เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 2 ฉันกลายเป็นจอมเวทย์เเล้วค่ะ
- Home
- เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !!
- ตอนที่ 2 ฉันกลายเป็นจอมเวทย์เเล้วค่ะ
— เพราะผู้กล้าไม่อาจสังหารจอมมารได้สำเร็จ ทุกสรรพชีวิตจึงสูญสิ้น
ในดวงดาวอันห่างไกลซึ่งเรียกว่า ยูเฟเซีย มีสิ่งมีชีวิตอันหลากหลายไม่ว่าจะมนุษย์ เอลฟ์ ดรอฟว์ มังกร และ เผ่าปีศาจ รวมถึงสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นๆอีกมากมาย
โลกใบนั้นคือดวงดาวที่ขับเคลื่อนอารยะรรมด้วยเวทมนต์ และ กำลังอยู่ในสภาวะสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ต่างๆและเผ่าพันธุ์สุดแกร่งซึ่งเรียกว่า เผ่าปีศาจ
เผ่าปีศาจคือเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งทางร่างกายและพลังเวทย์ พวกมันอยู่ภายใต้การปกครองของตัวตนที่เรียกว่า จอมมาร
ในขณะที่ฝั่งปีศาจมีตัวตนที่เรียกว่าจอมมาร มนุษยชาติเองก็มีคู่ปรับของจอมมารที่เรียกว่า ผู้กล้า
ผู้กล้า และ จอมมาร ทั้งสองได้เข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดต่อเนื่องกันหลายพันปีและสืบทอดความแค้นระหว่างกันหลายยุคหลายสมัย
จนกระทั่งในสงครามครั้งสุดท้าย ผู้กล้าก็ได้พ่ายแพ้จนถูกจอมมารสังหาร
โลกทั้งใบได้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของจอมมาร
ทว่า จอมมารที่ยึดครองโลกได้ก็หาได้ปกครองเผ่าพันธุ์อื่นๆ หากแต่ทำการเข่นฆ่าเผ่าพันธุ์อื่นๆทั้งหมดที่ไม่ใช่เผ่าปีศาจ
แถม จอมมารยังวางแผนที่จะสร้างประตูมิติเพื่อเดินทางมารุกรานที่ดาวดวงอื่นอย่างเช่นดาวโลกที่เป็นบ้านเกิดของพวกเรา
เหล่าจอมเวทย์ของดวงดาวยูเฟเซียที่เหลืออยู่จึงสร้างมิติเสมือนที่เป็นรอยต่อระหว่างดวงดาวยูเฟเซียและโลกของเราขึ้นมา มันถูกเรียกว่า มิติเรพลิก้า
มิติเรพลิก้า คือ มิติที่จำลองโครงสร้างบ้านเมืองของโลกของเราเอาไว้หลอกตาพวกเผ่าปีศาจ
พวกจอมเวทย์ได้ย้ายประชากรที่เหลืออยู่ไม่มากไปยังมิติเสมือนดังกล่าว
ในขณะเดียวกัน การจะเดินทางจากดวงดาวยูเฟเซียมายังโลกของพวกเรา กองทัพมอนสเตอร์ของจอมมารก็จำเป็นจะต้องบุกผ่านมิติเรเลพก้าก่อน ถึงจะบุกมายังโลกแห่งความจริงของเราได้
ด้วยกำลังรบอันน้อยนิด พวกจอมเวทย์และสิ่งมีชีวิตจากโลกเรพลิก้าก็ไม่อาจป้องกันการรุกรานของจอมมารได้ ซ้ำร้ายพวกเขายังสูญเสียพลังเวทย์ทั้งหมดและร่างกายไปจากการสร้างมิติเรพลิก้าขึ้นมา
เพราะฉะนั้นทางเลือกที่เหลือจึงเหลือแค่การที่ พวกเขาจะต้องอาศัยกำลังเสริมจากเหล่ามนุษย์โลกที่มีพลังเวทย์อันแข็งแกร่งแอบแฝงอยู่
“เหล่าจอมเวทย์ได้สร้างพวกกระผม…เหล่า ‘มาสคอต’ ขึ้นมา เพื่อกระจายกันไปใฝ่หามนุษย์ที่สามารถฝึกตนเพื่อเป็นจอมเวทย์ได้น่ะม่อน”
นอกจากนี้ ก็ได้สร้างระบบจอมเวทย์ขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการจอมเวทย์จากดาวโลก
“รับเจ้านี้ไปสิม่อน !”
