เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 13 ความรู้สึก
“อึก !”
ความรู้สึกคลื่นไส้และปวดแน่นที่กลางอก ทำให้ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
เหงื่อไหลท่วม มือไม้สั่นเทา
รู้สึกเวียนหัวราวกับจะหมดสติไปอีกรอบ
“ตื่นแล้วหรอคะ คุณเอวา ?”
เมื่อฉันหันไปทางด้านข้างก็พบกับ รุ่นน้องของฉัน เอ็มเพรส มารีน
เธอคือ หญิงสาวผมฟ้าผู้มีใบหน้างดงามเละรูปร่างได้รูปราวกับนางแบบ น้ำเสียงของเธอไพเราะราวกับนักร้อง และ ท่าทางก็ดูเป็นกันเอง หากแต่แฝงด้วยความห่างเหินเย็นชาหน่อยๆ
ฉันรู้สึกว่าระหว่างพวกเรามีกำแพงบางๆขวางกั้นอยู่ แต่ก็ไม่คิดว่าเธอเป็นคนไม่ดีอะไร
กลับกัน เธอคือผู้มีพระคุณที่ช่วยพวกเราเอาไว้
และตอนนี้ ก็เป็นอีกครั้งที่ฉันมานอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลโดยมีเธอนั่งอยู่ข้างๆ
ฉันได้แต่มองตัวเองในชุดผู้ป่วยด้วยความงุนงงพลางสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์
“กรอด….”
“น้ำหน่อยไหมคะ ?”
ตรงโต๊ะข้างๆมีแก้วอยู่สองแก้ว แก้วหนึ่งมีน้ำเหลืออยู่ก้นแก้วซึ่งน่าจะเป็นของเธอ ส่วนอีกแก้วก็ว่างอยู่ เธอใช้คฑาเสกน้ำลงมาที่แก้วเปล่า ก่อนจะยื่นมาให้ฉัน
“ขอบคุณนะ”
ฉันเอ่ยเสียงสั่นพลางรับน้ำมาดื่มดับกระหาย
น้ำเย็นๆช่วยมอบความชุ่มชื้นให้ลำคอที่แห้งผากของฉันอีกครั้ง
“ดีขึ้นเยอะเลย ขอบใจมากนะ เอ็มเพรส มารีน”
“เรื่องเล็กน้อยค่ะ คนกันเองก็ต้องช่วยกันเป็นธรรมดา ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ”
เธอยิ้มให้ฉันด้วยรอยยิ้มเรียบๆที่แม้ภายนอกจะงดงาม แต่ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองรึเปล่าว่ามันดูสมบูรณ์แบบเกินไปราวกับไม่ใช่ของจริง
ตอนนี้เพราะยังมึนๆหัวอยู่ ฉันอาจคิดไปเองก็ได้ล่ะมั้ง
“แล้ว..ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ก็ถ้าให้เล่าย้อนกลับไป มันก็เป็นตอนที่คุณเอวากับฉันไล่หาออร์คตัวที่หลุดไปโลกแห่งความเป็นจริงค่ะ..จำได้ไหมคะ เรื่องที่เราไปล่าออร์คกับไวเวิร์นที่สวนพฤกชาติ”
“จำได้อยู่…พวกเราฆ่ามันหมดทุกตัว ตัวที่พยายามหนีก็โดนการเล่นละครตบตาของพวกเราจัดการ ส่วนอีกตัวที่จะหนีไปโลกแห่งความเป็นจริงก็—”
“อึก !”
พอนึกถึงจุดนี้ จู่ๆก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา ราวกับสมองของฉันพยายามจะห้ามไม่ให้ฉันนึกต่อ
“ถ้าตัวนั้นล่ะก็ ฉันจัดการให้แล้วค่ะ ไม่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้เลย โชคดีไปนะคะ”
“ทุกคนปลอดภัยงั้นหรอ ?”
“ค่ะ ! ทุกคนปลอดภัยดี”
เมื่อฉันมองไปที่เอ็มเพรส มารีน เธอก็ประดับยิ้มราวกับเครื่องจักรนั่นอีกครั้ง แม้จะพยายามจับสังเกตุแต่ฉันก็ไม่รู้สึกว่าเธอกำลังพูดโกหก
“อึก !”
