เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 14 การฝึกซ้อมรากเลือด
‘อะ ! อุ ม่าย !!!!! @#$@#%#%#$^#$%’
‘แคะ ย๊า กรี๊ !!@#@$#@%#$&^$’
ฟันที่อ้ากว้าง งับใส่ชุดนักเรียนที่ยับยูยี่จากการดิ้นทุรนทุราย
เลือดสีแดงสดไหลทะลัก เสียงกรีดร้องดังระงม
ขาเล็กๆของเด็กชายและเด็กสาวถีบไปถีบมาด้วยความทุข์ทรมาน
แผล่ะ !
หลังจากที่ร่างท่อนล่างหล่นลงกับพื้นพร้อมหยดเลือดที่สาดกระเซ็น
เสียงร้องของพวกเขาทั้งหมดก็เงียบหายไป
กรุบๆๆๆ
เสียงที่หลงเหลือ มีเพียงเสียงเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยของอสูรกายผิวเขียวที่ใบหน้าชุ่มไปด้วยเลือด
“…………………….”
และตอนที่มันอ้าปากเคี้ยวอย่างมูมมาม ดวงตาอันว่างเปล่าของเด็กๆพวกนั้นที่อยู่ข้างในก็จ้องมาที่ฉัน
.
.
.
.
.
.
เช้าวันใหม่อันสดใส
ฉันตื่นขึ้นมาโดยที่มีเหงื่อไหลท่วมตัว
แม้จะเปิดแอร์ให้อุณหภูมิต่ำเสียจนน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง แต่ฉันก็ยังรู้สึกร้อนอยู่ดี
เฮ้อ….
เพราะงั้นสิ่งแรกที่ฉันทำจึงเป็นการเปิดเมจิคัลโฟนขึ้นมา
ฉันกดเข้าไปในไอคอนสินค้าออนไลน์แล้วเลื่อนไล่หาสินค้าที่ฉันซื้อไว้เมื่อวาน
พอหาเจอแล้ว ฉันก็เขียนรีวิวลงไปด้วยความรู้สึกหัวเสียพอสมควร
ชื่อยา : ยาลบความทรงจำระดับล่าง
รีวิว : ยาห่วยค่ะ คุณภาพโคตรแย่ ใช้งานไม่ได้จริง ขออนุญาติให้คะแนน 0 ดาวนะคะ
เอาล่ะ พอระบายอารมณ์เสร็จแล้ว ฉันก็ถอดชุดนอนทิ้งแล้วเดินไปห้องน้ำ
เปิดฝักบัวที่ติดอยู่กับกำแพง เงยหน้าขึ้นรับน้ำเย็นๆจนผมและใบหน้าเปียกชุ่ม
ความเย็นที่ลูบไล้ตามรูขุมขนช่วยขจัดเหงื่ออุ่นๆที่เคยปกคลุมทั่วร่าง
พอถูตัวฟอกสบู่ล้างน้ำเสร็จ ก็เช็ดตัวหวีผมให้เรียบร้อย
หลังจัดแต่งทรงผมใส่เสื้อผ้า ฉันก็ตบหน้าเรียกสติของตัวเอง
รู้สึกกลับมาสดชื่นอีกครั้ง หลังอาบน้ำ
เพราะงั้น วันนี้ เราก็มาเริ่มงานของเรากันเถอะค่ะ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
‘ประกาศแจ้งเตือน ภัยภิบัติมอนสเตอร์ที่สี่แยกมาซาอิ เมืองมาซากุระ ’
‘LV. ขั้นต่ำ 30’
‘ศัตรู : ออร์คระดับกลาง 7 ตัว’
‘รบกวนจอมเวทย์ที่อยู่ใกล้เคียง ขอความร่วมมือกำจัดเป้าหมายโดยด่วน’
‘อัตราฟูลซิงโคร 20 %’
ช่วงเช้าราวๆ 10 โมง การแจ้งเตือนที่ดังขึ้นจากเมจิคัลโฟนทำให้ฉันวางตะเกียบในมือลง ก่อนเปลี่ยนชุดแล้วกระโจนเข้าสู่โลกเรพลิก้า
หลังจากนั้น ฉันก็ใช้เวลาราวๆ 5 นาทีเพื่อไปถึงที่เกิดเหตุ
“อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนหลับสบายดีไหม ?”
แต่เมื่อฉันมาถึงก็พบกับออร์คที่ร่างกายไหม้เกรียมทั้ง 7 ตัว และ เอวาที่ยืนอยู่ท่ามกลางซากศพเหล่านั้น
น้ำเสียงของเธอยังคงเปี่ยมด้วยความมั่นใจ และ ท่าทางก็ยังกระตือรือร้นไม่เปลี่ยน
ราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเรื่องโกหก….