อยู่ๆก็ปรากฎวงเวทย์สีดำขึ้นมาเหนือฝ่ามือของฉัน ก่อนที่วินาทีถัดมาสมาร์ทโฟนสีน้ำเงินจะตกลงมาอยู่ในมือของฉัน
พอฉันกดเปิดเครื่องดูก็พบว่ามันคล้ายกับสมาร์ทโฟนที่ใช่กันอยู่ทั่วไป
เพียงแต่มันมีไอคอนแปลกๆที่เป็นรูปไม้คฑาสีน้ำตาลซึ่งเขียนเอาไว้ว่า ‘ระบบจอมเวทย์’ อยู่
“เจ้านี่คือ ‘เมจิคัลโฟน’ ลองกดดูสิม่อน !”
พอลองกดเข้าไป บนหน้าจอก็เด้งใบหน้าของหญิงสาวผมฟ้า ดวงตาสีเขียว ซึ่งก็คือตัวฉัน พร้อมรายละเอียดต่างๆขึ้นมามากมาย
ชื่อ : มาริซ่า ไฮแลนเดีย
เพศ : หญิง
อายุ : 21 ปี
อาชีพ : จอมเวทย์
ธาตุที่ชำนาญ : ธาตุน้ำ
LV. 88
พลังชีวิต : 10/10
พลังเวทย์ : 10,000/10,000
สกิล : วอเตอร์บอล
“สุดยอดไปเลยม่อน ! นะ นะ นี่มันระดับอาดามันเที่ยม ตั้งแต่ยังไม่ได้ฝึกเลยนี่นา !?”
“หมายความว่ายังไงคะ ? ที่บอกว่าระดับอาดามันเที่ยม”
พอได้ยินแบบนั้นจิบิม่อนก็อธิบายให้ฉันฟังว่าจอมเวทย์สามารถแบ่งออกเป็น 6 ระดับตามเลเวล
เลเวล 1-20 คือ ระดับบรอนซ์
เลเวล 21-40 คือ ระดับซิลเวอร์
เลเวล 41-60 คือ ระดับโกล
เลเวล 61-80 คือ ระดับแพลตตินั่ม
เลเวล 81-100 คือ ระดับอาดามันเที่ยม ซึ่งเป็นระดับสูงสุด
ในขณะที่หากเลเวลเกิน 100 จะถือว่าเป็นขั้นระดับมหาปราชญ์ ผู้กล้า หรือ จอมมาร ที่เป็นตำนานได้เลย
“ตั้งแต่ก่อตั้งระบบจอมเวทย์ขึ้นมา 10 ปี มีมนุษย์บนโลกเพียงแค่ 11 คนเท่านั้นที่ไปถึงระดับอาดามันเที่ยมได้น่ะม่อน !”
เอ๋ ? แสดงว่าตัวฉันนี่สุดยอดขนาดนั้นเลยหรอคะ ?
“แถมคนที่เริ่มต้นด้วยระดับนี้ตั้งแต่แรก ยังเคยเจอแค่คนเดียวเองด้วย แบบนี้มาริซ่าจะต้องกลายเป็นสุดยอดจอมเวทย์ที่แข็งแกร่งอันดับต้นๆของโลกแน่เลยม่อน ”
ตามปกติแล้ว จอมเวทย์ต้องฝึกฝนใช้เวทย์บ่อยๆและก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆเช่นการต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์เพื่ออัปเลเวล
มีบางกรณีที่เริ่มต้นระดับเลเวล 1 แต่ก็มีบางส่วนที่เริ่มจากเลเลวสูงๆกันเลย
“แต่โดยส่วนมาก ก็มักจะเริ่มจากระดับบรอนซ์กันนั่นแหล่ะม่อน”
ส่วนพลังชีวิตถ้าเหลือ 0 ก็จะตาย
พลังเวทย์ถ้าหมดก็จะใช้เวทมนต์ไม่ได้
ธาตุที่ชำนาญก็จะบอกให้รู้ว่าใช้เวทย์ชนิดไหนได้บ้าง
ส่วนสกิลจะหาได้จากการฝึกใช้เวทมนต์บ่อยๆจนสามารถจับทางและประยุกต์มาสร้างสกิลใหม่ได้ ไม่ก็เรียนรู้จากการอ่านตำราเวทมนต์ที่วางขายอยู่ในโลกเรพลิก้าซึ่งสามารถสั่งซื้อออนไลน์ผ่านทางสมาร์ทโฟนที่จิบิม่อนให้มาอย่างเมจิคัลโฟน
“เกี่ยวกับหน้าที่ในฐานะจอมเวทย์ มาริซ่า…อือ หลังจากนี้ขอเรียกว่ามาริล่ะกันนะม่อน”
“อืม….”