แต่พอนึกภาพต่อจากนั้น อยู่ๆก็รู้สึกคลื่นไส้อีกแล้ว
‘อะ ! อุ ม่าย !!!!! @#$@#%#%#$^#$%’
‘แคะ ย๊า กรี๊ !!@#@$#@%#$&^$’
“อึก !”
เหมือนกำลังจะนึกออกแล้ว …อีกนิดเดียวแท้ๆ เหมือนจะได้ยินเสียงกรีดร้อง
เหลือแค่ภาพที่นึกไม่ออก แต่ความรู้สึกคลื่นไส้ก็ทำให้ฉันหน้ามืดเกือบจะล้มลง จนเอ็มเพรส มารีน รีบเข้ามาประคอง
ไม่ผิดแน่ๆ มันจะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น เอ็มเพรส มารีน โกหกฉันอยู่รึเปล่า ?
“ไหวไหมคะ นั่งพักก่อนเถอะ อย่าพยายามนึกเลย เพราะสมองของคุณเพิ่งได้รับการกระแทกมาสดๆร้อนๆเลยค่ะ”
ทว่า เธอกลับจ้องตาฉันใสแป๋ว
หาความรู้สึกเสแสร้งโกหกจากนัยน์ตาคู่นั้นไม่ได้เลย
“ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับฉันงั้นหรอ ?”
“พอดีว่าระหว่างค้นหา คุณเอวาเผลอเดินไปติดกับดักท่อนซุงที่จะทำงานตอนที่มีคนไปเหยียบเข้า…หลังจากเหยียบโดนแล้ว มันก็จะมีท่อนซุงขนาดใหญ่ตกใส่หัว”
“????”
“เพราะกำลังรีบร้อนอยู่ก็เลยไม่ทันสังเกตุแล้วโดนกระแทกหัวแตกจนสลบไป แต่ตอนนี้ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วค่ะ เพราะคุณเอวาอยู่ในมือของคุณหมอแล้ว….”
พอฉันจับหัวของตัวเองก็พบว่ามีผ้าพันแผลพันรอบหัวอยู่ นี่เธอพูดเรื่องจริงอย่างงั้นหรอ ?
ทำไม ?
ทำไมรู้สึกเหมือนกับลืมบางอย่างที่สำคัญมากๆไป
“คุณเอวา อย่าพยายามใช้หัวมากเลยค่ะ ตอนนี้พักผ่อนก่อนเถอะ ”
เอ็มเพรส มารีน ปรับเตียงของฉันลงนอน
“นี่…ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าลืมอะไรที่สำคัญไปเลยล่ะ”
“ลืมปิดเตาแก๊สที่บ้านหรอคะ ? หรือว่าลืมเขียนใบลาเรียน เพราะขาดเรียนไปทั้งวัน”
“อึก ! แย่ละ ข้ออ้างเข้าห้องน้ำใช่ไม่ได้แน่ๆ”
พอหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ข้างเตียงขึ้นมาดูก็พบว่ามีโทรศัพท์หลายสายที่กดรับไม่ทัน
แน่นอนว่า หนึ่งในนั้นมีเบอร์จากอาจารย์ที่ปรึกษาด้วย
ตายแล้วๆ จะหาข้ออ้างยังไงดีเนี่ย ?
พอเอ็มเพรส มารีน พูด ฉันก็พึ่งนึกขึ้นได้
“เห็นไหมละ จะมีอะไรสำคัญไปกว่าการเก็บหน่วยกิตชั่วโมงเรียนอีกละ แต่ในฐานะจอมเวทย์แล้ว ก็คงมีวิธีหลบเลี่ยงใช่ไหมคะ ?”
