เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 19
มารู้จักระบบจอมเวทย์กันเถอะ !!!
ในยุคสมัยหลังสงครามเย็นที่สารกัมตรังสีตกค้างแพร่กระจายออกไปทั่วโลก ไม่ว่าใครต่างก็หวั่นวิกตกกับสงครามการเมืองระหว่างสามขั้วอำนาจใหม่ที่เหลืออยู่อย่าง สหภาพเอเซีย สหภาพโซเวียตใหม่ และ นีโอยูเอ็น
เศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ปัญหามลพิษกัมมันตรังสีที่ปนเปื้อนอยู่ในทะเลและอากาศ พื้นที่อยู่อาศัยซึ่งเหลือเพียงแค่ 50 % แม้จะผ่านมาได้ 30 ปีแล้วก็ตาม แต่หนทางทวงคืนผืนดินกลับมาก็ยังอีกยาวไกล
การรวมกลุ่มประเทศที่แตกต่างให้รวมเป็นหนึ่งสร้างความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ อาหาร และทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดทำให้ผู้คนต้องใช้ชีวิตอย่างปากกัดตีนถีบ
แต่ความน่าอดสูก็ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เบื้องหลังของโลกใบนี้กำลังมีภัยร้ายที่น่ากลัวยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์แอบซ่อนอยู่ นั่นก็คือ ตัวตนที่เรียกว่า ‘จอมมาร ’ !
ทว่า ท่ามกลางความสิ้นหวัง แสงสว่างที่เรียกว่า ‘จอมเวทย์’ ก็ได้ปรากฎตัวขึ้นมา
ยินดีต้อนรับผู้ได้รับเลือกทุกท่าน เข้าสู่โลกแห่งดาบและเวทมนต์
ที่นี่พวกท่านจะได้รับบทเป็นจอมเวทย์ที่เข้าต่อสู่กับ ‘มอนสเตอร์’ สิ่งมีชีวิตจากต่างโลกซึ่งทำการรุกรานโลกภายใต้คำสั่งของจอมมาร
จงหยิบคฑา สวมอาภรณ์เวทย์ และไปแสดงให้พวกมันเห็นถึงพลังของมนุษยชาติ
และด้วยตัวตนของจอมเวทย์ที่ทนต่อสารกัมนตรังสี พวกเธอทุกคนก็จงใช้พลังที่ได้รับมาเพื่อทวงคืนผืนดินที่ปนเปื้อนหลังสงครามเย็นกลับคืนมาซ่ะ !
มิตรภาพ ความกล้าหาญ และ ความมีเมตตา จงใช้อุดมการณ์อันสูงส่งขัดเกลาพลังเวทย์และกลายมาเป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้โลกใบนี้กันเถอะ !!!
รายได้อันมั่นคง ชื่อเสียงเกียรติยศ และ ชีวิตอันเป็นนิจนิรันดร์ ถ้าถามว่ามันอยู่ที่ไหนงั้นหรอ มันก็ต้องอยู่ในระบบจอมเวทย์อยู่แล้วยังไงล่ะ !!!
ถ้าสนใจละก่อน ติดต่อมาหาพวกเรา เหล่ามาสคอตได้ทุกเมื่อเลยนะ !!!
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“ท่านมิคาอิล ! ได้โปรดตอบด้วยครับท่านมิคาอิล !!!”
ทหารหนุ่มผู้สวมชุดทหารซึ่งประดับบ่าด้วยตราเกียติยศมากมายเคาะประตูห้องพักผู้นำของตน
ทว่า แม้จะเคาะมากซักเพียงไร ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฟากของประตู
“อึก !”
ในช่วงหลังมานี้ ท่านประธานาธิบดี มิฮาอิล กอร์บาชอฟ แห่งสหภาพโซเวียตกำลังเดินหน้าปฏิรูปประเทศนี้ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการปกครองให้มีเสรีภาพมากยิ่งขึ้น
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ที่ฮิโรชิมะและนางาซากิแล้วว่าระเบิดนิวเคลียร์นั้นมีความอันตรายมากเพียงใด เพราะงั้นประเทศที่ครอบครองอาวุธทรงแสนยานุภาพอย่างสหภาพโซเวียตและอเมริกาจึงกลายเป็นสองมหาอำนาจใหญ่ ทั้งสองฝ่ายก็ได้ทำสงครามตัวแทนผ่านทางประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย รวมถึงใช้สงครามข้อมูลข่าวสารโจมตีฝั่งตรงข้าม
ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีว่า ในสหภาพโซเวียตคงไม่มีใครปราถนาดีกับสหภาพมากไปกว่า มิฮาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำคนปัจจุบันอีกแล้ว
ทว่า หลังๆมานี้ ตัวเขาก็แสดงอาการกระวนกระวายแปลกๆออกมาอยู่บ่อยครั้ง
ท่านผู้นำอยู่ไม่สุข และ มีอารมรณ์ฉุนเฉียว
ท่านกวาดสายตาไปรอบๆและแสดงท่าทีหวาดระแวงเวลาคนรอบข้างที่พยายามเข้ามาใกล้ ไม่เว้นแม้กระทั่งครอบครัวของท่านเอง
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ท่านผู้นำยังคงขังตัวอยู่ในห้องตั้งแต่เช้า
“อ้ากกกกกกกกก”
แต่แล้วทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากข้างในห้องพักของท่าน
ทหารหนุ่มผู้ซื่อสัตย์จึงไม่รอช้ารีบพังประตูเข้าไปในทันใด
“ท่านผู้นำ !!!”