“มาริจะต้องปราบมอนสเตอร์ที่พยายามบุกมายังเมืองมาซากุระแห่งนี้ในโลกเรพลิก้า โดยจะมีการแจ้งเตือนได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพียงแต่หากเลเวลของมอนสเตอร์ที่บุกเข้ามามีระดับสูงกว่าของมาริ เมจิคัลโฟนก็จะไม่ติดต่อมาและแจ้งไปยังคนที่มีระดับสูงกว่า หรือ ถ้าทางสภาเวทมนต์ที่มีหน้าที่บริหารระบบจอมเวทย์พิจารณาแล้วว่าต้องการกำลังเสริม จิบิม่อนจะโทรมาหาโดยตรง”
จอมเวทย์แต่ละคนจะมีอาณาเขตการดูแลแตกต่างกัน
โดยเมืองที่ฉันอยู่มีชื่อว่า เมือง มาซากุระ ซึ่งในเมืองนี้มีจอมเวทย์ไม่รวมฉันอยู่อีก 3 คน
“แล้วฉันสามารถปฏิเสธงานกำจัดมอนสเตอร์ได้รึเปล่า ?”
“ถ้าอยู่ในระดับแพลตตินั่มขึ้นไปจะไม่สามารถทำได้น่ะม่อน หากปฏิเสธงานจะโดนลดคะแนนความประพฤติ แล้วถ้าเกิดลดคะแนนจนถึงเกณฑ์ก็จะถูกปลดจากการเป็นจอมเวทย์และลบความทรงจำทุกอย่างทิ้งไป”
“เอ๋ ? ถ้าแบบนี้ ฉันก็จะกลายเป็นระดับอาดามันเที่ยมที่ไม่สามารถปฏิเสธงานได้น่ะสิ !?”
“ต่อให้มีเลเวลที่สูงก็สามารถขอยื่นเรื่องผ่อนผันการเป็นแพลตตินั่มได้ทำให้อยู่ในระดับโกลได้นานเท่าที่ต้องการ เพียงแต่—-”
“???”
“ต่อให้กำจัดมอนสเตอร์เลเวลที่สูงกว่าเลเวลตัวเองได้ มันก็จะมีเพดานรายได้สำหรับจอมเวทย์ระดับโกลลงไปที่ให้เงินจากการสังหารมอนสเตอร์แต่ละตัวน้อยกว่าที่ระดับแพลตตินั่มได้ แถมการเป็นระดับแพลตตินั่มจะสามารถสร้างเส้นสาย ชื่อเสียง เงินทอง สร้างโอกาสให้ตัวเองมากมาย รวมถึงสามารถซื้อที่ดินในโลกเรพลิก้าได้ด้วย …มีบางคนที่อยู่ในระดับแพลตตินั่มถึงกับสร้างปราสาทขึ้นมาในโลกฝั่งนั้นเลยนะม่อน !”
“แต่ยิ่งระดับสูงก็ยิ่งอันตรายใช่รึเปล่า”
“ถูกต้องแล้วม่อน ! แต่ว่านะมาริจะไม่กำจัดมอนสเตอร์จริงๆหรอม่อน ?”
“???”
“ก็ถ้าเกิดพวกมันหลุดมาโลกฝั่งนี้ได้นะม่อน มันอาจจะไปทำร้ายคนที่มาริรู้จักได้น่ะมอน ยิ่งถ้าเป็นมอนสเตอร์ระดับสูงถ้าไม่ร่วมมือกันจัดการแล้วปล่อยหลุดเข้ามายังโลกแห่งความเป็นจริง มาริตัวคนเดียวจะสู้เพื่อเอาชีวิตรอดไหวหรอม่อน ?”
พูดง่ายๆก็คือ ถ้าวันที่มอนสเตอร์ระดับสูงๆปรากฎตัวขึ้นมาแล้วไม่มีใครสู้กับมันได้ พวกเราทุกคนก็ต้องตายอยู่ดี เพียงแต่ตายก่อน ตายหลัง มันก็เท่านั้นเอง
“แล้วทำไมตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงไม่มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องมอนสเตอร์หลุดมายังโลกใบนี้เลยล่ะ ?”