“อื้ม…..ถ้าขอความช่วยเหลือจากจิบิม่อน เห็นทางนั้นบอกจะช่วยใช้เวทมนต์แก้ไขบันทึกเวลาเรียนรวมถึงควบคุมจิตใจไม่ให้คนอื่นผิดสังเกตุได้”
“ควบคุมจิตใจ ? ฟังดูอันตรายเหมือนกันนะเนี่ย”
“เพราะงั้นเลยไม่อยากใช้บริการแบบนั้นเท่าไหร่..ถึงจะฟรีก็ตามเถอะ”
“งั้นหรอคะ ฮุๆ”
“กลับมาที่ข่าวด่วนข่าวร้อน รายงานสดจากสถานที่เกิดเหตุ”
ระหว่างที่เรากำลังคุยกันอยู่ บนจอทีวีก็ฉายภาพนักข่าวที่กำลังถ่ายทอดสดสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ ตอนที่กำลังรอฉันตื่น เอ็มเพรส มารีน คงดูทีวีอยู่ล่ะมั้ง
“เหตุการณ์แก๊สระเบิดที่สวนพฤกษชาติ—–”
ปี๊ป !
อยู่ๆทีวีก็ถูกปิดไป ทำให้ทั้งห้องตกสู่ความเงียบอีกครั้ง
จะว่าไป สวนพฤกษชาติงั้นหรอ รู้สึกว่า—-
“คุณเอวา !”
“อะ…อื้ม ?”
อยู่ๆเอ็มเพรส มารีนก็ตบบ่าของฉัน
“ถ้าหายดีแล้ว คุณหมอบอกว่าให้กลับบ้านได้เลย ส่วนกะโหลกก็ไม่ได้แตกอะไรไม่ต้องนัดติดตามก็ได้ ถ้าไม่ปวดหัวหรืออะไรก็ไม่ต้องมานะคะ”
“อะ..อื้ม”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยว ฉันขอตัวก่อนนะคะ วันนี้ทั้งวันที่เหลือ เดี๋ยวถ้ามอนสเตอร์โผล่มาฉันจัดการให้เอง”
เอ็มเพรส มารีน ลุกขึ้นยืนและโบกมือลาฉัน ฉันเลยพยักหน้าเบาๆและกล่าวขอบคุณเธอ ก่อนที่เธอจะเดินจากไปเงียบๆ
“……………………………….”
การลาอย่างกระทันหัน ทำเอาฉันรู้สึกสับสน
แต่ในเมื่อเธอไม่อยู่แล้ว ฉันก็รีบกดรีโมทเพื่อเปิดทีวีขึ้นมา
“ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ดับไฟจนสงบทั้งหมดแล้ว”
นักข่าวสาวกำลังรายงานการถ่ายทอดสดจากสวนพฤกษชาติแห่งหนึ่ง
ประตูรั้วที่ดูคุ้นตา ภาพแมกไม้ที่ดูคุ้นเคย
ความรู้สึกที่เริ่มจะหลั่งไหลออกมา ทำให้หัวใจของฉันรู้สึกหล่นวูบลงถึงตาตุ่ม
“ทางเราขอแสดงความเสียใจกับญาติครอบครัวของเด็กๆผู้เสียชีวิต”
ภาพของพวกเขาซ้อนทับกันอย่างน่าประหลาด
คุณแม่ที่อยู่ในปากของมังกร
แล้วก็เด็กๆ..เอ๋ ? เด็กๆพวกนั้นอย่างงั้นหรอ ?
‘อะ ! อุ ม่าย !!!!! @#$@#%#%#$^#$%’
‘แคะ ย๊า กรี๊ !!@#@$#@%#$&^$’
‘ไม่น๊า !! กรี๊ดดดดด อย่าเข้ามาน๊าาาาา’
กรุบๆ กร๊อบๆ
“อึก !”
ทั้งภาพและเสียงของเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นหวนกลับมาอีกครั้ง
นึกออกแล้ว !
ฉันนึกออกแล้ว !
โกหก ! เอ็มเพรส มารีน ! โกหกฉัน
“อ่อก !”
แต่ก่อนที่จะได้นึกเจ็บใจที่ถูกหลอก ภาพที่หวนกลับมาก็ทำให้ฉันคลื่นไส้ จนรีบอาเจียนใส่ถังขยะ
“แค่ก !!!”