แต่ว่าก็ว่าเถอะ วันนี้เธอมาถึงเร็วดีจัง
พอเช็คเมจิคัลโฟนถึงได้รู้ว่าเธอเคลียร์ภารกิจนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
“น่าเสียดายจัง ฉันอดรายได้ไปหลายโกลเลยแฮะ”
“โทษทีๆ พอดีวันนี้ฉันอยู่ใกล้พอดี ขอโทษนะ เอ็มเพรส มารีน”
“เอาเถอะ ถ้าคุณเอวามาถึงก่อนก็ช่วยไม่ได้ …..ในเมื่อจัดการเสร็จแล้วทางนี้ก็ขอตัวก่อนละกันคะ ฉันไม่อยากรั้งตัวคุณรุ่นพี่เอาไว้ …รีบกลับไปเรียนต่อเถอะ”
“……………………..”
หมดธุระแล้วก็แยกจาก
ฉันหยิบเมจิคัลโฟนขึ้นมาเตรียมเคลื่อนย้ายกลับบ้าน พร้อมบอกลาโดยทันที
“เอ็มเพรส มารีน”
แต่แล้วอยู่ๆ เอวาก็เรียกฉัน
“พอดีช่วงเช้านี้ฉันว่างอยู่…จะว่าอะไรไหมถ้าจะช่วยมาเป็นคู่ซ้อมให้กันหน่อย”
“……………….”
ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนหันกลับไปหาเธอที่กำชายกระโปรงแน่นและมองมาที่ฉันอย่างจริงจัง
ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ไม่ใช่ว่าเวลานี้ต้องไปเรียนหรอคะ ?”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง วันนี้ฉันลาเรียนแล้วน่ะ”
โฮ่วววว ….ลาเรียนอย่างงั้นหรอ
ด้วยเหตุผลอะไรละ ?
“ไม่สบายหรอคะ ? หรือ เพราะยังทำใจเรื่องเมื่อวานไม่ได้ก็เลยอยากพักผ่อน ?”
“อึก !”
พอโดนฉันจี้ถาม เธอก็เม้มปากและมองมาที่ฉัน
“เมื่อวานเธอโกหกฉันจริงๆด้วย….”
ได้ยินดังนั้น ฉันก็พยักหน้า
“ใช่แล้วค่ะ น่าเสียดายจังที่โกหกไม่เนียน”
“เรื่องแบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรโกหกเลยนะ”
“จะพูดว่าโกหกก็คงไม่เชิง เพราะเมื่อวานก็ไม่มีเด็กคนไหนตายเพราะถูกมอนสเตอร์ฆ่าซักหน่อยนิค่ะ”
“—– !!!”
“เด็กๆพวกนั้นโดนลูกลงจากแก๊ซระเบิด ในข่าวก็บอกไว้ชัดเจนแล้วค่ะ”
“นั่นมันก็แค่การปิดข่าวเฉยๆ !!! ความจริงแล้วเป็นเพราะพวกเรา—-”
“ไม่ได้เป็นเพราะพวกเราค่ะ !”
ฉันขึ้นเสียงเล็กน้อยด้วยความรำคาญ
“พวกเราไม่ได้ผิด…อย่างน้อยก็ฉันคนนึง ส่วนคุณเอวา ถ้าอยากจะโทษว่าตัวเองผิดก็เชิญโทษตัวเองไปคนเดียวเลย”
“อึก…ก็ฉัน”
“อะไร ? จะบอกว่าถ้าตอนนั้นไม่เผลอไปเหยียบสัญญาณเตือนภัย ก็คงล้อมวงและจัดการพวกมันง่ายกว่านี้ …ถ้าพวกเราเป็นฝ่ายลอบโจมตีก่อน พวกเราจะทำภารกิจได้สำเร็จหรอคะ…เอาจริงๆแล้ว ฉันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกนะ ถ้าคุณเอวาอยากจะหาเรื่องโทษตัวเอง”
“นั่นมันก็…ฉัน…”
“ถ้ารู้สึกไม่ไหวแล้วอยากลาเรียนเพื่อพัก ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ แต่ถ้าลาเรียนเพื่อมานั่งล่ามอนสเตอร์เพราะกลัวว่า จะมีคนตายเพราะช่วยไม่ทันอีก ก็ช่วยเลิกซะเถอะค่ะ ขืนคุณเอวาแย่งมอนสเตอร์ไปทั้งหมด ฉันก็ไม่มีรายได้กันพอดี”
ฉันพูดติดตลกเล็กน้อยก่อนจะหรี่ตามองเอวาซึ่งหลุบตาลงด้วยสีหน้าเจ็บปวด
กระนั้นแล้ว เธอก็ยังไม่วายตามตื้อฉันต่อ
“เข้าใจแล้ว…เป็นความผิดฉันเองจริงๆนั่นแหล่ะ เพราะงั้นแล้วเอ็มเพรส มารีน….เธอจะช่วยมาเป็นคู่ซ้อมให้ฉันได้รึเปล่า ?”