ตึ้ง !
สิ้นเสียงกระแทกอย่างรุนแรง พร้อมๆกับบานประตูที่ปลิวกระเด็น นายทหารรีบยกปืนขึ้นมาและกวาดสายตาไปรอบห้อง
“ทะ ท่านผู้นำ !?”
ทว่า ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้เขาต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
บนเตียงนอนหรูหราสีขาว บัดนี้ชโลมไปด้วยเลือดและชิ้นส่วนของมนุษย์จนย้อมทั้งเตียงให้กลายเป็นสีแดง ศีรษะที่กลิ้งอยู่บนพื้นในสภาพเบิกตากว้าง นายทหารจำได้ดีว่ามันคือใบหน้าของท่านมิคาอิล
เมื่อไล่สายตาไปหน้าเตียงก็พบกับบุคคลปริศนาในชุดผ้าคลุมขาวชุ่มเลือดที่กำลังกุมศีรษะด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน
แม้ความมืดในชุดคลุมจะทำให้มองไม่เห็นใบหน้า ทว่า ภายในนั้นเขากลับเห็นดวงตาอันน่าขนลุกของชายปริศนาคนนั้น…
ดวงตาที่ทำจากหน้าปัดนาฬิกา…
ท่ามกลางกองเลือดและกลิ่นเหม็นคาว บุคคลปริศนาผู้นั้นกรีดร้องด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
“ไม่ๆๆๆ นี่ข้าทำอะไรลงไป มันต้องไม่ใช่แบบนี้ ทะ ทำไมผลลัพธ์มันถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ข้าขอโทษๆๆๆ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจ !!!”
“อึก ! อะ อะ อย่าขยับ !!!”
นายทหารพยายามยกปืนขึ้นมาแล้วเล็งไปยังบุคคลปริศนาคนนั้น ทว่า ทันใดนั้นเอง ลูกสัปปะรดสีเหลืองที่มีดวงตาน่าขนลุกนับหลายร้อยดวงเต็มไปหมดก็ลอยคืนมาข้างๆบุคคลปริศนา
เจ้าผลไม้หน้าตาประหลาดนั่นพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำซึ่งแฝงด้วยความเย็นยะเยือกออกมา จนนายทหารอดไม่ได้ที่จะเบนปืนไปทางสิ่งมีชีวิตประหลาดตนนั้นด้วยความหวาดกลัวเช่นเดียวกัน
“ทำไปจนได้นะ ท่านมหาปราชญ์ น่าจะตรวจสอบพิกัดให้ดีๆก่อนข้ามเวลามาแท้ๆเชียวม่อน”
“นะ นะ นี่มันหมายความว่ายังไง พอนพอนซาเอม่อน !? ทะ ทะ ทำไมพิกัดที่ข้าข้ามเวลามามันไม่ใช่ช่วงเวลาก่อนเกิดสงครามครั้งใหญ่ !? ทำไมข้าถึงเคลื่อนย้ายมายังช่วงเวลานี้กัน !?”
“……………………..”
“ตอบมาซิ ! มาสคอต !!!”
แฮ่กๆๆๆ
นายทหารที่กำลังเหงื่อแตกเฝ้ามองบุคคลปริศนาทรุดเข่าลงกับพื้นโดยมีน้ำตาไหลนองออกมาจากดวงตาที่ทำจากหน้าปัดนาฬิกา เพราะชายคนนั้นกำลังทะเลาะกับ ลูกสัปปะรดลอยได้อยู่ เขาเลยไม่รู้เลยว่าจะเล็งปืนไปที่ใครดี
ทว่า สิ่งเดียวที่เขาเข้าใจในตอนนี้คือ สหภาพโซเวียตได้เจอกับวิกฤติครั้งใหญ่แล้ว
“ตอบมาซิ ! มาสคอต ! โธ่เว๊ย ! ส่งพิกัดมาใหม่ !!! พาข้ากลับไปยังโลกยุคปัจจุบันเดี๋ยวนี้ !!! ต่อให้ต้องย้อนเวลาอีกซักกี่พันกี่หมื่นครั้งข้าก็ต้องช่วยทุกคนให้ได้ !!!”