อาหารเช้าเปรอะเปื้อนเต็มถุงขยะ
ภาพชิ้นเนื้อที่กระจัดกระจาย
ภาพของร่างเล็กๆที่กำลังดิ้นทุรนทุรายภายในปากของออร์ค
แล้วก็เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของพวกเขา
เหมือนเหลือเกิน..มันช่างเหมือนกับเหตุการณ์เมื่อตอนนั้น
ฉันพยายามบีบมือแน่น ทว่า มือที่เคยกุมมือฉันอย่างอ่อนโยน…มือที่เคยมอบความกล้าให้กับฉัน
คุณแม่…มือของคุณแม่ไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว
“อึก ! ขอโทษ….ฉัน…ฉันขอโทษ”
เด็กๆพวกนั้นกำลังกรีดร้อง
เด็กๆพวกนั้นกำลังทรมาน
เด็กๆพวกนั้นถูกกินไปต่อหน้าต่อตา โดยที่ฉันช่วยอะไรไว้ไม่ได้
ทั้งๆที่มีพลังแล้วแท้ๆ
ทั้งๆที่ฉันกลายเป็นจอมเวทย์เพื่อช่วยทุกคน
แต่ฉันก็ยัง…
แต่ฉันก็ยัง !!!
“ฮือออออออออออออ”
ความรู้สึกอันหนักอึ้งที่ถาโถมเข้าใส่ ทำให้ฉันไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป
ขอโทษๆๆ ถ้าฉันแข็งแกร่งกว่านี้…ถ้าฉันแข็งแกร่งกว่านี้ล่ะก็
ขอโทษที่ปกป้องเอาไว้ไม่ได้
ขอโทษค่ะ……
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“ฮืออออออออออออ”
หลังจากที่ฉันเดินออกมาจากห้องผู้ป่วยก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญตามหลังมา
ว่าแล้วเชียว ถึงเธอจะสลบไปเพราะภาพที่เห็นมันน่าตกตะลึงจนช็อร์ค แต่ไม่นานเธอก็กลับมาจำได้อยู่ดี
เอาเข้าจริงๆแล้ว ฉันก็โกหกไม่เนียนเลยอ่ะ
แต่ก็เอาเถอะ ฉันเป็นคนโกหกใครไม่เก่งอยู่แล้วนิเนอะ
“ว่าแต่—-”
ฉันมองไปยังแตงโมลอยได้ที่อยู่ข้างๆประตูห้องผู้ป่วย
“ยังไม่ตายอีกหรอ ?”
“เสียมารยาทจริงม่อน ! ตายแล้วแต่คืนชีพกลับมายังไงละม่อน !”
“ว้าว !”
“มาสคอตนะตายได้ แต่ไม่มีวันฆ่าได้สำเร็จม่อน พวกเราคือสิ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะ !”
“น่าจะจับไปสู้กับมอนสเตอร์แทน”
“ถ้าคาดหวังให้แตงโมลอยได้ไปสู้กับมอนสเตอร์ มาริคิดผิดแล้วล่ะม่อน”
“ก็คงงั้น ว่าแต่—”
“???”
“มีรสนิยม ชอบแอบฟังเสียงสาวน้อยร้องไห้งั้นหรอ”
“เปล่าหรอกม่อน….แค่มาขอบคุณเรื่องที่มารายงานความผิดปกติของมอนสเตอร์ในช่วงนี้ให้ต่างหากม่อน”
ฉันได้รายงานให้จิบิม่อนรู้ถึงพฤติกรรมของออร์คในวันนี้ที่พยายามหนีพวกเรา ทั้งๆที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกมันจะสู้กับเราตรงๆ
“หลังๆมานี้ พวกมันฉลาดขึ้น พวกเราคาดว่าน่าจะมีเผ่าปีศาจซักคนคอยฝึกสอนอบรมพวกมันอยู่ม่อน”
“……………………”
“ช่วงนี้ระดับความยากของมอนสเตอร์ก็เพิ่มมากขึ้น พวกตัวที่อ่อนแอก็ฉลาดรู้จักวางแผนมากขึ้น อัตราการปรากฎตัวก็ถี่ขึ้น ช่วงนี้จิบิม่อนเลยต้องเร่งหาจอมเวทย์มาเพิ่ม ทำให้อาจจะไม่ว่างติดต่อมาหาเหมือนทุกครั้งนะม่อน”
“ที่มานี่ ก็เพื่อจะมาบอกแค่นี้งั้นหรอ ?”