หาาาาาา
น่ารำคาญจัง
น่ารำคาญชะมัดยาดเลยค่ะ
ฟังที่พูดไม่รู้เรื่องรึยังไง ?
ตอนเช้าตื่นมาก็อารมณ์ไม่ค่อยดี ยังต้องมาโดนเด็กที่เป็นรุ่นพี่มางอแงตามตื้ออีกเนี่ยนะ ?
แน่นอนว่าฉันหนักแน่นมากพอที่จะปฏิเสธ
“มอ อะ ยอ มาย ไม้เอก — ไม่ ค่ะ ! ฉันไม่มีนโยบายสนับสนุนให้โดดเรียนมาเล่นเป็นจอมเวทย์หรอกนะคะ”
“ไม่ได้เล่นซักหน่อย นี่ฉันจริงจังนะ !!!”
เอวาเริ่มขึ้นเสียงเล็กน้อย แต่ก็แน่นอนว่าฉันคัดค้านหัวชนฝา
“การเข้าเรียนให้ตรงเวลา และ รับผิดชอบชีวิตตัวเอง….มันจะมีอะไรสำคัญไปกว่าสองสิ่งนี้อีกละ ?”
“การเป็นจอมเวทย์ต้องสำคัญกว่าอยู่แล้วสิ !!!”
ทว่า เอวากลับปฏิเสธเสียงแข็ง
“ความฝันของฉันคือการเป็นมหาปราชญ์ เพราะงั้นฉันจะต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้ ! ต้องเก่งขึ้นมากกว่านี้ ! เรื่องเรียนอะไรนั่น จะเป็นยังไงก็ช่าง ! ถ้าเกิดฉันต้องเสียมันไปเพื่อให้ฉันกลายเป็นมหาปราชญ์ ฉันก็ยินดีที่จะทิ้งมันไปอยู่แล้ว !”
สายตาของเธอเต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมัน ดวงตาที่สุกสกาวของเธอปราศจากซึ่งความลังเล
เธอได้ตัดสินใจแล้วว่า ต่อให้ต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม เธอจะต้องทำความฝันของตนให้เป็นจริง
แต่รู้อะไรไหม ?
เพราะ ความฝัน คือสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ คนเราถึงได้เรียกสิ่งนั้นว่าเป็นความฝันยังไงละ
“เฮ้อ……….”
ฉันไม่ถนัดงานรับมือกับวัยรุ่นใจร้อนที่พร้อมบวกมอนสเตอร์สดๆร้อนๆจริงๆเลยค่ะ
ถ้ายอมๆตามน้ำให้มันจบๆไปก็ได้อยู่ แต่เห็นแล้วขัดใจเหลือเกิน
หากเป็นไปได้ ฉันก็อยากจะสลับสถานะของเราซ่ะเหลือเกิน
แต่ก็เอาะเถอะ ถ้าพูดถึงขนาดนี้ก็ช่วยไม่ได้
ถึงจะไม่อยากทำเพราะผิดนโยบาย แต่ถ้าปฏิเสธไปเรื่อยๆ ก็คงโดนตามตื้อต่ออยู่ดี
แถมถ้าทิ้งไว้แบบนี้ เอวาก็คงฟิตจนไล่ล่ามอนสเตอร์ทำให้ฉันที่โผล่มาไม่ทัน ขาดรายได้ไปพอสมควร
แน่นอนว่าฉันเป็นคนที่ยึดถือผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่หนึ่ง ส่วนผลประโยชน์ของคนอื่นนั้นเป็นรอง
เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง การลากไปซ้อมหนักๆให้ตายกันเป็นข้างจนหมดแรง คงเป็นทางเลือกที่รักษาผลประโยชน์ของฉันได้มากที่สุด
“แค่ซ้อมด้วยก็พอแล้วใช่ไหม ?”
“ได้หรอ !?”
“อ่า…ในเมื่อตื้อขนาดนี้ก็คงช่วยไม่ได้ค่ะ”
หลังจากที่เราทั้งคู่ตกลงกันเสร็จสรรพ พวกเราก็เคลื่อนย้ายไปที่ดินแดนของจอมเวทย์ค่ะ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เบื้องหน้าของฉันที่เดินตามหลังเธอมาคือโดมสีขาวขนาดใหญ่ราวกับสนามกีฬา
สถานที่แห่งนี้คือ โรงฝึก …สถานที่ซึ่งให้จอมเวทย์ทั้งหลายมาใช้ฝึกซ้อม
ด้านหน้าเป็นประตูเลื่อน ซึ่งเมื่อเดินผ่านเข้าไป ก็จะพบกับห้องโถงสีขาวขนาดใหญ่ที่ตรงกลางมีเคาน์เตอร์ และ ตามจุดต่างๆมีเก้าอี้ยาวหรือตู้กดน้ำวางอยู่ประปราย ริมผนังตามกำแพงก็จะมีประตูเรียงรายกันเป็นจำนวนมาก และบนประตูก็จะมีหลอดไฟติดตั้งอยู่ บางประตูมีหลอดสีแดง บางประตูมีหลอดสีเขียว ทว่าสีแดงกลับมีแค่สองบาน และ หลังจากนั้นไม่นานไฟสีแดงก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวจนประตูทุกบานมีหลอดไฟสีเขียวเหมือนกันหมด
เอวาพาฉันไปยังเคาน์เตอร์ซึ่งตรงนั้นมีเพนกวินพูดได้สามตัวกำลังนั่งอยู่หน้าคอม
“ขอห้องฝึกใหญ่ๆซักห้อง”
“ไม่ทราบว่าจะใช้นานแค่ไหนครับ ?”