แม้จะโดนตวาดใส่ด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด แต่ดวงตาอันน่าขนลุกหลายร้อยคู่บนหน้าสัปปะรดกลับมองไปยังบุคคลในผ้าคลุมด้วยประกายแสงอันดำมืดที่แฝงอยู่ข้างใน
“ไม่หรอก….มันจบแล้วม่อน…ไม่มีอนาคตสำหรับมหาปราชญ์อีกแล้วม่อน”
“หะ หมายความว่ายังไง !?”
ซ่า……….
ในตอนที่เอ่ยถามด้วยใบหน้าซีดเผือด มหาปราชญ์ก็มองไปที่ฝ่ามือของตนเอง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น !?”
มือของมหารปราชญ์ค่อยๆกลายสภาพเป็นฝุ่นทรายที่ร่วงโรยลงสู่พื้นอย่างช้าๆ
ใบหน้าค่อยๆเกิดรอยปริร้าว หน้าปัดนาฬิกาบนดวงตาเกิดรอยแตกแล้วกระจายเป็นเศษแก้วตกลงที่พื้น
“มะ มะไม่จริง ! ทำไมกัน เป็นไปได้ยังไง !? ขะ ข้ากำลังจะหายไป !?”
ในขณะที่ทหารหนุ่มและมหาปราชญ์กำลังตามเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ทัน มาสคอตคู่กายของมหาปราชญ์นาม พอนพอนซาเอม่อนก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอันว่างเปล่า หากแต่บนใบหน้าของมันกลับฉีกยิ้มกว้างอย่างน่าขนลุก
“เพราะประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไปแล้วยังไงละม่อน”
“ยะ ยะ ย้อนกลับไปเดี๋ยวนี้…”
“เปล่าประโยชน์ม่อน ความตายของผู้ชายคนนี้ได้ทำให้ประวัติศาสตร์ของโลกมหาปราชญ์ผิดเพี้ยนไปแล้วม่อน สงครามที่ควรจะยุติลง บัดนี้ได้ถูกบิดเบือนให้ดำเนินต่อไปในรูปแบบที่ลวร้ายที่สุด มนุษยชาติจะใช้อาวุธทั้งหมดฆ่าล้างกันเองและสร้างประวัติศาตร์หน้าใหม่ขึ้นมา…และ อนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น มหาปราชญ์และมนุษย์คนอื่นๆในอนาคตเดิมจะไม่ได้เกิดขึ้นมา ผลของการแก้ไขประวัติศาสตร์มันเร็วกว่าความสามารถในการย้อนเวลาของมหาปราชญ์อีกนะม่อน”
“อ้ากกกกกก แก !!! พอนพอนซาเอม่อน !!! เป็นเพราะแก ! เป็นเพราะแกคนเดียว !!!”
“อย่าโทษกันสิม่อน ถ้าจะโทษล่ะก็ จงไปโทษพวกมนุษย์ที่กระทำกับพวกเรา ‘เอนิมัส’ และ ‘มาสคอต’ อย่างโหดร้ายเสียเถอะ ”
“แก ! แก !!! หนอยยย แกนะ แก !!!!”
แม้จะพยายามยื่นมือไปคว้าร่างของสัปปะรดพูดได้ แต่ทว่า มือที่สลายกลายเป็นฝุ่นทรายก็ล่วงหล่นลงที่พื้นเสียก่อน ในขณะที่ฝั่งสัปปะรดเอง ร่างของมันก็ค่อยๆสลายไปกลายเป็นฝุ่นเช่นเดียวกัน
“จงรับคำสาปแช่งของพวกเราไปเสียมนุษยชาติเอ๋ย ในนามของสิ่งมีชีวิตสังเคราห์ตัวสุดท้ายที่พวกแกสร้างขึ้นมา กระผมของสาปแช่งให้มนุษยชาติทุกตัวพบกับความล่มสลายและอนาคตอันบัดซบที่การมีชีวิตก็ไม่ต่างจากตกนรกทั้งเป็น”
น้ำตาที่ไหลพรากออกมาจากดวงเนตรนับร้อยคู่ทำให้มหาปราชญ์ที่เหลือเพียงแค่ช่วงลำตัวเป็นต้นไปเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
‘เอนิมัส’ และ ‘มาสคอต’ สิ่งมีชีวิตสังเคราห์ที่ถือกำเนิดมาเพื่อรับใช้จอมเวทย์และตายเพื่อจอมเวทย์ เขาไม่เคยเห็นพวกมันแสดงความรู้สึกอันรุนแรงเช่นนี้มาก่อน
“อ่า….นี่สินะรสชาติของความรู้สึกสะใจที่ได้ล้างแค้น….”
