เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 17 ความลับอันดำมืด
“มาริ เป็นยังไงบ้าง กินข้าวเย็นบ้างรึยัง ?”
เสียงโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาตอนกำลังทำแผลให้ผู้ป่วยตอนหนึ่งทุ่ม มันค่อนข้างจะรบกวนการทำงานของฉันพอสมควร
— ภายในห้องผู้ป่วยพิเศษที่มีเตียงเดี่ยวและเต็มไปด้วยนักศึกษาแพทย์ซึ่งกำลังรายล้อมรอบชายชราที่พึ่งถูกตัดขาไปเพราะป่วยเป็นโรคติดเชื้อ การที่ฉันเพียงคนเดียวแยกตัวออกมารับโทรศัพท์ มันค่อนข้างจะเด่นพอสมควร
“ยังไม่เสร็จเลยพ่อ ! แล้วก็อย่าพึ่งโทรมาตอนนี้สิ หนูกำลังยุ่งอยู่นะ !!!”
แม้จะเป็นเพียงนักศึกษา แต่ความรับผิดชอบที่ได้รับมาก็ค่อนข้างหนักหนาเอาการ แม้ในคนรุ่นก่อนจะผ่านอะไรหลายๆอย่างมามากกว่าเด็กรุ่นใหม่ แต่สำหรับนักศึกษาแพทย์ที่ควรจะทุ่มเทเวลาไปกับการเรียน บางคนก็อดคิดไม่ได้ว่ามันสมเหตุสมผลเลยที่เราจะต้องทำงานแทนแพทย์เจ้าของไข้จนถึงดึกดื่น กระนั้น บางคนก็บอกว่าถ้าไม่ได้ทำก็ไม่ได้เรียนรู้ ซึ่งก็ต่างคนต่างความเห็น เพราะมันเป็นวัฒนธรรมที่มีมานานเพื่อปกปิดความจริงที่ว่าทรัพยากรบุคคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ จนต้องหันมาใช้งานนักศึกษาจนดึกดื่น ซึ่งพวกเราก็ต้องทนก้มหน้าทำต่อไปเพื่อเรียนให้จบ
นอกจากภาระงานที่ได้รับมา เช่น การที่ต้องตื่นมาทำแผลให้ผู้ป่วยตั้งแต่ 6 โมงเช้า พวกเราก็ต้องเขียนรายงานส่งอาจารย์หนาเป็นสิบๆหน้าสัปดาห์ล่ะครั้งซึ่งเมื่อรวมเข้ากับภาระงานในแต่ละวันแล้ว มันก็ค่อนข้างเหนื่อยพอสมควร
ความกดดันและความเครียดทำให้บางครั้งเราพาลใส่เพื่อนร่วมงานด้วยกันเอง หรือบางทีก็พาลใส่คนที่เป็นห่วงเป็นใยเราจนต้องกลับมานั่งนึกเสียใจในภายหลัง
“เลิกโทรมากวนได้แล้ว ! แค่นี้นะคะ !!!”
ฉันเตรียมที่จะกดตัดสาย แต่แล้วตอนนั้นเอง คุณพ่อกลับพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เสาร์นี้ว่างรึเปล่าลูก ? คือว่านะ—”
“ไม่ว่างค่ะ ! หนูต้องไปโรงพยาบาลทุกเช้าตลอดทั้งปี ไม่มีวันหยุดซักหน่อย ! แล้วหนูก็มีอยู่เวรวันเสาร์นี้ด้วย เพราะงั้นหนูขอวางสายนะคะ”
ฉันพยายามพูดตัดบทอีกครั้ง ทว่า ครั้งนี้คุณแม่ก็เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยเสียเสียก่อน
“มาริ…ถ้าว่างแล้วโทรกลับมาหาแม่ด้วยนะ”
“ค่าๆ”
“แล้วก็—”
“???”
“แม่กับพ่อรักลูกนะ ดูแลตัวเองด้วยละ”
“……………….”
หลังจากนั้น โทรศัพท์ก็ถูกตัดสายไป ฉันจึงกลับไปช่วยงานเพื่อนๆอีกครั้ง ทว่าเมื่อไปถึง ทุกคนก็ทำแผลให้ผู้ป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว
บางคนที่เห็นฉันแยกตัวออกไปก่อน มันก็มีส่วนหนึ่งที่เหลือบมองมาด้วยความไม่พอใจ ฉันก็ต้องพยายามหลบตาทำเป็นไม่สนใจพวกเขา
“เหลืออีกกี่แผลหรอ ?”