พอเพนกวินพูดได้ถาม เอวาก็ส่งสายตามาถามฉัน
ฉันเลยตอบไปในทันที
“แค่ 2 ชั่วโมงก็พอค่ะ”
“รับทราบ—ขออนุญาติทราบชื่อ”
คลิกๆๆๆ
หลังจากที่เพนกวินกดแป้นพิมพ์กรอกรายละเอียดประวัติตามที่พวกเราบอกเสร็จ เพนกวินพูดได้ก็ยื่นคริสตัลสีฟ้าก้อนหนึ่งให้กับเอวา
บนผลึกสีฟ้าเงาวับนั้นสลักเลข 115 เอาไว้
“ห้องเบอร์ 115 เดินไปตามลูกศรเลยครับ”
สิ้นการแนะนำของเขา คริสตัลบนมือเอวาก็เปล่งแสงออกมา
ท่ามกลางประตูจำนวนมาก มีประตูบานหนึ่งที่หลอดไฟแปรเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง
และหลังจากนั้นคริสตัลสีฟ้าในมือก็ยิงลำแสงสีฟ้าไปยังประตูบานนั้นราวกับจะเป็นเครื่องช่วยนำทางให้พวกเรา
ฉันเดินตามเอวาด้วยความรู้สึกสนอกสนใจ จนไปหยุดยืนอยู่หน้าประตู
กึก !
ทันทีที่เรามาถึง ประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นข้างในที่เป็นลิฟต์ขนาดกลางๆซึ่งจุคนได้ราวๆ 10 คน
ข้างในนั้นมีกระจกล้อมรอบ และ ตรงริมกำแพงกระจกก็มีปุ่มเปิดปิดประตูและปุ่มฉุกเฉินอยู่
แน่นอนว่าด้านบนสุดก็มีจอมอนิเตอร์ที่ฉายตัวอักษร ชั้น G
ทว่า ลิฟต์นี้ก็ต่างจากลิฟต์อื่นตรงที่ตรงข้างๆปุ่มปิดเปิดจะมีช่องว่างทรงเหลี่ยมขนาดเท่าคริสตัลอยู่ ไม่ได้มีปุ่มตัวเลขเลือกชั้น
เอวาก็ไม่รอช้าใส่คริสตัลเข้าไปในช่องว่างนั้นแล้วกดปิดประตู
กึก !
หลังจากที่ประตูปิดลง บนจอโมนิเตอร์ก็ปรากฎลูกศรชี้ลง ตัวอักษร 115 บนคริสตัลเปล่งแสงสีทอง
กึกๆๆๆๆๆๆๆ
ลิฟต์ค่อยๆเคลื่อนลงไปข้างล่างอย่างช้าๆ พร้อมกับส่งเสียงดังกึกกัก
แต่หลังจากที่ผ่านไปได้ซักระยะหนึ่ง ความเร็วของมันก็มากขึ้นๆ จนกระทั่งรู้สึกตัวเบาขึ้นราวกับอยู่ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วงเพราะพวกเรากำลังเคลื่อนที่ลงไปข้างล่างด้วยความเร็วราวกับรถไฟความเร็วสูง
ตึ้ง !
กึกๆๆๆๆๆๆ
รู้สึกลิฟต์สั่นสะเทือนโคลงเคลงไปมาราวกับจะหลุดตกลงไปได้ทุกเมื่อ จนฉันเผลอจับกระจกเอาไว้ด้วยความตื่นตกใจ
กระนั้นแล้วระหว่างที่กำลังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ กระจกด้านข้างที่เคยมืดสนิทก็พลันปรากฎแสงสว่างขึ้นมา
ฟุบ !