พอนพอนซาเอม่อนค่อยๆหลับตาลง ขณะที่ร่างของมันเหลือเพียงเสี้ยวเดียว
เสียงของมันในตอนนี้พลันสงบลงและเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“ผมจะกลับไปหาทุกคนแล้วนะ….จิบิม่อน….พิวตี้ม่อน….ทุกๆคน”
“โธ่เว๊ย ! ไม่ตลกเลยนะ !!! ไอ้เวรเอ๊ย ! ไอ้พวกมาสคอตเฮงซวย ฝากไว้ก่อนเถอะ…ฝากไว้ก่อน….ฝากไว้ก่อนนนนนนนนนนนนนนนน”
ฟุบ !
สิ้นเสียงกรีดร้องราวกับกำลังสาปแช่งของชายในชุดคลุม ร่างของเขาก็ได้ล่วงหล่นกลายเป็นทรายจนถึงดวงตา จากนั้นดวงตาหน้าปัดนาฬิกาที่เปียกชุ่มด้วยความเคียดแค้นก็หายไปเช่นเดียวกัน
นายทหารมองภาพตรงหน้าด้วยความสับสนงุนงง ราวกับเห็นภาพหลอน
กระนั้นแล้ว ทรายที่กองอยู่บนพื้นคือหลักฐานที่แสดงว่า เหตุการณ์ตรงหน้าคือเรื่องจริง
“…………..”
แต่ภาพอันโหดร้ายที่อยู่บนเตียงก็เรียกสติที่กระจัดกระเจิงของเขากลับมา
ภาพของผู้นำประเทศที่กลายเป็นชิ้นเนื้อกระจัดกระจาย ทหารหนุ่มที่มีใบหน้าบิดเบี้ยวทำได้เพียงกุมหัวด้วยความสิ้นหวัง
“อ่า…มันจบสิ้นแล้ว…บ้านเกิดของเรา…สหภาพโซเวียตของพวกเรา”
ค.ศ. 1990 ประธานาธิบดีแห่งสหภาพโซเวียต มิฮาอิล กอร์บาชอฟ ถูกฆาตรกรรมโดยมือสังหารไม่ทราบฝ่าย
ผู้คนจำนวนมากเสียใจให้กับการจากไปของเขา ยกเว้นเหล่าผู้นำรุ่นใหม่ของสหภาพที่แสดงความยินดีอย่างออกนอกหน้า
สงครามเย็นที่ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ขั้วอำนาจทั้งสองตัดสินใจใช้ไม้ตายสุดท้ายเพื่อจัดการฝ่ายตรงข้าม
นั่นจึงทำให้สงครามเย็นได้สิ้นสุดลง และ เข้าสู่ยุคสงครามนิวเคลียร์
ทว่า หลังจากที่สงครามนิวเคลียร์เริ่มได้เพียงหนึ่งวัน สันติภาพก็ได้หวนคืนกลับสู่โลกใบนี้อีกครั้งพร้อมๆกับดินแดนกว่า 50 % ที่สูญเสียไป
และ นี่คือเรื่องราวในช่วงเวลา 20 ปีก่อน ก่อนที่ระบบจอมเวทย์จะถือกำเนิดขึ้นมา
เกร็ดความรู้ : ตามประวัติศาสตร์ มิฮาอิล กอร์บาชอฟ คือ ประธานาธิบดีของสหภาพโซเวียตที่เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญให้สหภาพโซเวียตล่มสลาย จนนำมาสู่จุดสิ้นสุดยุคสงครามเย็น
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
# พริ้นเซส โซนาต้า #
ซางาระ ฮิเมโกะ เด็กสาวชั้นประถมอายุ 10 ขวบ ผู้เติบโตขึ้นที่เมืองคาคุฮอนซึ่งตั้งอยู่ในสหภาพเอเซีย
พื้นเพเดิม เธอ คือลูกครึ่งระหว่างคนญี่ปุ่นและอเมริกา ตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อนหลังสงครามนิวเคลียร์ ปู่ของเธอได้หนีความแล้งแค้นของทวีปอเมริกาที่โดนระเบิดนิวเคลียร์ถล่มจนพื้นที่ทางการเกษตรเหลือไม่ถึง 10% แล้วมาตั้งรกรากที่ดินแดนแถบนี้ด้วยธุรกิจขายยางพารา พ่อของเธอได้เกิดขึ้นมาและพบรักกับแม่ของเธอที่เป็นคนญี่ปุ่น กระนั้นด้วยความเกลียดชังของชาวญี่ปุ่นที่มีต่ออเมริกาซึ่งเคยใช้อาวุธนิวเคลียร์ทำร้ายประเทศของพวกเขา ตระกูลฝั่งแม่ซึ่งมีความเป็นชาตินิยมสูงจึงตัดญาติกับทางแม่หลังจากที่คุณแม่และคุณพ่อของเธอแต่งงานกัน