“ก็เพราะการปิดข่าวและปลอมแปลงความทรงจำด้วยเวทมนต์ไงล่ะม่อน ยกตัวอย่างเช่น—”
จิบิม่อนมองมาที่ฉันและพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบากว่าปกติ
“อุบัติเหตุเครื่องบินตกเอย แก๊ซระเบิดเอย….หรือ จะเป็น อุบัติเหตุรถบรรทุกชนคน…เหมือนพ่อแม่ของมาริ”
“—- !?”
ตอนที่ฉันเสียคุณพ่อคุณแม่ไป มันเป็นเพราะว่ามีคนขับรถบรรทุกหลับในขับรถชนคนที่ป้ายรถเมล์ของเมืองนิงาโตะที่อยู่ข้างๆเมืองมาซากุระของฉัน แต่หลังเหตุการณ์นั้นคนขับคนดังกล่าวก็ถูกจับและจ่ายเงินชดใช้ให้กับครอบครัวทุกๆคนแต่โดยดี
“ไม่สงสัยเลยหรอว่า ทำไมคนขับรถที่มีอาชีพหาช้าวกินค่ำถึงมีเงินพอจ่ายค่าเสียหายที่มากขนาดนั้นไหวน่ะม่อน”
“นี่เธอกำลังจะบอกว่า เรื่องเมื่อตอนนั้นเป็นฝีมือของพวกมอนสเตอร์ ?”
“ถูกต้องแล้วม่อน เรื่องในตอนนั้นต้องขอแสดงความเสียใจด้วยจริงๆม่อน แต่เลเวลของมอนสเตอร์ตนนั้นมันสูงจนจอมเวทย์ในเมืองนั้นสู้ไม่ไหวและหลุดมาได้ แต่พวกเราทุกคนก็พยายามเต็มที่แล้วจนสูญเสียผู้กล้าไปถึง 2 คนเลยนะม่อน”
ส่วนค่าใช้จ่ายที่ให้กับผู้สูญเสียก็มาจากสภาเวทย์นั่นเอง
“……………………….”
“เพราะงั้น มาริคงเข้าใจดีถึงความรู้สึกเศร้าโศกจากการเสียคนสำคัญไป….ถ้าเป็นไปได้จิบิม่อนก็อยากให้มาริช่วยมาเป็นจอมเวทย์ จะได้ไม่มีคนเคราะห์ร้ายเหมือนคุณพ่อคุณแม่ของมาริอีกน่ะม่อน”
“……………………….”
ภาพงานศพในตอนนั้นที่ฉันไม่อาจแม้แต่ได้เห็นร่างของคุณพ่อคุณแม่เป็นครั้งสุดท้าย จนถึงวันนี้ฉันยังจำได้ไม่เคยลืม
ตำรวจบอกว่าสภาพศพเละเกินไป สิ่งที่ฉันได้โอบกอดมีเพียงผ้าขาวผืนใหญ่ที่ห่อร่างของทั้งสองคนเอาไว้
ไม่อาจเห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้าย
กระทั่งบอกลาก็ไม่มีโอกาส
พอคิดแบบนั้นแล้ว ฉันก็ตัดสินใจได้ในทันที
“เข้าใจแล้ว ฉันตกลง”
เงินก็ดี อุดมการณ์ก็โอเคอยู่ จะให้ไปถึงระดับแพลตตินั่มก็ใหญ่เกินตัว ขอเป็นโกลธรรมดาที่ช่วยเท่าที่ช่วยไหวก็พอ
“จะเป็นจอมเวทย์จะต้องทำยังไงบ้างหรอ ?”
