เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 12 ออร์คที่หายไป
หลังจากที่ข้าตกลงมาจากหลังของคู่หู ข้าก็น่าจะสลบไปนานจนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกที สหายของข้าทุกคนก็ถูกอสูรกายเหล่านั้นสั่งหารไปจนหมด
ในฐานะนักรบ มันช่างเป็นความอับอายยิ่งนัก ในขณะที่พวกพ้องทั้ง 6 คนสู้จนตัวตาย ทว่า กลับมีเพียงข้าที่หนีเอาตัวรอดมาแค่คนเดียว
แต่ถึงอย่างงั้น พวกเราต่างก็ป็นนักรบที่ได้รับมอบหมายภารกิจอันสำคัญมา
ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องทำมันให้สำเร็จ
เช่นนั้น เพื่อไม่ให้พวกพ้องต้องตายเปล่า แม้จะน่าอดสู แต่ข้าก็วิ่งหนีอสูรการสองตนนั้นสุดชีวิตแล้วไปซ่อนอยู่บนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่บดบังร่างกายของข้าได้พอดี
เมื่อข้ามองลงมาก็พบเหล่าอสูรกายผู้ใช้คฑาเพศหญิงกำลังเดินเพ่นพานเพื่อตามล่าตัวข้าอยู่
ทุกครั้งที่พวกนางเดินเข้ามาใกล้ หัวใจของข้าจะเต้นโครมครามด้วยความหวาดกลัว
มีบางครั้งที่ลังเลว่าจะกระโดดลงไปหักคอพวกนางเลยดีรึเปล่า แต่สัญชาติญาณของข้าก็บอกให้รู้ว่า นังอสูรกายผมฟ้านั่นไม่ธรรมดา
ข้าจึงอดทนแล้วก็เฝ้ารอจนกระทั่งเวลานั้นมาถึง
อย่างช้าๆ….เวลาค่อยๆไหลผ่านไป ในขณะที่พวกอสูรกายสองตนนั้นกำลังตามหาข้าด้วยความร้อนรน
แม้จะเมื่อยมือแต่ก็ต้องเกาะกิ่งไม้เอาไว้แน่นๆ ลมหายใจก็พยายามหายใจให้เบาที่สุด แม้จะใจเต้นรัวๆจนสงบใจไม่ได้ก็ตาม
โชคดีที่พวกนางมัวแต่มองพื้น พวกนางเลยไม่ทันสังเกตุเห็นข้า
ซู่ๆๆๆๆๆๆ
หลังจากที่ครบกำหนดเวลาตามที่นายท่านบอกมา ร่างของข้าก็มีสีที่จางลงเรื่อยๆจนสลายไป เกิดแสงวูบวาบบดบังการมองเห็นขึ้นมากระทันหันจนข้าต้องขยี้ตา
“—– !!!”
และเมื่อข้าลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้ง ข้าก็พบว่าตัวข้านั้นได้มาปรากฎตัวยังโลกแห่งความเป็นจริงเรียบร้อย
เมื่อมองลงมาข้างล่างจากบนต้นไม้ ข้าก็พบอาหารจำนวนมากที่กำลังส่งเสียงเจื้อยแจ้วร่าเริง
“นี่ๆ คุณแม่ ดอกไม้นี้ชื่ออะไรนะ ?”
มารดาและลูกสาวกำลังเฝ้าดูสวนดอกไม้บานสะพรั่ง
“เอาละ นักเรียนทุกคน ! อย่าแตกแถวกันนะ ตามครูมา”
มีแม่พันธุ์ตัวหนึ่งเดินนำอาหารขนาดเล็กๆพอดีคำไปตามทางเดิน
ท่ามกลางผืนป่าเขียวขจีที่ประดับด้วยแมกไม้นานานพันธุ์ เสียงพูดคุยของพวกอาหารดังคลอเสียงนกกา
กลิ่งอันหอมหวานของอาหารจำนวนมากทำเอา ข้ากลั้นน้ำลายเอาไว้ไม่อยู่
คำสั่งที่ข้าได้รับมา คือ การก่อความวุ่นวาย
จนเข่นฆ่าและกลืนกินพวกมนุษย์ให้มากที่สุด
แม้ข้าจะไม่ฉลาดมากนัก แต่ข้าก็รู้ดีว่าอีกไม่นานนักพวกอสูรกายนั่นจะมาตามล่าข้าถึงทีนี่ เพราะงั้นข้าต้องหนีไปก่อน
ด้วยร่างกายอันใหญ่โตของข้า เป็นไปได้ยากที่ข้าจะหลบซ่อนไม่ให้พวกมันหาเจอ
แซ่กๆๆๆ
“โฮก !?”
แย่แล้ว ! กิ่งไม้ที่ข้าเกาะอยู่ มันดันรับน้ำหนักไม่ไหว
ก้านที่ปริร้าวเริ่มส่ายไหว จนใบไม่ร่วงโรยลงมา
ในจังวะที่ข้ากำลังจะออกแรงส่งเพื่อโหนตัวไปยังต้นไม้ต้นถัดไป กิ่งไม่ก็หักดังเปราะ ร่างของข้าก็ร่วงลงสู่พื้นดิน
โครมมมมม
เสียงกระแทกพื้นดังสนั่น ใบไม้บนพื้นปลิวว่อนหลังจากที่ข้าตกลงมา
แน่นอนว่า เมื่อข้าทำให้เกิดเสียงดังเช่นนี้ พวกอาหารก็คงรู้สึกตัวกันแน่
เมื่อกวาดสายตาดูโดยรอบ ข้าก็พบว่าพวกอาหารมองมาที่ข้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ก่อนที่พวกมันจะหนี ข้าต้องฆ่าปิดปากพวกมันทุกๆคน อย่าให้พวกมันได้ทันกรีดร้องออกมาแม้ซักแอะ
กร๊อบ !