นอกจากนี้แม้สหภาพเอเซียจะให้ความเท่าเทียมกันทางด้านเชื้อชาติ ทว่า มันก็มีประเด็นเรื่องการกีดกันกลุ่มคนผิวขาวอยู่ในกลุ่มคนบางกลุ่มจากความแค้นที่ฝั่งรากรึกมาจากสมัยสงครามโลก เพราะงั้นเพื่อความกลมกลืน ซางาระ ฮิเมโกะจึงใช้ชื่อเป็นคนญี่ปุ่น ไม่ได้ใช้ชื่อของทางฝั่งพ่อ
กระนั้นด้วยฐานะทางบ้านที่มั่นคง ตอนที่เธอลืมตาดูโลก เธอจึงเป็นว่าที่คุณหนูของตระกูลมหาเศรษฐี
ทว่า หลังเธอเกิดได้ไม่นาน คุณพ่อของเธอที่เป็นผู้นำตระกูลก็ได้ไปค้ำประกันให้เพื่อนสนิทสำหรับธุรกิจค้าไม้ทางตอนเหนือ ด้วยความที่สนิทกันมานาน คุณพ่อของเธอก็ไม่คิดว่าจะโดนเพื่อนคนนั้นโกง จนทำให้เขาต้องกลายเป็นคนจ่ายหนี้ก้อนโตแทน
ผลสุดท้ายของการโดนหักหลังทำให้ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมานานถูกยึดไปจนหมด กระนั้นพ่อของเธอก็พยายามหาเงินเลี้ยงครอบครัวจนกระทั่งเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนถึงแก่ชีวิตในตอนที่เธออายุเพียง 5 ขวบ
ถึงอย่างงั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฮิเมะโกะก็เป็นเด็กสาวที่มีความสุข เธอได้รับความรักอันท่วมท้นจากคุณพ่อคุณแม่ แม้บ้านที่เธออยู่จะเป็นบ้านเช่าหลังเล็กๆไม่ใช่คฤหาสน์หลังโต แต่การได้ทานข้าวร่วมกับคุณพ่อคุณแม่ และ ได้ไปเที่ยวเล่นข้างนอกด้วยกันทุกเสาร์อาทิตย์ สำหรับเธอมันก็เป็นความสุขที่มากเพียงพอแล้วที่ทำให้เธอกล้าพูดว่า หนูดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่
ทว่า หลังพ่อของเธอตายไป อะไรๆหลายๆอย่างก็เลวร้ายลงกว่าเดิม อย่างเช่น โรคร้ายของคุณแม่
แม่ของเธอป่วยเป็นมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย มะเร็งได้แพร่กระจายไปที่ปอดและทำให้แม่ของเธอสุขภาพย่ำแย่จนต้องพึ่งพาถังออกซิเจนตลอดเวลาหลังป่วยมาได้ 2 ปี
ในตอนที่เธออายุได้ 7 ขวบ เธอก็ต้องพบกับปัญหาใหญ่ที่เกินกว่ามือเล็กๆคู่นี้จะแก้ไหว
คุณแม่ของเธอต้องนอนติดเตียงอยู่ที่โรงพยาบาล จำเป็นต้องหาเงินจำนวนมากมาจ่ายค่ารักษา แต่แม่ที่เป็นเสาหลักของครอบครัวมาป่วยเช่นนี้ รายได้จึงแทบจะเป็นศูนย์ ลำพังตัวเธอที่มีแค่อายุ 7 ขวบ มันก็คงไม่มีงานไหนที่หาเงินได้มากพอ
ท่ามกลางความสิ้นหวัง ในคืนที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ฮิเมโกะซึ่งนั่งกอดเข่าอยู่ในสวนสาธารณะเพื่อหลบฝนพร้อมกับร้องไห้อยู่คนเดียว เธอก็ได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่เธอไม่เคยเห็นในหนังสือหรือทีวีมาก่อน
“สวัสดีโดจา กระผม โดจาม่อน มาสคอตจากเซเรสเทียนะโดจา”
ฟักทองแปลกๆพูดได้ที่ลงท้ายคำพูดทุกคำด้วยคำว่า โดจา ลอยมาหาเธอ
ในตอนแรกเธอก็นึกว่าตัวเองหลอน ไม่ก็มีคนแกล้งเธอแน่ๆ
“พวกเราได้ตรวจสอบพบว่าเธอมีคุณสมบัติเป็นจอมเวทย์ สนใจจะมาเป็นจอมเวทย์ไหมโดจา ?”