“ไม่ยากเลยม่อน มาริก็แค่ทำสัญญาม่อน”
พูดจบ บนเมจิคัลโฟนก็ปรากฎรายละเอียดสัญญาทั้งหมดขึ้นมา
พันธสัญญาในฐานะจอมเวทย์
1.ต้องเก็บเรื่องจอมเวทย์ รวมถึง การคงอยู่ของเรพลิก้า และโลกอีกใบเป็นความลับจากคนทั่วไป
2.ห้ามใช้เวทมนต์กับคนทั่วไปรวมถึงแสดงให้เห็น เว้นแต่จะมีกรณีจำเป็นที่เกิดเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิต กรณีนั้นสภาเวทย์จะช่วยลบความทรงจำให้ได้และไม่มีการหักคะแนนความประพฤติ
3.จอมเวทย์ระดับอาดามันเที่ยมและแพลตตินั่มจะไม่สามารถปฏิเสธภารกิจกำราบมอนสเตอร์
4.ความขัดแย้งใดๆระหว่างจอมเวทย์ ขอให้ตัดสินโดยมีคนจากสภาเวทย์เป็นคนกลาง การต่อสู้เพื่อทำร้ายร่างกายหรือเข่นฆ่าที่ไม่ได้มีการรับรองจะถือว่ามีความผิดและพิจารณาโทษตามสมควร
5.เมื่อใดที่ลาออกจากการเป็นจอมเวทย์ คนผู้นั้นจะเป็นจะต้องได้รับการลบความทรงจำที่เกี่ยวกับจอมเวทย์ทั้งหมด
6. กฎต่างๆสามารถเพิ่มเติมได้ในภายหลัง
“เข้าใจแล้ว…จะเป็นค่ะ ฉันจะเป็นจอมเวทย์เอง”
“ดีจริงๆม่อน ถ้างั้นมาทำสัญญากันเถอะม่อน”
พอเลื่อนไปถึงบรรทัดสุดท้าย ก็มีช่องว่างให้เมจิคัลโฟนแสกนรอยนิ้วมือ
ฉันจึงกดลงไป
ฟู่ววววววว
ทันใดนั้นเอง ทั่วเมจิคั่ลโฟ่นก็เกิดความร้อนขึ้นมา ลอยนิ้วมือที่สลักลงไปก็ค่อยๆลุกไหม้อยู่ภายในหน้าจอ ก่อนที่อยู่ๆเมจิคัลโฟนที่ฉันถือจะลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีฟ้า
“อย่าปล่อยนะม่อน ! ถึงจะร้อนก็ห้ามปล่อยเด็ดขาด !!!”
“ค่ะ !!!”
ฟู่วววววววว
จากนั้นเปลวเพลิงก็ลามไปทั่วตัว
ไม่ได้รู้สึกร้อน สิ่งที่รู้สึกมีแค่ความอบอุ่นที่ปกคลุมไปทั่วร่าง
“อึก !”
แต่แล้ว จู่ๆก็รู้สึดปวดแปล๊ปที่กลางอกจนทรุดเข่าลงกับพื้น
ทว่า อาการปวดนั้นมันก็กินเวลาเพียงเสี้ยววิ
“เสร็จแล้วม่อน !”
พอตัวฉันที่หลับตาลงเพื่ออดกลั้นความเจ็บปวดลืมตาขึ้นมา ภาพที่เห็นหน้ากระจกก็ทำให้ฉันยากที่จะอดกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่
“นี่คือ..ตัวฉันหรอคะ ?”
เรือนผมสีเขียวสยายออกและนุ่มสลวยเปล่งประกายราวกับสีน้ำทะเล
ผิวกายเนียนขาวผุดผ่องถูกขับเน้นความขาวงามด้วยชุดกระโปรงยาวสีขาวเปิดไหล่และขาด้านข้าง
รองเท้าส้นสูงสีทองและสร้อยคอซึ่งประดับอัญมณีสีฟ้าคราม
ข้างกายของฉันมีคฑาสีขาวเลี่ยมทองซึ่งมีคริสตัลแปดเหลี่ยมสีฟ้าอ่อนเปล่งแสงระยิบระยับอยู่ด้านบน
ดวงเนตรสีไพรินเปล่งประกายงดงามอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีขาวบางๆเหมือนที่พวกนางรำนั้นใช้กัน
“ยินดีต้อนรับสู่การเป็นจอมเวทย์อย่างเป็นทางการนะมาริ นี่คือ อาภรณ์เวทย์ประจำตัวของเธอ รู้สึกชื่อของมันจะเป็น–”
“Ocean princest (องค์หญิงแห่งท้องทะเล) ?”
ชื่อ : มาริซ่า ไฮแลนเดีย
เพศ : หญิง
อายุ : 22 ปี
อาชีพ : จอมเวทย์แห่งวารี
ธาตุที่ชำนาญ : ธาตุน้ำ
LV. 88
พลังชีวิต : 10/10
พลังเวทย์ : 10,000/10,000
พลังป้องกัน 5,000/5,000
อุปกรณ์สวมใส่ : ชุดราตรีขององค์หญิงแห่งท้องทะเล, คฑาน้ำตาแห่งสายธาร
สกิล : วอเตอร์บอล
ดูเหมือนว่า ด้วยชุดอาภรณ์เวทย์ จะเพิ่มค่าพลังป้องกันให้ด้วย และตอนนี้ฉันก็ได้กลายมาเป็นจอมเวทย์อย่างเป็นทางการแล้วค่ะ