ข้ากำกำปั้นและเตรียมจะพุ่งเข้าไปหักคอพวกมันทุกๆคน
แต่ทว่า—-
“มีมาสคอตด้วยละ ?”
“คุณครูคะ มีมาสคอตตัวใหญ่ๆโผล่มาด้วย”
“หน้าตาเหมือนออร์คเลย”
“อะ เอ๋ ? ที่นี่มีมาสคอตด้วยหรอ ครูไม่เห็นรู้เรื่องเลยนะ”
กลับกันแทนที่จะวิ่งหนี พวกอาหารตัวจิ๋วก็วิ่งมาหาข้าและใช้นิ้วเล็กๆจิ้มลงมาที่พุงของข้า
“หวาา เหมือนเนื้อจริงๆเลย”
“เป็นมาสคอตที่เหมือนจริงมาก”
“ขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ คุณมาสคอต”
แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพวกอาหารตัวจิ๋วนี่ถึงไม่กลัวข้า แต่ข้าก็พยักหน้าเออออไป เพราะคิดว่าตามน้ำไปก่อนน่าจะดีกว่า
แชะ !
พวกมันใช้อุปกรณ์สี่เหลี่ยมหน้าตาแปลกๆปล่อยลำแสงออกมาจากกระจก
แสงที่แยงตาทำให้ข้าต้องหรี่ตา
แต่หลังจากที่ลำแสงเล็กๆนั่นกระพริบสองสามทีเสร็จ พวกอาหารตัวน้อยก็เดินออกไป และอาหารอีกกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาทำแบบเดียวกัน
แชะ !
หยิบอุปกรณ์สี่เหลี่ยมขึ้นมาส่องแสงใส่หน้าข้าและพวกมันเอง เสร็จแล้วก็เดินถอยออกไป
พวกมันทำซ้ำเรื่อยๆสลับกันไปมา
“นักเรียนต่อแถวกันดีๆนะจ๊ะ ต้องขอโทษคุณที่ใส่ชุดมาสคอตอยู่ด้วยนะคะ”
ท่ามกลาง อาหารตัวเล็กๆน่าทาน มันก็มีแม่พันธุ์ตัวหนึ่งที่ต้องตาต้องใจเหลือล้น
ตอนที่นางเดินเข้ามาใกล้และวางมือลงบนแขนของข้า กลิ่นหอมๆที่สัมผัสได้ก็ทำเอาข้ารู้สึกอยู่ไม่สุข
อ่า….. ข้าเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว
แถมทุกครั้งที่พวกอาหารตัวเล็กนั่นเดินเข้ามาใกล้ กินหอมของพวกมันก็ทำเอาท้องข้าร้องจ๊อกๆ
เนื้อนุ่มๆ กลิ่นหอมๆ อยากกินๆๆๆๆ ข้าอยากกินมันทุกตัวๆ
“ตาพวกเราแล้ว !”
“ไม่ใช่ตาพวกเราต่างหาก !”
“เด็กๆทุกคนใจเย็นก่อน อย่าแซงคิวกันสิ”
แถมมนุษย์เพศหญิงตัวนี้ ข้าก็อยากจะสนุกกับร่างของมันซ่ะเหลือเกิน
ผิวหนังเนียลขาว หน้าอกโตๆ ใบหน้าจิ้มลิ่มที่สวมกระจกกลมๆไว้บนหน้า
ผมสีดำที่น่าฉีกทึ้ง เสื้อผ้าที่น่าฉีกกระชาก ร่างอันอ่อนช้อยบอบบางที่น่ากระทุ้งขึ้นลงจนร้องครวญครางด้วยเสียงอันไพเราะ
อ่า…..ข้าอยากได้มัน แม่พันธุ์ของข้าๆ ตูดเล็กๆนั่นต้องเป็นของข้า
“อ๊ะ ! อย่าดันสิ”
ในขณะที่กำลังจ้องร่างกายของมนุษย์เพศหญิงคนนั้นตาเป็นมัน ทันใดนั้นเองอาหารตัวหนึ่งก็แนบเนื้อเข้ากับผิวหนังของข้า
ความนุ่มนิ่มที่สัมผัสได้ ซ้ำยังกลิ่นหอมหวานราวกับน้ำผึ้ง
ข้าทนไม่ไหวแล้ว
ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
ช่างแผนการแมร่งละ ข้าขอทำตามใจดีกว่า
“อ๊ะ !?”
ท่ามกลางสีหน้าตกใจของพวกอาหารและแม่พันธุ์ ข้าก็ยกอาหารที่แนบชิดร่างกายของข้าขึ้นมา
“คุณออร์คคะ ?”
ในตอนที่มันมองข้าด้วยตาใสแป๋ว ข้าก็อ้าปากกว้างๆและงับเข้าไปที่หัวของมัน
ง่ำ !
“““—— !!!”””