ฉันเดินไปกระซิบถามเพื่อนสนิทของฉันที่ปาดเหงื่อด้วยท่าทางอ่อนล้า
“น่าจะอีก 5 แผลได้…พี่เขาบอกมาแบบนั้นละ”
“อ่า…..“
ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล
กว่าจะทำแผลรอบเย็นเสร็จ มันก็ปาไปสองทุ่มครึ่ง ฉันและเพื่อนๆก็ลากร่างกายอันอ่อนล้ากลับไปที่หอ ร้านอาหารต่างๆก็พากันปิดไปหมดแล้ว ฉันเลยต้องทนกินอาหารแช่แข็งจากร้านสะดวกซื้อ เพื่อประทังความหิว
แล้วก็ทันทีที่อาบน้ำเสร็จ ฉันก็วางหัวลงบนหมอนทั้งๆที่ยังไม่ได้เช็ดผมให้แห้ง จนสุดท้ายก็เผลอหลับไปทั้งๆแบบนั้น
ในคืนนั้น ฉันก็เลยไม่ได้โทรกลับไปหาคุณพ่อคุณแม่ตามที่ตกลงกันเอาไว้
— ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่า นั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้คุยกับพวกท่านทั้งสองคน
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
— บางครั้งฉันก็เคยคิดว่าคุณพ่อคุณแม่ของตัวเองเป็นหุ่นยน์รึยังไง ?
ภายในห้องอันมืดสนิท เวลา ณ ขณะนี้ ก็ปาไปราวๆตีสามได้ ฉันไล่เปิดดูไฟล์เสียงทั้งหมดตลอดเวลาที่ผ่านมาในโทรศัพท์ที่ตั้งค่าให้บันทึกเสียงสนทนาตอนโทรเข้าโทรออกเอาไว้ทุกครั้ง
ในทุกๆวันไม่เช้าก็เย็น คุณพ่อหรือคุณแม่มักจะชอบโทรมาหาฉัน ในจังหวะที่เลวร้าย
‘มาริตื่นรึยัง ระวังสายนะ’
‘มาริกินข้าวให้เรียบร้อยนะ เดี๋ยวจะไม่มีแรงเอาได้’
‘นอนรึยังลูกพ่อ ?’
‘อย่าลืมแปรงฟันให้เรียบร้อยก่อนเข้านอนนะ’
‘ได้ทานเข้าบ้างรึยัง ? ถ้าไม่ไหวก็ไปพักนะ’
‘พ่อรักลูกนะ มาริ’
‘แม่รักลูกนะ มาริ’
‘ไว้เจอกันใหม่’
‘ราตรีสวัสด์นะลูก’
ร้อยละ 70 ก็มักจะเปิดหรือไม่ก็ลงท้ายด้วยประโยคแนวๆนั้น ราวกับว่าไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับลูกสาวเพียงคนเดียวดี ก็เลยชวนคุยเรื่องน่าเบื่อซ้ำซากจำเจที่อายุปูนนี้แล้วก็ควรที่จะดูแลตัวเองได้
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เรารำคาญจนอยากจะตัดสายของพวกเขาที่โทรมากวนตอนอาบน้ำบ้าง ตอนกินข้าวบ้าง ไม่ก็ตอนนอน
เราเริ่มเบื่อเสียงพวกนี้ไปตั้งแต่ขึ้นมหาลัยใช่รึเปล่า ?
หรือจริงๆแล้ว เราเริ่มรำคาญความขี้จุกจิกของพ่อแม่ตัวเองตั้งแต่ชั้นมัธยมกันแน่ ?
ต่อให้พยายามนึกแค่ไหน ฉันก็ยังนึกไม่ออก แถมพอรู้ตัวอีกทีประโยคสนทนาอันซ้ำซากจำเจเหล่านี้ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของฉันไปเสียแล้ว
พอสูญเสียความน่าเบื่อนี้ไป ไม่รู้ทำไมในใจถึงได้รู้สึกโหวงเหวงอย่างน่าประหลาด
บางครั้งเมื่อถึงเวลาสามทุ่ม ฉันก็มองไปที่โทรศัพท์ของตัวเองพลางคิดว่า ถ้าโทรไปตอนนี้จะมีคนรับสายไหมนะ
ทว่า ฉันก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าโทรศัพท์ของทั้งสองคนไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว ต่อให้โทรไปมันก็ไม่มีคนมารับสายหรอก
‘อย่าลืมแปรงฟันให้เรียบร้อยก่อนเข้านอนนะ’
‘ได้ทานเข้าบ้างรึยัง ? ถ้าไม่ไหวก็ไปพักนะ’
‘พ่อรักลูกนะ มาริ’
‘แม่รักลูกนะ มาริ’
‘ไว้เจอกันใหม่ !!!’
