็นพีระมิด เสร็จแล้วก็ปักธงที่มีสัญลักษณ์รูปดาวหกแฉกลงไปอีกที
“เอ็นจอย ครับ—-”
สิ้นรอยยิ้มอันนุ่มนวลและเสียงอันเคร่งขึมของเซฟที่มอบให้กับพวกเรา
เอวาที่ทำปากพะงาบๆก็กรีดร้องออกมา
“อุ ม่ายยยยยยยย ม่ายน๊า !!! สไลม์ ! เจ้าสไลม์น้อยยยยยยยยยยยยยย”
อืม….อ่า….
ฉัน…หมดคำจะพูดค่ะ
สุดท้ายเย็นวันนั้น พวกเราก็กินอะไรไม่ลงแม้แต่คำเดียว
ฉันได้รีวิวร้านๆนี้เอาไว้ในโลกออนไลน์ถึงความจริงที่ทุกท่านจะได้เจอหากสั่งเมนูนี้ เพื่อที่อย่างน้อยจะได้ไม่มีใครต้องมาพบกับฝันร้ายเหมือนพวกเราทั้งสองคนอีก……