กรุบๆ กรอบๆ
รสชาติเนื้อที่แทบจะละลายในปาก เพียงกัดไปคำเดียวน้ำซุปรสหวานก็ไหลทะลักออกมาไม่หยุด ข้ารีดร่างของมันตั้งแต่หัวจรดเท้าเพื่อไล่น้ำซุปที่เหลือภายในร่างให้ไหลออกมาผ่านลำคอที่ถูกกัดจนขาด
หลังจากที่รีดจนพอใจ ข้าก็ฉีกเนื้อของมันออกเป็นส่วนๆและแทะต่อจนเหลือแต่กระดูก
“กะ กะ กรี๊ดดดดดดดด”
“ตะ ตะ ตายแล้ว ซัตจังตายแล้ว !?”
“ปีศาจ ! ช่วยด้วยปีศาจจจจจจ”
อ่า…อาหารที่ข้ากำลังกินอยู่ชื่อซัตจังงั้นหรอ
ช่างอร่อยยิ่งนัก
เนื้อมนุษย์ช่างอร่อยๆ ง่ำๆๆ
“อะ อะ อย่าเข้ามานะ เด็กๆหนีไป !!!”
แม่พันธุ์อ้าแขนปกป้องอาหารตัวเล็กๆอย่างกล้าหาญ ข้าถูกใจนาง ข้าจะผสมพันธุ์กับนาง
ข้าเลยยื่นมือออกไปคว้าขาของนางเอาไว้ แล้วก็
แควก !
“กรี๊ดดดด ไม่ๆๆ ไม่นะ ! ขะ ขะ ขา ! ขาของชั้นนนน”
“คุณครู !!!”
“ว๊ายยยย ไม่เอานะ หนูกลัวแล้ว”
“ใครก็ได้ช่วยด้วย !!!”
ท่ามกลางเสียงร้องที่แสนไพเราะของเหล่าอาหารที่แสนเลิศรส ข้าก็ไล่ล่าพวกมันที่กำลังวิ่งหนีข้ารายตัว
ง่ำ !
ตัวหนึ่งรสชาติเค็มปนคาว เนื้อมันไม่ถูกปาก ขาเลยแทะแค่หัวแล้วขว้างทิ้ง
กรุบๆๆๆๆ
ส่วนอีกตัวเนื้อบาง ข้าไม่ชอบเหมือนกัน
“กรี๊ดดดดดด—[กร๊อบ !]”
เจ้าตัวนี้ร้องเสียงดังน่ารำคาญ แต่เนื้อติดมันก็ไม่เลว พอใช้ได้อยู่
ง่ำๆๆๆๆๆๆ
แต่อีกตัวลำไส้อร่อยแหะ ข้าจิกเล็บลงไปบนท้องของมัน และควักลำไส้สดๆออกมากิน รสชาติอันชุ่มฉ่ำทำเอาข้ากลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
“กรี๊ดดดดด ฮืออออ ช่วยหนูด้วย ค่อก ! แหวะ !!!”
“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้นะ ! ”
เมื่อมองลงไปข้างล่างก็พบอาหารตัวเล็กตัวหนึ่งพยายามเตะขาข้าอยู่
มันมองสหายของมันที่กำลังเบิกตากว้าง ชักกระตุก และกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานจากลำไส้ที่ถูกดึงออกมาจากร่างด้วยความสิ้นหวัง
ไม่ต้องรีบร้อน เพราะเจ้าก็น่าอร่อยเหมือนกัน ว่าแล้วก็ยื่นมือขวาไปคว้ามันขึ้นมา
“อะ อึก !! ไม่ๆๆๆ ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ !!!”
คงเหงาล่ะสิ
เช่นนั้นข้าก็จับมันสองคนโยนเข้าปากพร้อมๆกัน
“อะ ! อุ ม่าย !!!!! @#$@#%#%#$^#$%”
“แคะ ย๊า กรี๊ !!@#@$#@%#$&^$”
เสียงร้องไม่เป็นภาษาดังขึ้นจากในลำคอของข้า ร่างเล็กๆพยายามดิ้นพล่านคาปากของข้า แต่เพียงกัดฉับไปทีเดียว มันก็ไม่มีอะไรดิ้นในปากของข้าอีกต่อไป
ข้าเคี้ยวกรุบๆอย่างอร่อย ก่อนจะคายกระดูกของมันออกมา
เอาล่ะ ข้ายังกินได้อีก แต่ตอนนี้ข้าอย่างสนุกกับแม่พันธุ์
“ฮืออออ….นี่ไม่ใช่ความจริงๆ นี่ไม่ใช่ความจริง”
แควก !
ข้าฉีกกระชากเสื้อผ้าของมันและกดร่างเล็กๆลงกับพื้น
“ไม่น๊า !! กรี๊ดดดดด อย่าเข้ามาน๊าาาาา”
แท่งยาวๆที่ตั้งตระหง่านค่อยๆยื่นเข้าไปใกล้แม่พันธุ์อย่างช้าๆ
เพียงแค่จินตนาการถึงความเปรมปรีด์ยามได้สมสู่กับนาง ข้าก็แทบจะยิ้มจนตัวลอย
“อควาคัตเตอร์ !”
แต่แล้วทันใดนั้นเอง เสียงตะโกนอันไพเราะก็ดังขึ้น
ข้ารีบหันไปข้างหลังด้วยความหวาดกลัว
เสียงนี่…..ไม่ผิดแน่ๆ
มันจะต้องเป็นของ —
แควก !!!
“โฮก !?”