สิ้นเสียงสายลมหวีดแหลม ความเร็วของลิฟต์ที่กำลังตกลงมาตามแรงโน้มถ่วงก็แปรเปลี่ยนเป็นเคลื่อนที่ลงอย่างช้าๆ
เมื่อฉันมองออกไปนอกกระจกก็พบกับพื้นที่ใต้ดินที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
ลิฟต์จำนวนมากเชื่อมต่อกับห้องสี่เหลี่ยมโปร่งใสซึ่งเปล่งแสงสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วน
ราวกับพื้นดินข้างใต้นี้คือรังมดขนาดยักษ์ที่มีห้องลับแตกแขนงออกไปมากมาย
แสงสว่างสุกสกาวจากห้องทั้งหลายท่ามกลางความมืดมิดของใต้พื้นดิน ทำให้เห็นถึงอาณาเขตอันกว้างขวาง ราวกับมีคนมาสร้างเมืองเอาไว้ใต้ภิภพก็ไม่ปาน
ห้องบางห้องมีจอมเวทย์กำลังประลองกันอยู่ข้างใน บ้างเสกน้ำ เสกไฟ หรือบ้างก็กระโจนฟาดดาบเข้าใส่กัน
มีบ้างห้องที่มังกรขนาดยักษ์กำลังไล่งับเหล่าจอมเวทย์
มีบางห้องที่จอมเวทย์เพียงหนึ่งคนกำลังเผชิญหน้ากับออร์คจำนวนนับร้อย
ฉันเกาะกระจกด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้เห็นจอมเวทย์จำนวนมากกำลังฝึกซ้อมอยู่ในห้องใต้ดินนับหลายพันหลายร้อยห้อง
กึก !
แต่หลังจากที่เชยชมพวกเขาได้ไม่นาน ลิฟต์ของเราก็ค่อยๆชะลอเข้าไปใกล้ห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ห้องหนึ่งท่ามกลางห้องใต้ดินจำนวนมาก
หลังจากที่ลิฟต์รอดผ่านช่องว่างของกำแพงเข้าไปได้ ฉันก็มองไม่เห็นห้องอื่นๆผ่านกระจกทั้งสี่ด้านอีก
กริ๊ง !
เสียงกระดิ่งดังขึ้น ทันทีที่ลิฟต์ถึงพื้น ประตูก็เปิดออก
แสงสว่างจ้าชวนให้แสบตาพุ่งเข้ามาทำให้ฉันต้องรีบเอามือขึ้นบัง
“ถึงแล้ว ! รู้สึกยังไงบ้างกับการเดินทางมาโรงฝึกครั้งแรก ?”
“รู้สึกตื่นตาตื่นใจสุดๆ….นี่มันเกินเลยกว่าคำว่าโรงฝึกไปเยอะเลยค่ะ”
ห้องสำหรับฝึกซ้อมใต้ดินหลายร้อยเมตรที่ถูกสร้างเอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วนใต้ดินแดนจอมเวทย์
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าใต้เท้าของตัวเอง จะมีจอมเวทย์จำนวนมากกำลังฝึกฝนขัดเกลาฝีมือกันอยู่
พอฉันเดินตามเอวาออกมาก็พบว่า ห้องที่ฉันอยู่คือห้องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา
พื้นที่ของมันมากถึงขนาดราวกับว่าจะจุเมืองเข้าไปได้ทั้งเมือง
มันเป็นพื้นที่ขาวสะอาด ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆอยู่เลย
ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดเพดานถึงให้แสงสว่างได้ทั้งๆที่ไม่มีหลอดไฟ
และ ท่ามกลางความว่างเปล่า มันก็มีสิ่งเดียวที่ตั้งตระหง่านอยู่ก็คือ แท่นควบคุมสูงเท่าเอวซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง และ บนแท่นควบคุมนั้นก็มีช่องว่างให้ใส่คริสตัลได้เช่นเดียวกับในลิฟต์
ระหว่างที่เอวาวางคริสตัลลงไป ฉันก็รู้สึกสงสัยว่าทำไมพื้นที่ฝึกซ้อมของเราถึงกว้างขวางเทียบเท่ากับดินแดนของจอมเวทย์ได้เลยทีเดียว
แต่พอฉันลองเสิร์จในเมจิคพีเดีย มันก็ให้ข้อมูลว่าห้องซ้อมที่เราอยู่ได้ร่ายเวทย์ขยายมิติเอาไว้ ทำให้ขนาดพื้นที่กว้างขวางเกินกว่าความเป็นจริง ประหนึ่งว่าพวกเราคือ ไอเท็ม ที่ถูกโยนเข้าไปในไอเท็มบอกซ์ซึ่งก็คือห้องๆนี้
กริ๊ง !