“แล้วก็มาแสดงความยินดีที่ได้เป็นจอมเวทย์ครบ 10 วันแล้วน่ะม่อน สำหรับมือใหม่แล้วเก่งมากเลยม่อน ขอชื่นชมจากใจเลยม่อน—”
“…………………..”
“แล้วก็นะ..มาริ”
“???”
“ยังโอเคอยู่รึเปล่าม่อน ?”
อยู่ๆจิบิม่อนก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทำเอาฉันต้องรีบเขยิบห่างด้วยความขยะแขยง
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ไม่ได้ประสงค์ร้ายซักหน่อยม่อน”
“ถึงอย่างงั้นแค่เห็นหน้าก็รู้สึกอยากผ่าเป็นสองซีกอยู่ดีค่ะ”
“ถ้าปากเสียได้แบบนี้ ทางนี้ก็คงกังวลไปเอง น่าจะโล่งใจได้เปราะหนึ่งม่อน”
“ ??? ”
“เพราะส่วนใหญ่เวลาทำภารกิจพลาด จอมเวทย์หลายๆคนก็มักจะซึมหรือมีปัญหาทางจิตเป็นบางราย ในฐานะมาสคอตแล้วการซัพพอร์ตด้านจิตใจคือบริการหลังการขายไงม่อน”
“อื้มๆๆ เป็นบริษัทที่บริการดีนิ”
ฉันพูดชมผ่านๆ พลางหยิบชาไข่มุกที่แวะไปซื้อระหว่างที่เอวานอนสลบขึ้นมาจิบซักหน่อย
ฮ่า ! รสชาติหวานๆที่คลุกเคล้ากับไข่มุกนุ่มๆ การเป็นจอมเวทย์นี่ดีจริงๆ เพราะมันทำให้ฉันสามารถกินเจ้านี่ได้เรื่อยๆโดยไม่ต้องกลัวโรคเบาหวาน
“ว่าแต่ มาริ โอเคจริงๆหรอม่อน ?”
“หมายถึง ?”
“ไม่มีคนปกติที่ไหนเจอเรื่องแบบนี้เข้าไป แล้ว ยังทำตัวสบายๆได้หรอกม่อน”
“อ่อ..อืม…นี่ฉันแปลกหรอเนี่ย ?”
“ใช่แล้วม่อน”
ฉันมองชาไข่มุกในมือ ก่อนจะมองไปยังจิบิม่อน แล้วดูดไข่มุกโชว์
“ไม่แบ่งหรอกค่ะ”
“ยิ่งกล้าล้อเล่นแบบนี้ มันยิ่งขนลุกใหญ่เลยม่อน ให้ตายสิ รับมือยากจริงๆเลยม่อน มาริเนี่ย”
“น่าๆๆ คุณมาสคอตอย่าทำตัวเป็นคนดีนักเลย มันน่าขยะแขยงค่ะ”
“……………………….”
“สำหรับคนที่ให้เด็กๆอายุต่ำกว่า 18 จับคฑาไล่ฆ่ามอนสเตอร์แล้ว มาแสร้งทำตัวป็นคนดีก็ไม่ได้คะแนนความประพฤติขึ้นหรอกค่ะ”
“……………………..”
“พวกคุณก็แค่กลัวเสียบุคลากรไปก็เท่านั้นเอง ฉันไม่โดนหลอกแบบเด็กๆพวกนั้นหรอก เพราะงั้นเข้าเรื่องเลยเถอะ”
กึก !
พอได้ยินดังนั้น จิบิม่อนก็กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเสกกระดาษแบบสอบถามแผ่นหนึ่งขึ้นมากลางอากาศ
เขาเริ่มไล่อ่านสิ่งที่เขียนอยู่ในนั้นให้ฉันฟัง
“ถ้างั้นขอเขาเรื่องเลยม่อน เวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ทางเบื้องบนได้บังคับให้ทางนี้ต้องลงมาตรวจสอบสุขภาพจิตของจอมเวทย์”
“แบบสอบถามอย่างงั้นหรอ ? ขอดูหน้าตาหน่อยได้รึเปล่า”
“ความลับทางราชการม่อน”
“คงไม่ใช่ว่า ถ้าคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์จะมีวิธีรับมือเช่นเอาเวทย์ควบคุมจิตใจไม่ก็ใช้เวทย์ล้างสมองอะไรทำนองนั้นหรอกนะ”
“……………………..”