ภาพของข้าพลันดับวูบลงอย่างช้าๆ
สิ่งสุดท้ายที่ข้าเห็นก่อนความมืดจะกลืนกินทุกอย่างคือใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวผมฟ้าที่จ้องมองข้าด้วยดวงตาเย็นชา ในขณะที่ข้างกายของนางก็ปรากฎร่างของหญิงสาวผมทองที่นั่งทรุดเข่ากุมศีรษะด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด
ไม่เอาน่า…ข้ายังไม่อยากตาย
ข้าอยากกินมากกว่านี้ ข้าอยากสมสู่มากกว่านี้
ข้าอยากกินมนุษย์อีก ! ไม่เอานะ !!!
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ในวันนั้น ฉันและคุณแม่สัญญากันไว้ว่าจะช่วยซื้อของขวัญวันเกิดเซอร์ไพรซ์คุณพ่อ
พวกเราก็ไปเดินเลือกในห้างสรรพสินค้าร้านเช่นเดิมเหมือนกับทุกที
“โฮะๆๆ จะซื้ออะไรให้ปะป๊าดีนะ”
“คุณแม่เลือกๆไปเถอะ ยังไงคุณแม่ให้อะไรคุณพ่อก็ดีใจหมดนั่นแหล่ะ”
“แหมๆ ไม่ได้นะเอวาจัง ไว้ซักวันลูกโตขึ้นแล้วมีคนรัก ลูกจะเข้าใจแม่เองนั่นแหล่ะ”
คุณแม่เป็นคนที่สวยมากๆ ท่านมีดวงตาสีเขียวและสีผมทองเหมือนกับฉัน ภาพลักษณ์ภายนอกดูเป็นผู้หญิงที่เรื่อยๆ เป็นกันเอง และ ใจดี เคยมีคนบอกเป็นประจำว่า ฉันมีหน้าตาเหมือนกับคุณแม่ แต่ได้นิสัยใจร้อน และ เป็นพวกชอบมักง่ายเหมือนคุณพ่อ
เรียกได้ว่าส่วนไหนเป็นคำชมก็จะได้จากคุณแม่ ส่วนไหนแย่ๆก็โยนให้ให้คุณพ่อหมด แต่คุณแม่ก็มักจะบอกเป็นประจำว่าชอบนิสัยที่ตรงไปตรงมาของฉันและคุณพ่อ
ไม่ว่าเมื่อไหร่คุณแม่ก็จะร่าเริงและยิ้มเเย้มเสมอ ถึงบางครั้งจะทำตัวดี๊ด๊าน่ารำคาญไปบ้างทั้งๆที่อายุขึ้นเลข 4 แต่คุณแม่ก็ยังดูสาวจนท่าทางขี้เล่นนั่นดูไม่ได้เกินวัยแม้แต่นิดเดียว
“คุณผู้หญิงครับไม่ทราบว่า มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
“สนใจมาดื่มชากับพวกเราไหม”
จนบางครั้งถึงกับมีพวกผู้ชายที่แยกไม่ออกมาจีบเลยทีเดียว
“ฮุๆ ขอโทษนะคะ พอดีว่าวันนี้มีนัดกับลูกสาวไว้แล้วนะคะ”
“ลูกสาวเองค่ะ มีธุระอะไรกับคุณแม่หรอคะ ?”
“หะ หะ เหวอออ มีลูกแล้วหรอ ขะ ขอ ขอโทษที่รบกวนครับ !”
และพอฉันโผล่หน้ามาด้วยสีหน้าถมึงทึง พวกผู้ชายก็จะวางมือจากคุณแม่แทบทุกราย
“แหมๆ รู้สึกผิดจังเลยน๊า”
“ดูสนุกเห็นๆเลยไม่ใช่หรอคะ ?”
“ก็แหม เอวาจังนี่ล่ะก็ อย่าว่าร้ายกันแบบนี้สิจ๊ะ”
หนุบหนับๆ
ฉันโดนคุณแม่ล็อคคอจากด้านหลังจนหนีไปไหนไม่ได้ ทว่า แทนที่จะรู้สึกอึดอีด อ้อมกอดของคุณแม่กลับอบอุ่น การได้พูดล้อเล่นกับคุณแม่เรื่อยเปื่อยพลางเลือกเสื้อผ้าไปด้วยกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
“อ๊ะ ! ชุดนี่ ? เอวาจังจะลองใส่ดูไหม”
แต่ระหว่างเดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าเด็ก อยู่ดีๆคุณแม่ก็ชี้ไปที่ชุดคลุมไอแมงมุมขึ้นมา
“เห็นตอนเด็กก็ชอบใส่นี่นา หม่าม๊าเองก็เก็บอัลบั้มรูปเอวาจังเมื่อสมัยนั้นไว้ด้วย น่าคิดถึงจังน๊า แป๊ปเดียวก็โตตัวขนาดนี้แล้ว ฮุๆ”
“อึก ! จำไม่เห็นได้เลยค่ะ แล้วคุณแม่ก็เลิกด้อมๆมองๆหน้าร้านพรรคนั้นได้แล้ว น่าอายออกจะตาย”
“น่าๆ ถึงตอนนี้จะยังไม่ได้แวะ แต่อีกไม่นานนี้ก็อาจจะต้องมาใช้บริการร้านนี้อีกก็ได้นะ”
“คะ ?”
หมายความว่ายังไงนะ ?