ฉันกรอเสียงของทั้งสองฟังซ้ำๆอย่างไร้จุดหมายเพื่อรอคอยแขกคนหนึ่งที่ฉันเรียกมาในคืนนี้
แอร์เย็นๆที่ชุ่มฉ่ำ บางครั้งฉันก็คิดว่ามันหนาวเกินไปจนควรลดอุณหภูมิลง ทว่า ต่อให้ตอนนี้กดปุ่มปรับอุณหภูมิ ในใจของฉันมันก็เย็นยะเยือกยิ่งกว่าอากาศข้างนอกอยู่ดี
แม้จะขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วนั่งกอดเข่าพิงกำแพง มันก็ไม่ได้ช่วยให้อบอุ่นขึ้นมาแม้แต่น้อย
บ้านที่เงียบสงบและมืดสนิท แม้จะมีขนาดใหญ่ แต่มันกลับอ้างว้างและวังเวง
บางทีคนเราอาจจะตายเพราะความเหงาเลยก็ได้นะ
“เฮ้อ………..”
‘ไว้เจอกันใหม่’
‘ราตรีสวัสด์นะลูก’
“ทำอะไรอยู่หรอ มาริ ?”
ในตอนที่กำลังฟังเสียงของคุณพ่อคุณแม่เพลินจนเกือบจะผลอยหลับไปทั้งๆแบบนั้น อยู่ๆเจ้าแตงโมลอยได้ — มาสคอต จิบิม่อนก็โผล่ขึ้นมา
มันมองโทรศัพท์ในมือของฉันสลับกับตัวฉันที่เริ่มจะสะลึมสะลือ
“เสียงที่บันทึกเอาไว้ ? ของคุณพ่อคุณแม่หรอม่อน ?”
“อ่า…ใช่แล้วละ”
หลังจากที่ขยี้ตาเล็กน้อย ฉันก็จัดท่าจัดทางแล้วนั่งจ้องตาอีกฝ่ายตรงๆด้วยใบหน้าอันเรียบเฉยอีกครั้ง แม้ในใจจะรู้สึกอ่อนล้าจนอยากเอนหัวลงบนหมอนแล้วก็ตาม
“ที่เรียกมาตอนกลางดึกนี่ มีอะไรหรอม่อน ?”
ได้ยินที่จิบิม่อนถาม ฉันก็ตัดสินใจพูดออกไปตรงๆเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
“ฉันมีเรื่องที่อยากจะถามซักหน่อย”
ฉันพูดพลางหมุนโทรศัพท์ในมือเล่น
“มันเป็นข้อสงสัยที่มีมานานมากแล้ว…นานนับปีก่อนที่ฉันจะกลายเป็นจอมเวทย์เสียอีก”
“งั้นเรื่องที่สงสัยก็ไม่เกี่ยวกับเวทมนต์หรอม่อน ?”
“ก็ไม่เชิง—”
ว่าแล้วฉันก็เปิดไล่รายชื่อวันเวลาที่บันทึกเสียงในโทรศัพท์เอาไว้ ย้อนกลับไปถึงเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว…ในคืนนั้น…คืนที่คนไข้เสียชีวิตคามือของฉันเอง
เวลาตีสาม สามนาที เลข 3 จำนวนสองตัวที่ฉันเองคงจำมันไปจนวันตาย
นั่นคือช่วงเวลาที่ฉันโทรไปปรึกษาพี่ Resident เพื่อทำการเจาะปอดคนไข้ ฉันจำได้ไม่เคยลืมถึงบทสนทนาในคืนนั้นที่เขารับฟังและอนุญาติให้ฉันรักษาคนไข้ด้วยมื้อของตัวเอง เพราะมันเป็นเหตุเร่งด่วน ทั้งๆที่ตอนนั้นฉันเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังเรียนไม่จบ
“ตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีก่อน ในคืนที่ฉันโดนใส่ร้ายว่ารักษาคนไข้ตามอำเภอใจจนทำให้คนไข้ตาย ฉันได้พยายามหาหลักฐานมาโดยตลอดว่าในคืนนั้นรุ่นพี่ที่ฉันอยู่ด้วยเป็นคนอนุญาติให้ฉันลงมือเองโดยที่ไม่มีเขามาคุม”
แต่ทว่า—
“ไม่มี…”
“……….”