ระหว่างที่ฉันกำลังรู้สึกสนอกสนใจ เทคโนโลยีอันน่าอัศจรรย์ คริสตัลบนแท่นควบคุมก็เปล่งแสงสีฟ้าจางๆขึ้นมาแล้วก่อร่างเป็นหน้าจอและแป้นพิมพ์ลอยอยู่กลางอากาศ
บนหน้าจอนั้นก็ได้ปรากฎรายละเอียดต่างๆมากมายคล้ายกับในเกมต่อสู้ ยกตัวอย่างเช่น มีช่องให้เลือกพื้นที่ฝึกซ้อม ตัวเลือกระยะเวลาที่ใช้ในการต่อสู้ เกณฑ์ในการชนะแต่ละตา รวมถึงจำนวนรอบที่จะต่อสู้
เอวากดแป้นพิมพ์ไปพลางแนะนำฉัน
“ห้องๆนี้เป็นห้องพิเศษที่สามารถปรับลดความเสียหายจากเวทมนต์และกายภาพได้ตามการตั้งค่าที่ระบุ รวมถึงสามารถสร้างมอนสเตอร์จำลองเสมือนจริงขึ้นมา แถมยังให้เลือกสถานที่ต่อสู้ได้ด้วย”
มอนสเตอร์จำลองเหล่านี้มีพละกำลังเทียบเท่าตัวจริงและสิ่งปลูกสร้างก็สามารถใช้งานได้จริงประหนึ่งเป็นโลกแห่งความจริงอีกใบ
เวทมนต์ที่น่าเหลือเชื่อนี้ทำเอาฉันอยากรู้เหลือเกินว่ามันใช้กลไกอะไรกันแน่ถึงจำลองสิ่งปลูกสร้างได้เหมือนจริงถึงเพียงนี้
พอแนะนำคร่าวๆเสร็จ แผนที่โลกก็เด้งขึ้นมา เอวากดไปยังตำแหน่งของเมืองมาซากุระ
ทันใดนั้นเอง เสียงสังเคราะห์ก็ดังก้องขึ้นจากรอบทิศทาง
‘สนามจำลอง : เมืองมาซากุระ’
ซู่มมมมมม
พริบตานั้นเอง คริสตัลก็ฉายลำแสงสีฟ้าออกไปโดยรอบจนไปกระทบกับกำแพง
หลังจากนั้นก็เกิดการสะท้อนบนพื้นผิวของกำแพง ทำให้เกิดเป็นลำแสงสีฟ้าลายพันหลายหมื่นเส้นกระจัดกระจายไปทั่วห้อง
ทว่า แสงเหล่านั้นก็ค่อยๆขยับขึ้นๆลงๆแล้วก่อร่างเป็นโครงสร้างอาคารสีฟ้าขึ้นมาอย่างช้าๆ
พอผ่านไปได้ราวๆ 10 นาที อาคารทั้งหมดที่เคยเห็นในเมืองมาซากุระก็ปรากฎขึ้นในสภาพที่มีสีฟ้า
แต่พอแสงในคริสตัลกระพริบวูบหนึ่ง จนแสบตาทำให้ต้องหรี่ตาลง ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง อาคารทุกหลังก็เสร็จสมบูรณ์เหมือนจริงแทบทุกอย่าง ทั้งความแข็งและก็สีสันต์
สถานที่ที่พวกเรายืนอยู่ตอนนี้คือ บริเวณสวนหย่อมของศาลากลางจังหวัดเมืองมาซากุระ
ข้างหลังของเราคือศาลากลางจังหวัดซึ่งเป็นอาคารทำจากไม้สูงสามชั้น และ เบื้องหน้าคือบ่อน้ำพุที่ใสสะอาดท่ามกลางแปลงดอกไม้
ซ่าๆๆๆๆๆ
เสียงสายน้ำกระทบผิวน้ำดังชัดเจน
พอฉันยื่นมือออกไปสัมผัสน้ำเหล่านั้นก็รู้สึกได้ถึงความเปียกชุ่มราวกับของจริง
“สุดยอดไปเลย….”
ฉันอดกลั้นความประทับใจเอาไว้ไม่อยู่ ขณะเชยชมทิวทัศน์ของบ้านเรือนอันแสนจะคุ้นเคย
“ยังไม่จบหรอกนะ—”
เอวาพูดพลางกดแป้นพิมพ์ต่อ
กริ๊ง !
เกิดเสียงสังเคราะห์ดังขึ้นอีกครั้ง
‘กำหนดเวลาฝึกซ้อมรอบละ 30 นาที ทั้งหมดรวม 3 รอบ’
‘เกณฑ์การตัดสิน : ประกาศยอมแพ้หรือหมดสติหรือได้รับบาดเจ็บสาหัส’
‘ความปลอดภัย : คืนสภาพบาดแผลหลังการต่อสู้ทุกๆหนึ่งยก’
‘มอนสเตอร์ : ไม่มี’
“เอาละ เรียบร้อยแล้ว ”
ชู่วววววว
อยู่ๆลำแสงสีฟ้าจากคริสตัลก็พุ่งมาที่ร่างของพวกเราทั้งสองคนและส่องกระทบจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน เสร็จแล้วเสียงสังเคราะห์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
‘สแกนเรียบร้อย เริ่มการต่อสู้ได้’
พรึ่บ !