“หนู ? จอมเวทย์ ?”
ความสงสัยผุดขึ้นในใจของเด็กสาว เธอไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนี้คืออะไร แต่พ่อแม่ของเธอก็ได้สอนว่าอย่าคุยกับคนแปลกหน้า เพราะงั้นเธอจึงตัดสินใจหันหลังให้และเตรียมที่จะวิ่งหนี
“ไม่อยากหาเงินมาจ่ายค่ารักษาให้คุณแม่งั้นหรอโดจา ?”
“เงินค่ารักษา ?”
แม้จะยังเคลือบแคลงสงสัย แต่พออีกฝ่ายบอกว่ามีวิธีหาเงินให้ เธอก็แทบจะหูผึ่งในทันที่
หลังจากนั้นฮิเมโกะก็รับฟังคำอธิบายต่างๆเกี่ยวกับจอมเวทย์จากปากของจากฟักทองลอยได้
— เด็กสาวที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และ ปกป้องโลกจากการรุกรานของปีศาจด้วยเวทมนต์
นี่มัน เหมือนกับการ์ตูนแนวสาวน้อยเวทมนต์ที่เธอเคยดูในทีวีไม่มีผิด !
“หนูจะเป็นจอมเวทย์ได้จริงๆหรอ ?”
พอเห็นเด็กสาวจ้องมาด้วยตาเป็นประกาย โดจาม่อนก็ยิ้มอย่างพึงพอใจที่การขายตรงของตนได้ผล
มันยื่นเมจิคัลโฟนสีชมพูให้กับเด็กสาว และ อธิบายวิธีใช้ทุกอย่างทีละสเต็ป
“ปะ..ปะ…แปลงร่าง ?”
หลังจากเด็กสาวเซ็นสัญญาเสร็จสรรพและพูดคำๆนั้นออกมา ร่างของเธอก็ได้ห่อหุ้มด้วยแสงสีรุ้งก่อนจะกลายเป็นจอมเวทย์อย่างเต็มตัว
ภาพที่สะท้อนอยู่บนกระจกที่โดจาม่อนเอามาให้ดู คือ ภาพของเด็กสาวร่างเล็กชั้นประถมเรือนผมสีชมพูที่แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีชมพูพรุ้งพริ้งจับจีบหลายสิบชั้น โบว์สีแดงขนาดใหญ่ติดอยู่ข้างหลัง บนหัวของเธอประดับด้วยกิ๊ปติดผมรูปตัวโน้ตสีดำ
ชุดอาภรณ์เวทย์ของเธอดูคล้ายกับชุดกระโปรงของเจ้าหญิงตัวน้อยในนิทาน ทุกครั้งที่เธอเดินไปไหนมาไหน ผู้คนก็จะมองมาด้วยความสนใจจนเธอต้องรีบก้มหน้าวิ่งหนีด้วยความเขินอาย
เธอกลายเป็นจอมเวทย์ระดับบรอนซ์ผู้ได้รับฉายา ‘พริ้นเซส โซนาต้า ‘
ศาตราวุธคู่ใจของเธอคือ ‘แฟรี่ฟลูต’ เครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องเป่าลมไม้สีขาวซึ่งถูกเรียกว่า ฟลูต หากแต่อาวุธของเธอจะต่างจากคนเครื่องดนตรีทั่วๆไปตรงที่มันมีปีกสีขาวเล็กๆงอกออกมา
ทุกครั้งที่เธอเป่ามัน ความสามารถพิเศษหรือที่เรียกกันในหมู่จอมเวทย์ว่า ทาเล้นท์ (Talent) เฉพาะตัวของเธอจะทำให้ใครก็ตามที่ได้ยินเสียงฟลูตตัวนี้รู้สึกผ่อนคลาย
อารมณ์โกรธ อารมณ์ร้อนใดๆจะหายไป และหลงเหลือแต่ความรู้สึกสงบเย็นสบาย รู้สึกผ่อนคลายจนหาที่สุดมิได้
ด้วยทาเล้นท์นี่ เธอใช้มันหาเงินด้วยการ เป็นศิลปินข้างถนนที่เป่าฟลูตบรรเลงเพลงให้ใครก็ตามที่อยู่แถวสี่แยกฟัง หลายๆคนที่ได้ยินก็รู้สึกประทับใจและนำเงินมาบริจาคให้กับเธอ เธอหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำจากเหล่าผู้ใจบุญทั้งหลาย