“ฮุๆ จริงๆแล้วมีเซอร์ไพรซ์อีกอย่างที่จะบอกปะป๊าเขาด้วยละ เอวาจังก็เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ จนกว่าจะอยู่พร้อมหน้ากันด้วยนะ”
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะขี้เล่นซึ่งแฝงด้วยความรู้สึกซึ่งเอ่อล้นออกมาทำให้รู้ได้ในทันทีว่า คุณแม่กำลังพูดเรื่องที่สำคัญอยู่
เมื่อฉันเลื่อนสายตาตามคุณแม่ไป ก็พบว่าคุณแม่กำลังลูบท้องของตัวเองเบาๆด้วยสีหน้าอันอ่อนโยน
“ล้อหนูเล่นใช่ไหมคะ ?”
“ ฮุๆ คิดว่าหม่าม๊าจะโกหกหนูงั้นหรอ ?”
เดี๋ยวๆๆๆๆๆ ต้องล้อเล่นแน่ๆ ล้อเล่นแหงๆ ทั้งๆที่อายุปู่นนี้แล้ว มันคงไม่มีทาง—-
“ยินดีด้วยนะจ้ะ คุณพี่สาว หลังจากนี้ก็ฝากดูแลน้องด้วยล่ะ”
“——!!!”
อะ อะ อะ…..
ฉันถึงกับไปไม่เป็น เพราะอยู่ๆคุณแม่ก็พูดเรื่องจริงจึงขึ้นมาเฉยเลย
แต่ดูจากสีหน้าที่เอ่อล้นด้วยความสุข สายตาอบอุ่นที่มองมา แล้วก็รอยยิ้มอันแสนจะนุ่มนวล นั่นคงไม่ใช่เรื่องโกหก
ความรู้สึกจักกะจี้ที่หัวใจ ทำให้ฉันค่อยๆยื่นมืออันสั่นเทาไปข้างหน้า
“ขะ ขอหนูจับได้ไหมคะ ?”
“อื้ม..เอาสิจ๊ะ”
ฉันลองลูบท้องของคุณแม่ แล้วแนบหูลงไป
“……………….”
“………………..”
“ไม่เห็นได้ยินอะไรเลยค่ะ”
“ฮุๆ ก็พึ่งสองสัปดาห์เองนี่นา รอน้องโตกว่านี้ก่อนสิ”
ฉันถอยออกมาและเกาแก้มด้วยความรู้สึกเขินอายนิดหน่อย
“คุณแม่ไม่ได้โกหกหนูใช่ไหมคะ”
“ตายจริง เรานี่ไม่เชื่อใจหม่าม๊าเลยนะ”
“ก็มัน….”
ได้แต่เบือนหน้าหนี พลางม้วนผม เพราะตอนนี้ฉันจัดการอารมณ์ตัวเองไม่ถูก
“ช่างเถอะค่ะ เอาเป็นว่าไปหาของขวัญมาให้คุณพ่อต่อกันเถอะ”
“จ้าๆๆ”
ฉันพยายามดันหลังคุณแม่ให้เดินต่อไป แม้จะรู้ว่าจริงๆแล้วของขวัญที่ดีที่สุดคือคุณแม่และเด็กที่อยู่ในท้องต่างหาก
และเพื่อพยายามแก้เขิน ฉันเลยพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“จะว่าไป อย่าลืมไปหาคุณหมอบ่อยๆด้วยนะคะ”
“???”
“ก็คุณแม่อายุเยอะแล้วนี่นา เห็นว่ากันว่ายิ่งอายุเยอะเด็กที่เกิดมาจะมีปัญหาได้ง่าย”
“เดี๋ยวเถอะ ลองพูดใหม่อีกทีสิจ้ะ”
คุณแม่ยิ้มกว้างและหันกลับมาหยิกแก้มฉันเบาๆ
แม้ใบหน้าจะเปื้อนยิ้ม แต่ดวงตาที่หรี่ลงไม่ได้ยิ้มตามเลยค่ะ
แต่ฉันไม่ได้ผิดซักหน่อย ฉันพูดจริงจังนะ
“ก็บอกว่าคุณแม่แก่แล้ว—–”
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด
“——–!!!”
“——- !?”
แต่แล้วอยู่ๆ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงร้องกรีดดังขึ้นมาจากด้านบน ฉันรีบเงยหน้าหันไปทางต้นเสียง แต่ทว่า—-
โครมมมมมมม
จู่ๆเพดานด้านบนก็ถล่มลงมา อิฐปูนจำนวนมหาศาลตกลงมาใส่พวกเรา ความรู้สึกกระแทกอันรุนแรงกลางกระหม่อมทำให้ร่างของฉันเอนล้มลงกับพื้น
ของเหลวสีแดงเหนียวเหนอะไหลอาบแก้ม และ รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่กลางศีรษะ
ฉันปวดหัวจนหน้ามืดไปชั่วขณะ ก่อนที่ภาพจะตัดไป
.
.
.
.
—- เอวาจัง
เสียง ?
เหมือนมีใครบางคนกำลังเรียกฉันอยู่
“ ??? ”
“เอวาจัง ! เอวาจัง ! ดีจริงๆที่รู้สึกตัว !!!”
เมื่อฉันลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เจอกับคุณแม่ที่มีเขม่าดำเปรอะเปื้อนไปทั่วตัวและมีบาดแผลถลอกเต็มไปหมด
“คุณแม่— อึก !”
ฉันพยายามจะถามคุณแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น กระนั้นแล้วพอขยับตัว ฉันก็รู้สึกถึงน้ำหนักอันมหาศาลที่กดทับร่างของฉันอยู่จนรู้สึกอึดอัดและทุกข์ทรมานราวกับมันจะกดทับอวัยวะภายในของฉันจนป่นปี้
เมื่อหันไปข้างหลัง ฉันก็พบกับเศษเพดานทำจากปูนขนาดใหญ่ที่ทับร่างของฉันอยู่
แม้จะพยายามขยับตัวแต่มันก็ไม่เขยื้อนไปไหน ซ้ำยังทำให้ฉันเจ็บหนักมากกว่าเก่า
เจ็บ !
ฉันเจ็บมากๆจนสติเริ่มจะเลือนลางอีกรอบ แถมยังรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นระรัว
กลัวๆๆ ไม่เอานะ ฉันไม่อยากตาย
“เอวาจัง—”
แต่เป็นตอนนั้นเองที่ฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนุ่มนวลจากฝ่ามือของคุณแม่ที่จับมือของฉันอย่างทะนุถนอม
“ไม่เป็นไรนะๆ หม่าม๊าจะช่วยหนูเอง”
ดวงตาที่อ่อนโยนซึ่งเอ่อนองด้วยน้ำตา คำพูดที่เต็มไปด้วยคำปลอบโยน แม้ไหล่สองข้างของเธอจะสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวก็ตาม
คุณแม่ที่ปกติเป็นคนพูดเสียงเบาและกล้าๆกลัวๆ อยู่ๆเธอก็สูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่และตะโกนออกมา
“ช่วยด้วย ! ลูกสาวของฉันติดอยู่ตรงนี้ ใครก็ได้ช่วยด้วยค่ะ !!!”
คุณแม่….
“ไม่เป็นไรนะ…จับมือหม่าม๊าเอาไว้และตั้วสติเอาไว้ดีๆนะ ไม่เป็นไร หม่าม๊าจะอยู่ข้างๆหนูเอง จะไม่ปล่อยมือไปไหนแน่นอน”
หงึกๆๆ
ฉันได้แต่พยักหน้าทั้งน้ำตา
ฉันกลัวตาย
ไม่เอานะ ฉันยังไม่อยากตาย
ยังไม่ได้ใช้ชีวิตเลย กลัวๆๆๆ ไม่เอานะ ช่วยหนูด้วยคุณแม่ !
ตึง !
แต่แล้ว อยู่ๆก็เกิดแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้พื้นดินสั่นไหวอีกระลอก
ตึ้ง !!!
เป็นเสียงราวกับเสียงฝีเท้าที่ดังมากและทำให้พื้นดินสั่นไหวทุกๆครั้งที่เกิดเสียง
“อึก ! นั่นมัน ตะ ตัวอะไรกันเนี่ย ?”
“???”
ฉันได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของคุณแม่
ฉันเลยพยายามมองไปตามทิศทางที่คุณแม่กำลังจ้องมองอยู่
“เอวาจัง—”
แต่แล้วอยู่ๆคุณแม่ก็ถอดเสื้อคลุมชั้นนอกออกมาและคลุมร่างของฉันเอาไว้
ดวงตาของเธอที่จ้องมาที่ฉันก่อนที่จะถูกผ้าคลุมปิดหน้า ยังคงเต็มเปี่ยมด้วยความรักและความห่วงใย น้ำเสียงที่กระซิบข้างๆหูของฉันเต็มไปด้วยความอ่อนโยนซึ่งช่วยปัดเป่าความกลัวที่กำลังดิ้นพล่านอยู่ภายในใจของฉัน
“ไม่เป็นไรนะ… หลับตาแป๊ปเดียว จับมือหม่าม๊าเอาไว้แน่นๆ แล้วเบาเสียงนิดนึง…ไม่ต้องห่วงทุกอย่างจะผ่านไป…เชื่อหม่าม๊าเถอะนะ”
ท่ามกลางความมืดมิด มืออันอบอุ่นของคุณแม่มอบความหวังให้กับฉัน
คุณแม่ชวนฉันคุยต่อไปเรื่อยๆ เพื่อช่วยประคองสติที่เริ่มจะพร่าเลือนของฉัน
“นี่…..หน่วยกู้ภัยกำลังมาแล้ว อดทนนิดนึงนะ”
หงึกๆ
ฉันทำได้เพียงกัดฟันฝืนทนต่อความเจ็บปวด พลางใช้เสียงอันอ่อนโยนของคุณแม่เพื่อประคับประคองจิตใจ
“ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ขอแค่ยกของพวกนี้ออกไปได้ เอวาจังก็จะเป็นอิสระแล้วล่ะ”
หงึกๆๆๆ
“ตอนนี้อาจจะเจ็บเหมือนมดกัด…เอ่อ ไม่ใช่สิน๊า เหมือนมดยักษ์กัดล่ะมั้ง ฮุๆๆ”
หงึกๆๆ
“แต่ทายาแค่นี้แป๊ปเดียวเดี๋ยวก็หาย เพราะงั้นสบายมาก”
หงึกๆๆ
ตึ้ง !!!
พื้นสั่นสะเทือนอีกครั้ง ได้ยินเสียงกระแทกดังใกล้เข้ามา
ก๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ
เสียงคำรามดังสนั่น เสียงประหลาดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนกำลังดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
กรี๊ดดดดดด
เสียงกรีดร้องดังระงม นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ !?