บนท้องฟ้าปลอมๆปรากฎตัวเลขจับเวลาสีแดงลอยขึ้นมา
ฉันมองไปที่เอวาซึ่งเดินเข้ามาใกล้และเอ่ยกับฉันว่า—
“อยากจะลองวัดฝีมือหน่อย ช่วยจัดหนักจัดเต็มไม่ต้องเกรงใจให้ทีนะ”
“อืม….”
“ถ้างั้นไปสู้กันแถวไหนดี เอ็มเพรส มารีนเลือกเลย”
“ก็ได้ค่ะ…งั้นเอาที่ตรงสี่แยกตรงนั้นก็ได้”
ฉันชี้ไปยังสี่แยกกลางเมืองที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและต้นไม้สองข้างทาง
พอเอาวาพยักหน้าเห็นด้วย เราสองคนก็วิ่งตรงไปหยุดอยู่ตรงกลางสี่แยกซึ่งปราศจากรถและผู้คนจนรู้สึกวังเวงแปลกๆ
“ทางนั้นก็ไม่ต้องเกรงใจเช่นกันค่ะ คิดซะว่าทางนี้คือศัตรูที่ต้องทุ่มเททุกอย่างสุดฝีมือนะคะ”
“เข้าใจแล้ว……”
“ค่ะ! ถ้างั้นก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า !!!”
“อื้ม !”
แต่ในขณะที่เอวาตั้งท่าเตรียมพุ่งขึ้นมาในระยะหนึ่งสิบเมตร ฉันก็ทุบมือราวกับพึ่งนึกขึ้นมาได้
“จริงด้วย ! จะว่าไปแล้วคุณเอวาช่วยหันหลังไปทางนู้นหน่อยได้ไหมคะ ?”
“อะ…เอ๋ ? ได้สิ ทำไมหรอ ?”
แม้จะทำหน้างง แต่เอวาก็ยอมหันหลังให้ฉันแต่โดยดี
“…………”
“มีอะไร ทำไมถึงต้องให้หัน—”
เมื่อเห็นแผ่นหลังของอีกฝ่ายเปิดโล่งฉันก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ….—-อควาคัตเตอร์ !”
“—– !?”
ฉัวะ !
สิ้นเสียงตัดฉับเบาๆ หัวของเอวาก็บินขึ้นฟ้า ใบหน้าของเธอฉายแววสับสน
ก่อนที่วินาทีถัดมา หัวของเธอจะตกกระแทกพื้น และร่างของเธอก็ล้มลง
ซ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ทันใดนั้นเอง ภาพที่เห็นตรงหน้าก็กระพริบรัวๆราวกับจอทีวีที่ติดๆดับ
ร่างรู้สึกลอยละล่อง สติดับวูบไปชั่วขณะ
ตุบ !
พอรู้สึกตัวอีกที พวกเราก็มาโผล่ที่ศาลากลางจังหวัด บริเวณแถวแท่นควบคุมอีกครั้ง
“ ??? ”
บนท้องฟ้าปรากฎตัวอักษรขึ้นมาว่า—
รอบที่ 2 เริ่มได้
เหลือเวลาอีก 30.00
เอ็มเพรส มารีน : แม่มดอัสนี => 1:0
“เดี๋ยวสิ ! ทำไมอยู่ๆก็ทำแบบ—-”
เอวาจับคอของตัวเองด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
หัวยังคงติดอยู่บนบ่า ราวกับ ความตายเมื่อกี้เป็นเรื่องโกหก
ต้องขอบคุณความสามารถในการฟื้นคืนสภาพของสนามฝึก
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรกับฉัน ฉันก็ชี้คฑาไปที่เธอแล้วเอ่ยวัจนะมนตราออกมา
”—-อควาคัตเตอร์ !”
ฉัวะ !
“เอ๋ ?”
ใบหน้าที่กำลังทำหน้าเหวอลอยขึ้นฟ้า
เสียงกระดิ่งแจ้งเตือนดังก้องไปทั่วเมืองมาซากุระจำลองที่มีเพียงแค่เราสองคน
‘จบการต่อสู้’
‘เวลาทั้งหมด 1 นาที 3 วินาที’
‘เอ็มเพรสมารีน เป็นฝ่ายชนะ’
ตุบ !
พวกเรากลับมายืนเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
คราวนี้ เอวาที่รู้ตัวว่าโดนฉันตัดคอขาดทีเผลอไปสองรอบติดก็พุ่งมาหาฉันด้วยใบหน้าที่สับสนงุนงงปนหงุดหงิด
“เดี๋ยวสิ ! นี่มันหมายความว่ายังไง !? ทำไมอยู่ๆถึงโจมตีเฉยเลยล่ะ !?”