จิบิม่อนได้แต่ฟังฉันเล่าเงียบๆ
“ต่อให้จะพยายามหาแทบตาย ฉันก็หาไฟล์เสียงที่บันทึกเอาไว้ในคืนนั้นไม่เจอ ไม่ว่าจะลองไปให้ร้านซ่อมโทรศัพท์ตรวจดูหรือลองหาวิธีแก้เองจากในเน็ต สุดท้ายฉันก็หาหลักฐานยืนยันไม่ได้จนถูกไล่ออกจากคณะ”
“เป็นเรื่องที่น่าเศร้านะมาริ ทั้งๆที่มาริไม่ได้ผิดแท้ๆ แต่บางทีโทรศัพท์น่าจะเสียพอดีรึเปล่าม่อน ?”
“ฉันก็อยากจะคิดแบบนั้น — แต่รู้อะไรไหม ?”
“???”
“ฉันลองกดเช็คประวัติการโทรเข้าโทรออกดูแล้ว แต่ในวันนั้นตอนตีสามสามนาที…มันกลับไม่มีบันทึกการโทรออกแม้แต่สายเดียว”
“—- !!!”
“เสี้ยวหนึ่งในใจ ฉันก็กังวลว่าตัวเองจะละเมอเพราะเป็นตอนกลางคืนรึเปล่า ? แต่พอไปถามพี่พยาบาลที่อยู่ด้วยในคืนนั้น เธอคนนั้นก็บอกว่า เห็นฉันโทรหาและพูดคุยกับใครบางคนอยู่”
“……………..”
เพราะอย่างงั้นแล้ว—
ในคราวนี้ฉันเอ่ยถามจิบิม่อนที่ลอยนิ่งไม่ไหวติง
ดวงตาที่เคยมองมาด้วยความเห็นใจในตอนแรก อยู่ดีๆก็เบือนหนี
“ช่วยบอกมาทีจิบิม่อน ว่าในโลกของจอมเวทย์ มันมีวิธีที่ใช้ปลอมเสียงและโทรติดต่อรับสายปลอมๆ โดยไม่ทิ้งหลักฐานอะไรหลงเหลือเอาไว้รึเปล่า ?”
“…………………..”
“ช่วยตอบฉันทีเถอะ….มาสคอต”
ฉันอยากจะให้ความคิดของฉันเป็นเพียงแค่ความกังวลที่มาก0oเกินไป
ถ้าสมมุติฐานของฉันเป็นเพียงแค่ความคิดหลอนๆที่หลอกตัวเอง มันคงน่ายินดีไม่ใช่น้อย หากเทียบกับความจริงที่ฉันกำลังเผชิญอยู่
เวลาได้เลื่อนเลยผ่านไปท่ามกลางบรรยากาศอันเย็นยะเยือก หลังจากครุ่นคิดได้ซักพัก จิบิม่อนก็ไม่พูดอะไรนอกเสียจากพยักหน้าเบาๆ
คำตอบที่ตรงตามสมมุติฐานทำให้ฉันได้แต่กำโทรศัพท์ในมือแน่น
“ช่วยบอกมาได้รึเปล่า ? ว่าวิธีที่ฉันพูดถึง มันใช้เวทมนต์แบบไหนและทำได้ยังไง !?”
“ทำได้หลายวิธีเลยม่อน….โดยเฉพาะพวกคนของกรมข่าวกรองประจำกระทรวงเวทมนต์ที่ชำนาญเรื่องการสืบหาข้อมูลและทำลายหลักฐานเป็นพิเศษ”
“ถ้าอย่างงั้น…เป็นไปได้รึเปล่า ที่ฉันจะตรวจสอบว่า ในคืนนั้นมีคนที่แกล้งสวมบทบาทเป็นพี่ Residents เพื่อบีบให้ฉันโดนไล่ออกอยู่จริงไหม ?”
ฉันนึกหาเหตุผลอื่นที่ทำให้ใครบางคนไล่ต้อนฉันจนจนมุมไม่ออก นอกเสียจากจะทำไปเพราะ ต้องการบีบตัวฉันที่หมดหนทางอื่นให้กลายมาเป็นจอมเวทย์อยู่ตรงนี้
ยิ่งฉันเป็นจอมเวทย์ระดับอาดามันเที่ยม มันก็ยิ่งน่าสงสัยว่าการที่จิบิม่อนมาเข้าหาฉัน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
หลังจากเงียบไปพักใหญ่จิบิม่อนก็ส่ายหัวแล้วถอนหายใจออกมายาวๆ
คำพูดที่ฉันได้รับจากเขา เป็นสิ่งที่ฉันก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว
“อาดามันเที่ยม—-”
“………….”