เนื่องจากเธอปลอมตัวโดยปรากฎตัวในชุดนักเรียน แม้จะมีเรือนผมสีชมพูและหน้าตาจะน่าดึงดูด แต่การที่เธอถือฟลูตซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ใครๆเขาก็มีกัน มันจึงไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นจอมเวทย์ การแสดงโชว์เวทมนต์ของเธอจึงไม่ผิดกฎของระบบจอมเวทย์แต่อย่างใดเพราะไม่มีคนทั่วไปล่วงรู้ว่ามันคือเวทมนต์
สำหรับ ซางาระ ฮิเมโกะ หรือ พริ้นเซส โซนาต้า นั้น คำว่าต่อสู้เพื่อมวลมนุษยชาตินั้นห่างไกลจากตัวเธอในตอนนี้เสียเหลือเกิน
แขนเล็ก ๆของเธอต่อให้เสริมพลังเวทย์เข้าไป มันก็ยากที่จะช่วยกำจัดมอนสเตอร์ อย่างเก่งก็ทำได้แค่ดวลหมัดกับออร์คอย่างสูสี
เวทย์ที่เธอถนัดคือไร้ธาตุ ทำให้ในการต่อสู้ ประโยชน์อย่างมากที่สุดของเธอจึงมีเพียงการสนับสนุนทางด้านอารมณ์ให้กับสมาชิกในทีมผ่านการเป่าฟลูตได้เพียงเท่านั้น
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น จอมเวทย์รุ่นพี่คนอื่นๆภายในเมืองก็ให้การต้อนรับเธอเป็นอย่างดี
“นี่ๆ ฮิเมโกะจัง วันนี้พี่สาวมีขนมมาฝากด้วยละ”
“อ๊ะ ! ขอบคุณค่ะ”
พี่สาวที่สวมชุดเหมือนนักวิจัยชอบเอาขนมมาให้เธอ
“ฮ่าๆ วันนี้ก็เหนื่อยหน่อยนะ เจ้าตัวเล็ก”
“อุ หวา ! สูงจางงงงง”
พี่ชายร่างโตกล้ามเป็นหมัดๆก็มักกล่าวชมเธอและอุ้มเธอขึ้นมานั่งบนบ่า
“คุณแม่เป็นยังไงบ้าง ?”
“ก็…เรื่อยๆค่ะ”
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะ พวกเราเป็นพวกพ้องกันนี่นา”
“อะ อื้ม ขอบคุณนะคะพี่สาว !”
“อร๊าย มามะ มาให้พี่สาวกอดหน่อยเจ้าตัวเล็ก !”
“ยา อะอยำแก้มอูอิ (อย่าขยำแก้มหนูสิ)”
และ พี่สาวที่เป็นนักธนู เธอก็เป็นอีกคนที่ใจดีและอ่อนโยนกับฮิเมโกะไม่แพ้ทั้งสองคน
ปาร์ตี้สี่คนที่มีฮิเมโกะคอยสนับสนุนด้วยเสียงเพลงจากแนวหลังได้ปกป้องเมืองคาคุฮอนจากมอนสเตอร์เสมอมา
ในใจของฮิเมโกะก็มีเสี้ยวหนึ่งที่น้อยเนื้อต่ำใจเรื่องที่ตัวเองทำประโยชน์อะไรไม่ได้ แต่พวกผู้ใหญ่ทั้งสามคนก็มองออกและให้กำลังใจเธออย่างสม่ำเสมอ
“อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นเลย กำลังใจก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการต่อสู้นะรู้ไหม ?”
“ยังมีพื้นที่ให้เธอเติบโตมากกว่านี้อีก ซักวันเธอจะต้องก้าวข้ามพวกเราได้อย่างแน่นอน”
“พยายามเข้านะ ฮิเมโกะจังพี่สาวเป็นกำลังใจให้ !”