ฉันมองตาจิบิม่อนตรงๆ
พวกเราจ้องตากันและกัน ก่อนที่จิบิม่อนจะหลบตา
“ก็ไม่เชิงว่าผิดซักทีเดียวม่อน”
“พูดง่ายๆก็คือไม่ปฏิเสธ”
ซู๊ดดดด
ฉันจิบชาเย็นๆหวานๆชุ่มปาก ก่อนเอ่ยถาม
“งั้นเริ่มที่ข้อแรกเลยก็ได้ค่ะ”
“ขออนุญาตินะม่อน—”
จิบิม่อนก็พยักหน้าอย่างว่าง่ายและถามคำถามฉันตามโพยที่เขาเตรียมเอาไว้
“เหตุการณ์ในครั้งนี้ รู้สึกว่าเป็นความผิดของตัวเองรึเปล่าม่อน ?”
“ไม่ค่ะ—”
“ขอเหตุผลม่อน—-”
“ก็ฉันไม่ได้เป็นคนฆ่าซักหน่อย ทำไมฉันต้องรู้สึกผิด”
“เคยมีความคิดอยากฆ่าตัวตายหลังเหตุการณ์นี้ไหมม่อน”
“ไม่มีค่ะ”
“แล้ว รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไหมม่อน”
“ไม่รู้ค่ะ ไม่ได้ใส่ใจ”
“ทำไมละม่อน ?”
“…………………..”
“ทำไมถึงไม่เสียใจเลยละม่อน เด็กๆตายไปทั้งคนเลยนะม่อน”
“…………….”
“ตายไปต่อหน้าต่อตาเลยนะ โดนเคี้ยวกรุบๆเลย ไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆหรอม่อน”
“ขออนุญาติไม่ตอบคำถามนี้ค่ะ”
“เข้าใจแล้วม่อน งั้นคำถามต่อไป เคยคิดไหมถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”
“ไม่เคยคิดค่ะ”
“ทำไมละม่อน ?”
“ฉันไม่ใช่โดราเอม่อx ไม่มีไทม์แมชชีน นั่งคิดเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”
“งั้นข้อต่อไป คุณคิดว่าคุณพยายามช่วยเต็มที่แล้วรึยัง ?”
“ไม่ค่ะ…ฉันพยายามได้มากกว่านี้”
“ถ้างั้นข้อที่แล้วทำไมถึงตอบว่า ไม่ละ ไม่อยากย้อนกลับไปพยายามให้เต็มที่หน่อยหรอม่อน”
“……………………….”
“ถ้าย้อนกลับไปได้ อยากพยายามให้เต็มที่มากกว่านี้ไหมม่อน ?”
“…………………….”
“ว่าไงม่อน ?”
“…………………….”
“……………………”
“…………………..”
“เข้าใจแล้ว คำถามต่อไปเลยก็ได้ มาริมีความคิดอยากจะลาออกจากการเป็นจอมเวทย์ไหมม่อน”
“ไม่ค่ะ—-”
“ทำไมละม่อน อะไรที่เหนี่ยวรั้งให้อยากเป็นจอมเวทย์ต่อ ?”
“เงินค่ะ—”
“แล้ว ?”
“แค่เงินก็เพียงพอแล้วค่ะ ”
“มีความคิดที่อยากจะปกป้อง ช่วยเหลือผู้คนบ้างไหมม่อน”
“ไม่มีค่ะ ”
“ทำไมละ ? ไม่อยากช่วยปกป้องมนุษยชาติบ้างเลยหรอ ? ทำไมละม่อน ?”
“น่ารำคาญจัง แต่ละคำถาม ฉันเริ่มสงสัยจุดประสงค์แล้วว่าใช้แค่ตรวจสอบสุขภาพจิตแน่หรอ แต่ฉันขอบอกไว้เลยว่า ฉันไม่มีอุดมการณ์สวยหรูที่จะปกป้องมนุษยชาติค่ะ เพราะต่อให้ฉันไม่ทำก็มีคนอื่นที่ทำแทนอยู่ดีและอีกอย่าง คนที่ฉันอยากจะปกป้องก็ไม่มีเหลืออีกแล้ว ไม่มีแม้แต่คนเดียว ฉันทำเพื่อเงินล้วนๆ คำตอบเพียงเท่านี้กระจ่างไหมคะ ?”