“คนที่มีกำลังมากพอจะออกคำสั่งหรือจะขอยืมทรัพยากรจากกรมข่าวกรอง อย่างน้อยก็ต้องเป็นจอมเวทย์ระดับอาดมันเที่ยมขึ้นไป”
— หรือก็คือ….ถ้าฉันอยากรู้ความจริงล่ะก็….ห้ามหยุดอยูที่ระดับโกลเฉยๆอย่างงั้นสินะ
“……………………….”
“……………………….”
พวกเราทั้งสองได้แต้จ้องหน้ากันเงียบๆ ท่ามกลางบรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนที่ไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง ฉันที่ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเปรี๊ยะก็เผลอเอานิ้วจิ้มไปโดนไฟล์เสียงที่เคยบันทึกเอาไว้ ทำให้เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมา
‘มาริ สู้ๆนะลูก’
‘พ่อและแม่จะเป็นกำลังใจให้นะ’
‘แล้วพบกันใหม่’
‘พรุ่งนี้เจอกันน้ะจ้ะ’
“………………………………”
“………………………………”
เฮ้อ…..
เสียงของคุณพ่อคุณแม่ที่ชวนให้คิดถึงที่ดังขึ้นพอดี….มันราวกับว่าจะบีบให้ฉันเหลือแค่ทางเลือกเดียว
“ก็เอาสิ…แค่เป็นอาดามันเที่ยมก็พอแล้วใช่ไหม ?”
“มาริ !?”
ฉันรีบยกมือปราบจิบิม่อนที่เงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางดีใจ
“แต่ไว้ฉันพร้อมก่อน ฉันจะบอกเอง”
“เข้าใจแล้วม่อน !!! ทุกๆคนจะต้องดีใจแน่ๆเลยที่มีจอมเวทย์ระดับอาดามันเที่ยมคนใหม่ปรากฎตัวขึ้นมา จิบิม่อนจะรอวันที่มาริกลายเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ทุกคนเคารพรักนะม่อน !!!”
“อืม….”
ในเมื่อฉันถามในสิ่งที่ต้องการเรียบร้อย จิบิม่อนก็หันหลังให้และเตรียมที่จะเคลื่อนย้ายจากไปอีกครั้ง
เขาบอกฉันว่า ไม่อยากจะรบกวนเวลานอนมากกว่านี้ คืนนี้ก็ขอให้หลับฝันดี
“จะว่าไปแล้ว ขอถาม—”
“ ??? ”
“ไม่สิ…ไม่มีอะไร”
ทันทีที่เห็นดวงตาอันว่างเปล่าของจิบิม่อน ฉันก็คิดได้ว่าถามไปก็เท่านั้น เพราะยังไงเจ้านี่ก็เป็นคนของกระทรวงเวทมนต์อยู่แล้วนี่นา
ถ้าข้อสันนิษฐานอีกข้อเป็นจริง…หมอนี่ก็ไม่มีวันตอบอยู่ดี
“แล้วเจอกันใหม่นะม่อน”
“อืม….ราตรีสวัสดิ์…”
ฟุบ !
ทันใดนั้นเองร่างของจิบิม่อนก็เรือนรางลงเรื่อยๆแล้วหายไปอย่างไร้ร่องร่อย ราวกับว่าการคงอยู่ของแตงโมลอยได้จนถึงเมื่อกี้เป็นเพียงแค่ความฝัน
ทว่า ตัวฉันที่อยากให้เรื่องราวในตอนนี้เป็นความฝันยิ่งกว่าใครๆก็ทำได้เพียงก้มหน้าลงแล้วกอดหมอนที่วางอยู่บนตักขึ้นมา
มันจะดีแค่ไหนกันนะ หากฉันนอนหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาพบกับคุณพ่อคุณแม่อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
“นี่…จิบิม่อน”
เพราะเจ้าตัวไม่อยู่แล้ว ฉันจึงทำได้เพียงกระซิบเบาๆในสภาพที่นั่งกอดเข่าและฟุบหน้าลงกับหมอน
ความรู้สึกเย็นเฉียบที่เกาะกินหัวใจในตอนนี้ มันช่างน่าคลื่นไส้และน่าขยะแขยง
“ช่วยบอกฉันที่ว่าการตายของคุณพ่อคุณแม่เป็นเพราะอุบัติเหตุจากมอนสเตอร์จริงๆ”
ไม่มีใครให้คำตอบฉันได้
ทางเดียวที่จะรู้ก็คงมีแค่การถลำลึกลงไปในเงาอีกด้านของสังคมจอมเวทย์มากกว่านี้
— และนี่คือเรื่องราวในค่ำคืนหนึ่งของฉัน ก่อนที่จะได้พบกับความมืดอีกด้านของโลกใบนี้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ถัดมา