ความหวาดกลัวแผ่กระจายไปทั่วรูขุมขน ช่วงร่างรู้สึกอุ่นๆและเปียกแฉะ ฉันไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้อีกต่อไป
หมับ !
มืออันสั่นเทาของฉันกุมมือของคุณแม่มากยิ่งขึ้น คุณแม่ก็กุมมือของฉันตอบ
“ไม่เป็นไร….แค่อาคารข้างๆถล่มเฉยๆ แต่ที่พวกเราอยู่ปลอดภัยดี”
“……………..”
“อะ อึก ! มะ มะ ไม่เป็นไรจ๊ะ ไม่มีอะไรหรอก หน่วยกู้ภัยกำลังมาแล้วนะ”
“…………..”
ตึ้ง !
ก๊าชชชชชชชชชชชชชช
แต่เสียงๆคำรามนั่นมาจากไหน
กำลังปิดบังอะไรหนูอยู่หรอคะ คุณแม่ ?
“เอวาจัง…..”
“???”
“ช่วยเงียบเเป๊ปนึงนะ หน่วยกู้ภัยเขาต้องใช้สมาธิ”
ตึ้ง !
“กะ กะ กำลังใกล้เข้ามาแล้ว”
“—- ???”
“ไม่เป็นไรนะ ลูกจะต้องปลอดภัยแน่นอน”
“คุณ….แม่ ?”
“ฮึก ! เพราะงั้นเบาเสียงไว้นะ”
คุณแม่ ? ทำไมถึงร้องไห้ละ
มีอะไรรึเปล่า ?
ข้างนอกกำลังเกิดอะไรขึ้น ?
หรือว่าอาการของฉัน มันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ ?
“เอวาจัง…หม่าม๊า…รักหนูนะ…”
“คุณ…แม่ ?”
กึก !
จู่ๆคุณแม่ก็บีบมือฉันแน่นมากขึ้น
ฉันเลยบีบตอบ
กึกๆๆๆ
แม้จะสั่นเทา แต่คุณแม่ก็มีบีบมือฉันอย่างรุนแรงไม่เป็นจังหวะ ฉันเลยพยายามบีบตอบเพื่อให้กำลังใจคุณแม่เช่นกัน ตราบใดที่เราจับมือกันและกันเอาไว้ มันก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
“…………………….”
แต่แล้วอยู่ๆ คุณแม่ก็เลิกบีบมือฉัน
แรงบีบคลายออก แต่ถึงอย่างงั้นนิ้วมือของพวกเราก็ยังประสานกันและกัน
กรุบๆๆๆๆ
ได้ยินเสียงบางสิ่งบางอย่างกระทบกันอยู่ไม่ไกล
ติ๋ง ?
ของเหลวเหนียวๆไหลมาตามพื้นจนโดนแก้มของฉัน
พอฉันเหลือบมองก็เห็นของเหลวสีแดงก่ำอุ่นร้อนและเหนียวเหนอะ อีกทั้งยังมีกลิ่นเหม็นเหมือนสนิมเหล็ก
กรุบๆๆๆๆๆ
“คุณแม่ ?”
ฉันพยายามร้องหาคุณแม่
หมับ !
ฉันพยายามบีบมือเรียกคุณแม่
“คุณแม่อยู่ที่ไหนคะ ?”
แม้จะสะอื้นและเริ่มจะร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว แต่คุณแม่ก็ไม่พูดอะไรและไม่บีบมือฉันอีก
กรุบๆๆๆๆๆ
ฉันเลยดึงผ้าคลุมที่ปิดหน้าฉันออก
แสงสว่างกลับคืนมาอีกครั้ง สายลมอันอุ่นร้อนพัดผ่านหน้า
ฉันรีบกวาดสายตามองหาคุณแม่
“—– !?”
แต่ทว่า บริเวณที่คุณแม่เคยอยู่กลับเหลือเพียงพื้นที่แฉะๆซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีแดงก่ำ
เอ๋ ?
แล้วฉันกำลังจับมือใครอยู่ ?
แต่แล้วเมื่อมองมาที่มือของตัวเองก็พบว่า ฉันยังจับมือของคุณแม่เอาไว้….ใช่ ยังจับเอาไว้…แค่เพียงมือของคุณแม่
“อะ อะ อะ ”
ติ๋ง…..