“รับทราบ กระจ่างแล้วม่อน…เอาล่ะ ถ้างั้นมาที่คำถามสุดท้ายนะม่อน”
“………………………..”
“ถ้าสมมุติขอพรได้หนึ่งอย่าง มาริ อยากขอพรว่าอะไรงั้นหรอ”
“………………………..”
“ว่าไงม่อน จะอะไรก็ได้ จะเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้ หรือไม่เกี่ยวก็ได้ สมมุติว่ามาริสามารถขอพรได้หมดทุกอย่างข้อหนึ่งเลยม่อน”
“………………………..”
“???”
“งั้นขอเป็นให้ฉันกลายเป็นมหาเศรษฐีที่วันๆกลิ้งๆนอนๆไม่ต้องทำงานก็มีกินมีใช้”
“อย่าโกหกสิมอน คิดว่าจิบิม่อนทำงานกับจอมเวทย์มานานแค่ไหน ”
ดวงตากลมโตส่องประกายลุกวาวและจับจ้องมาที่ฉันไม่วางตา
เสียงของเขาดูทุ้มต่ำมากขึ้นเล็กน้อย
“………………………..”
“ตอบมาตามตรงม่อน หลังได้ยินคำถาม สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคืออะไร ?”
“…………………….”
“ว่าไงม่อน ?”
สิ่งที่ฉันปราถนา สิ่งฉันอยากขอพรอย่างงั้นหรอ
“เฮ้อ…….ขอ…ไม่…ตอบ…ค่ะ”
“ทำไมละม่อน การบอกความปราถนาของตัวเองมันอยากขนาดนั้นเลยงั้นหรอ”
“………………..”
“กำลังกลัวอยู่หรอม่อน ทำไมถึงไม่พูดมันออกมา หรือว่า การพูดสิ่งที่ตนเองปราถนามันจะมีข้อเสียอะไรอย่างงั้นหรอม่อน ?”
ไอ้เจ้าแตงโมนี่…น่ารำคาญจังค่ะ
ชาไข่มุกเสียรสชาติหมดเลย
“ฉันจบการสัมภาษณ์ได้รึยัง ?”
“รับทราบแล้วม่อน ขอโทษที่ทำให้รู้สึกไม่ดี แต่ว่านะ—”
อยู่ๆ จิบิม่อนก็ขยับเข้ามาใกล้และมองมาที่ฉันด้วยสายตาจริงจัง
“การหลงลืมความผิดพลาดหรือบทเรียนที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องดีเลยนะม่อน มนุษย์เราจะเติบโตขึ้นได้จากการก้าวข้ามความผิดพลาด เพราะงั้นแล้ว มาริ — เธอไม่ควรใช้เจ้านั่นเลยจริงๆนะม่อน”
ยุ่งไม่เข้าเรื่อง
นี่กล้าแอบดูประวัติการสั่งซื้อสินค้าของฉันเลยงั้นหรอ ?
น่ารำคาญชะมัดยาด
ฉันเลยตัดบทด้วยความหงุดหงิด เพราะไม่อยากสนทนากับมันมากไปกว่านี้
“แต่คนบางคน ก็ล้มแล้วล้มเลย ถ้าไม่มีใครฉุดขึ้นมาก็จะล้มอยู่ตรงนั้นแล้วก้าวไปไหนไม่ได้ค่ะ”
“…………………………….”