นั่นจึงทำให้เด็กสาวพยายามไล่ตามพวกเธอทั้ง 3 คน แม้จะรู้ดีว่าเธอไม่น่าไหว ทว่า การได้รับการยอมรับจากรุ่นพี่ก็สร้างความอิ่มเอมใจให้กับเธอและการล่ามอนสเตอร์ร่วมกันก็ช่วยทำให้เธอลืมความลำบากที่จะต้องเจอหลังกลับไปสู่โลกแห่งความจริง
สามารถบอกได้เลยว่า ช่วงที่แม่ของเธอนอนติดเตียง ความสุขที่สุดในชีวิตของเธอในตอนนั้นคือการได้ใช้เวลาออกล่ามอนสเตอร์ร่วมกับพี่ชายพี่สาวทั้ง 3 คน
พวกเธอได้ใช้เวลาร่วมกันนาน 2 ปี ผ่านการผจญภัยที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มซึ่งช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจที่ห่อเหี่ยวของเด็กสาวให้กลับมาเบ่งบานอีกครั้ง
เธอเคยคิดถึงวันพรุ่งนี้ที่ทั้งสามคนผจญภัยและต่อไปสู้ไปด้วยกัน เด็กสาวตื่นเต้นจนข่มตาหลับไม่ลงอยู่บ่อยครั้งเมื่อคิดว่าวันพรุ่งนี้จะมีเรื่องสนุกๆอะไรรอคอยตัวเธออยู่
— แต่แล้วเมื่อ 1 ปีก่อน เธอก็ทำพลาด…พวกเขาทุกคนต่างแพ้ในศึกที่ไม่ควรแพ้และเหลือเพียงฮิเมโกะคนเดียวที่รอดกลับมา
ตัวเธอที่เป็นจอมเวทย์คนสุดท้ายในเมือง ไม่มีแม้แต่เวลาจะมาสิ้นหวัง
อย่างน้อยสัปดาห์ล่ะครั้งจะมีมอนสเตอร์ระดับง่ายๆโผล่ขึ้นมา และ เธอก็ต้องไปกำจัดมันอย่างทุลักทุเล ความหวาดกลัว ความสิ้นหวัง มันทำให้ประกายแสงที่อยู่ในดวงตาของเธอค่อยๆหม่นหมองลงอย่างช้าๆ
“ยินดีที่ได้รู้จัก—พริ้นเซส โซนาต้า ”
จนกระทั่งเมื่อครึ่งปีก่อน ในตอนที่เด็กสาวกำลังใช้ชีวิตประจำวันด้วยความหวาดกลัวต่อพวกมอนสเตอร์ เธอคนนั้นปรากฎตัวขึ้นมา— หญิงสาวในชุดสูทสีดำผู้แต่งกายราวกับผู้ช่วยนักมายากลและสวมหมวกสีดำใหม่เอี่ยมอ่องไว้บนศีรษะ
“ฉัน— วิซิเบิล แฮทเกิล หลังจากนี้ขอฝากตัวด้วยนะคุณรุ่นพี่ตัวน้อย”
หญิงสาวผู้มีอายุมากกว่าปรากฎตัวในฐานะรุ่นน้องและช่วยค้ำจุ้นหัวใจที่แตกสลายของเธอเอาไว้
แฮทเกิลได้สอนว่าบทเพลงของเด็กสาวคือแสงสว่างของโลกใบนี้
เธอผู้นั้นได้สอนให้รู้ถึงอนาคตที่จักถักทอขึ้นด้วยบทเพลงของฮิเมโกะ
ซักวันหนึ่งเธอจะกลายเป็นจอมเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ คำพูดเปี่ยมด้วยความมั่นใจซึ่งพี่สาวคนใหม่ของเธอคอยพูดให้ฟังเป็นประจำทุกๆครั้ง
วันแล้ววันเล่า….วันแล้ววันเล่า
พอรู้สึกตัวอีกที ทั้งสองคนก็สนิทกันและไปไหนด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง
ทั้งคู่ได้กลายเป็นคู่หูที่ตัวติดหนึบ รูโบ๋ที่กลางใจของเด็กสาวได้รับการเติมเต็ม
— และนี่คือเรื่องราวของเด็กสาวผู้ปกป้องเมืองคาคุฮอน ก่อนที่ในอีกครึ่งปีถัดมา อีเว้นต์แห่งความตายจะเริ่มขึ้นที่เมืองของเธอ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
‘เพราะพวกมันคิดว่า โลกใบนี้มันเป็นเกม เช่นนั้น ข้าจึงสร้างเกมที่พวกมันต้องการขึ้นมา
เกมแห่งความตาย…เกมที่ไม่มีปุ่มล็อคเอาท์…เกมที่ต้องฆ่าฟันกันเองเพื่อเอาชีวิตรอด
นี่คืออีเว้นท์สุดท้ายที่พวกเจ้าทุกคนได้เข้าร่วม เหล่าจอมเวทย์ผู้โง่เขลา
เอาละ มาดูกันเถอะว่า พวกเจ้าจะฆ่ากันเองจนหมดก่อน หรือจะมาให้ข้าฆ่ากันแน่’
บทที่ 1 Falling angel ภาคต้น