“ก็เพราะพวกเราเป็นศัตรูกันไงค่ะ”
ว่าแล้วฉันก็ชี้คฑาไปที่เธอ จนเอวาที่โดนตัดคอจนฝังใจเผลอถอยหลังด้วยความขนลุกพลางลูบหลังคอของตัวเอง
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าพวกเรา คือศัตรูกัน”
นั่นหมายความว่า—
“การต่อสู้ของพวกเราเริ่มตั้งแต่ ตัวเลขนับเวลาถอยหลังแล้วไม่ใช่หรอคะ ? แล้วฉันก็ยืนยันสัญญาณต่อสู้ซ้ำอีกครั้งให้แล้วด้วย..แต่ถึงอย่างงั้นทำไม—-”
เอวากลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ ในขณะที่ฉันหรี่ตามองเธออย่างกดดัน
“ทำไมถึงหันหลังให้ฉันทั้งๆที่เราเป็นศัตรูกันอยู่”
“กะ กะ ก็เธอบอกให้ลองหันหลังดู”
“นี่คุณเชื่อในสิ่งที่ศัตรูบอกอย่างงั้นหรอคะ ?”
“เอ๋ !? ก็ตอนนั้นนึกว่าทดลอง”
“ไม่มีคำว่า นึกว่า ค่ะ….ในสนามรบจริงไม่มีคำว่า ‘นึกว่า’ หรือ ‘ถ้า’ รบกวนเลิกใช้สองคำนั้นด้วยค่ะ และก็กรุณาจำให้มั่นด้วยค่ะ ว่า ต่อให้ตายก็อย่าได้ล่ะสายตาจากศัตรูเป็นอันขาด ต่อให้มันคนนั้นจะอ้อนวอนหรือพูดอะไรออกมา หรือแม้กระทั่งจะเคยเป็นพวกเดียวกันเอง ถ้าศัตรูปลอมตัวมา เราก็ไม่รู้ไม่ใช่รึ ? เพราะงั้นอย่าหันหลังให้ใครง่ายๆ …ห้ามเด็ดขาดค่ะ ”
“อึก ! ระ ระ เรื่องนั้นรู้แล้วน่า ไม่ต้องให้เธอมาบอกเรื่องพื้นฐานพวกนั้นก็ได้..แถมอีกอย่างรอบที่สองก็เกินไปเหมือนกัน อยู่ๆก็โจมตีใส่เฉยเลย !”
“ค่ะ…ก็เพราะ ฉันคือศัตรูไงค่ะ”
“—- !?”
“ไม่มีศัตรูที่ไหนรอให้คู่ต่อสู้เตรียมตัวหรอกค่ะ เห็นหน้ามันก็ยิงทิ้งเลย ไม่มีอธิบายอะไรทั้งนั้น ……ฉันบอกแล้วไงค่ะ ว่าฉันจะรับบทเป็นศัตรูสุดเหี้ยมโหดที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อจัดการกับคุณ”
“เดี๋ยวสิ ! เธอทำตามความเข้าใจของเธอเออเองหมดเลยนะ การฝึกต่อสู้ที่ฉันหมายถึงไม่ใช่แบบนี้—”
“แล้วที่คุณเอวาต้องการคือแบบไหน ?”
ฉันเขยิบเข้าไปใกล้เธอ พลางลดอาวุธลง
“การต่อสู้แฟร์ๆซึ่งๆหน้า การซัดเวทย์ทั้งหมดที่มีใส่กันอย่างยุติธรรม หรือ การเอาศักดิ์ศรีเป็นเดิมพันเพื่อเอาชนะฝั่งตรงข้าม ? ถ้านิยามความหมายของการต่อสู้ของคุณหมายถึงแบบนั้น ฉันก็คงต้องขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ”
ฉันเดินผ่านเธอไปแล้วหยุดอยู่ตรงแท่นควบคุม
“การต่อสู้คือการเอาชีวิตรอด ถ้าไม่ตายก็รอด ถ้าไม่รอดก็ตาย มีแค่สองตัวเลือก ไม่มีสามหรือสี่ ….มีแค่ฆ่าเขา ไม่ก็ถูกเขาฆ่า เมื่ออยู่ต่อหน้าความตายอันเท่าเทียม ศํกดิ์ศรีทุกอย่างล้วนไร้ค่า นั่นแหล่ะสิ่งที่เรียกว่าคือการต่อสู้ค่ะ ”
เช่นนั้นแล้ว ฉันก็ถามเธอย้ำอีกครั้ง
“เอาล่ะ ถ้ายังอยากซ้อมกับฉันอยู่ ก็ขอให้เตรียมใจเจอลูกเล่นสกปรกกว่านี้ไว้ได้เลย เพราะเมื่อเผชิญหน้ากัน ฉันคือศัตรู ฉันคือมอนสเตอร์ และ ฉันจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพื่อจัดการคุณโดยไม่มีการออมมือ”
เอวาสะดุ้งเล็กน้อย ขณะที่ฉันจิ้มไปที่คอของฉันเอง
“พร้อมจะเสียหัวอีกเป็นสิบๆครั้งไหมคะ คุณรุ่นพี่เอวา…ฉันไม่ออมมมือให้หรอกนะ”