“คนบางคนก็ผิดไม่รู้จักจำ คนบางคนก็โง่เขลาเกินกว่าจะแก้ไขข้อผิดพลาดที่ทำผิดซ้ำๆ คนที่พูดว่าให้เรียนรู้จากความผิดพลาดก็มีแต่คนที่ก้าวข้ามผ่านมันไปได้…ไม่เคยมีคนที่ล้มแล้วลุกไม่ขึ้นซักคนพูดว่า เรามาเรียนรู้จากความผิดพลาดกันเถอะซักหน่อย”
“…………………………”
“บางครั้ง ความผิดพลาดคือสิ่งที่ต้องกลบให้มิด เพราะโลกใบนี้ไม่ได้มอบโอกาสให้คนเราผิดพลาดมากกว่าหนึ่ง….ใช่ มันคงเป็นคำพูดที่ดูขี้ขลาด….แต่ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เข้มแข็งพอจะก้าวข้ามผ่านความล้มเหลวทุกอย่างไปได้หรอกค่ะ”
“……………………”
“ต่อให้ลากจูงให้ตาย คุณก็ไม่สามารถจูงคนที่จมกับความล้มเหลวขึ้นมาได้หรอกนะคะ”
“การเดินไปข้างหน้า โดยแลกกับการหลงลืมสิ่งที่สำคัญไป มาริคิดว่ามันดีจริงๆหรอม่อน”
“ไม่มีใครรอให้เราลุกขึ้นมาหรอกค่ะ….”
“………………..”
“ไม่พรุ่งนี้ ก็เย็นนี้ หรือ บางทีอาจจะเป็นนาทีนี้ก็ได้ มอนสเตอร์…ไม่สิ…โลกใบนี้ไม่รอให้เราลุกขึ้นมาหรอกค่ะ ไม่ใช่ทุกคนที่ล้มแล้วมีสิ่งที่เรียกว่า โอกาส เผลอๆ ล้มเมื่อไหร่ก็พร้อมเหยียบซ้ำเมื่อนั้นนั่นแหล่ะ เอาเป็นว่า เราเลิกพูดวลี สวยหรู หรือ สัจจะธรรมไร้สาระนี่กันเถอะ เพราะสุดท้ายพรุ่งนี้ฉันก็ยังต้องตื่นมานั่งล่ามอนสเตอร์ ในขณะที่คนธรรมดามีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายต่อไปโดยไม่รู้อะไรอยู่ดี”
พอพูดจบ หนังตาก็เริ่มจะปิด จนฉันอดไม่ได้ที่จะบิดขี้เกียจ
“ฮ้าวววว ฉันง่วงนอนแล้ว ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ขอกลับเลยได้ไหมคะ”
“ได้เลยม่อน กลับบ้านดีๆละม่อน”
ฉันหันหลังให้และโบกมือลาจิบิม่อน
ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีมอนสเตอร์บุกมาอีกรึเปล่า ในเมืองๆนี้ก็เหลือฉันแค่คนเดียวที่พอจะสู้ไหวด้วยสิ
เพราะงั้นรีบกลับไปพักดีกว่า
“มาริ—”
แต่แล้วอยู่ๆจิบิม่อนก็เรียกฉัน
“มนุษย์ทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องตาย อยู่ที่ว่าจะตายวันตายพรุ่ง บางคนก็ตายเพราะอุบัติเหตุ บางคนก็ป่วยตาย ไม่มีใครหนีความตายได้ทั้งนั้น”
“……………………..”
“การถูกมอนสเตอร์ฆ่าก็คืออุบัติเหตุอย่างหนึ่งม่อน ความตายของพวกเขาไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้นม่อน”
เพราะงั้นแล้ว—-
“นี่ไม่ใช่ความผิดของพวกเธอเลยม่อน ที่ผิดน่ะมันมอนสเตอร์ต่างหากม่อน ”
จิบิม่อนพูดทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น ก่อนจะเดินเข้าไปหาเอวาในห้อง
ฉันทำได้เพียงพูดพึมพำไม่ให้เขาได้ยินด้วยความรู้สึกขมุกขมัวที่เกาะอยู่ข้างใน
“เรื่องแค่นั้น…ฉันรู้อยู่แล้วค่ะ แต่ว่า—”
ณ โถงทางเดินที่เงียบสงบและทอดยาวออกไปไกลแสนไกล หากแต่ว่างเปล่าปราศจากซึ่งผู้คน
ฉันยืนพิงกำแพงและจิบชาไข่มุกอีกอึกนึง ก่อนที่จะเรียกกระจกเคลื่อนย้ายแล้วเดินทางกลับบ้านค่ะ