หยดเลือดไหลซึมจากแขนของคุณแม่ที่ยังคงจับมือฉันไม่ปล่อยในขณะที่ร่างของเธอหายไปไหนไม่รู้
กรุบๆๆ กรอบๆๆๆ
เมื่อฉันค่อยๆเลื่อนสายตาไปข้างหน้าด้วยหัวใจที่เต้นระรัวจนแทบจะทะลุออกจากอก เบื้องหน้าของฉันก็เห็นขาขนาดใหญ่ที่มีเกล็ดสีแดง
รูปร่างสูงใหญ่กว่าสิบเมตร ทั่วร่างปกคลุมด้วยเกล็ดสีแดง หางยาวๆตวัดฟาดไปมาจนพื้นดินสั่นทะเทือน ปีกที่อยู่ข้างหลังใหญ่ยาวดุจเรือใบ ขาสี่เท้าย่ำพื้นจนเกิดรอยบุ๋มใหญ่เท่ารถ ดวงเนตรสีเหลือทองใหญ่ยักษ์ที่กวาดไปทั่วทำให้ใครก็ตามที่ตกเป็นเป้าสายตาต่างต้องสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
ภายในปากที่เต็มไปด้วยฟันอันแหลมคม มีอวัยวะชิ้นส่วนของมนุษย์อัดแน่นอยู่ข้างในเต็มไปหมด
รูปร่างของมันคล้ายกับ มังกร ในเทพนิยายไม่มีผิด
“อะ อะ…อะ”
ภายในปากของมันที่กำลังเคี้ยวเสียงดังกรุบๆอย่างน่าสยดยสอง
เลือดที่ไหลทะลักออกมา อวัยวะแขนขาที่กระจัดกระจายเป็นชิ้นๆขณะกำลังเคี้ยวเนื้อมนุษย์คำโต
ฉันทำได้เพียงจ้องมอง….จ้องเข้าไปในดวงตาสีเขียวคู่นั้น
“อ่า…… คะ ….คุณแม่”
ฉันมองเข้าไปในดวงตาของคุณแม่
ดวงตาของคุณแม่ที่ไร้ซึ่งประกายแสงเหมือนวันวาน
ดวงตาที่ไม่อาจมอบความอบอุ่นให้กับฉันอีกต่อไป
ดวงตาที่ไม่มีวันเฝ้ามองฉันด้วยความอ่อนโยนอีกแล้ว
.
.
.
.
.
ดวงตาของคุณแม่ที่มองมาที่ฉันอย่างว่างเปล่าภายในปากของมังกร
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
หลังสิ้นสุดภารกิจที่แสนจะง่ายดายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก
ฉันก็พาเอวาที่สลบจนเรียกไม่รู้สึกตัวไปส่งที่โรงพยาบาล
ภาพที่เธอเห็นในวันนี้ต่อให้ติดฟิลเตอร์สีรุ้งฟรุ้งฟริ้ง มันก็คงทำให้เธอช็อคหนักเอาการ
ในตอนนี้ฉันก็ยังจำได้ถึงใบหน้าอันซีดผืดของเธอตอนที่เห็นภาพเหล่านั้น มันคงไปกระตุ้นความทรงจำในอดีต เพราะก่อนที่เธอจะสลบไป ตัวเธอที่มีสายตาเลื่อนลอยก็พูดว่า ‘ไม่นะ…คุณแม่’
บางทีคงเห็นภาพทับซ้อนกับคุณแม่ของเธอในอดีตล่ะมั้ง
ความจริงจะพาเธอมาพักที่บ้านของฉันก่อนก็พอได้ แต่ฉันก็ไม่อยากให้ใครก็ตามรู้ว่าบ้านของฉันอยู่ที่ไหน เพราะงั้นโรงพยาบาลนั่นแหล่ะคือที่ๆเหมาะสมที่สุด จะได้ตรวจร่างกายอื่นๆเพิ่มเติมไปด้วยเลย
เบื้องหน้าของฉัน คือ เอวาที่ตอนนี้รวบผมไว้ข้างหลังและนอนอยู่บนเตียงนอนในชุดผู้ป่วยอีกแล้ว
จะบ้าตาย ออกมาจากโรงพยาบาลได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็กลับมาใหม่ ทำเอาฉันเหนื่อยใจแทนเลยค่ะ
ฉันนั่งลงข้างๆเธอที่กำลังหลับฟรี้ๆอย่างสงบ พลางเลื่อนเมจิคัลโฟนหาสินค้าออนไลน์
ระหว่างนั้นทีวีที่อยู่มุมหนึ่งของกำแพงก็กำลังถ่ายถอดสดรายการข่าวด่วนคั่นรายกายสอนทำอาหารช่วงบ่าย
ภาพที่เห็นบนทีวี เป็นประตูทางเข้า สวนพฤกษชาติ ที่พวกเราไปมาวันนี้
ควันสีเทาที่ลอยออกมาจากข้างในสวนและปกคลุมท้องฟ้า ซ้ำยังมีนักดับเพลิงที่วิ่งวุ่นกันจ้าระหวั่น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในวันนี้ได้มีเหตุการณ์อันน่าสลดเกิดขึ้น
“รายงานข่าวด่วนแทรกรายการโดยดิฉัน—-”
ระหว่างเงียหูฟังนักข่าวรายงานอยู่หน้าสถานที่เกิดเหตุ ฉันก็ใช้นิ้วมืออันสั่นเทาไล่หาสินค้าออนไลน์ไปเรื่อยเปื่อย
“ณ ขณะนี้ได้เกิดเหตุแก๊สระเบิดที่สวนพฤกษชาติ เมืองมาซากุระ จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัย ได้พบศพผู้เสียชีวิตเป็นคณะนักเรียนชั้นประถมที่ได้มาทัศนศึกษา—”
ในวันนี้อากาศช่างแจ่มใส แต่สินค้าที่ฉันตามหาราคาไม่ได้ถูกๆเลยแฮะ
“จากนักเรียนจำนวน 15 คน เสียชีวิตไปทั้งหมด 7 คน อาจารย์ที่ปรึกษาได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ขาทั้งสองข้างจึงต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลพร้อมๆกับเด็กๆที่เหลือซึ่งยังคงอยู่ในสภาพช็อร์คจนไม่สามารถให้ปากคำใดๆได้ ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่กำลังเร่งตรวจสอบหาสาเหตุของการระเบิดว่าเกิดขึ้นได้ยังไง…นี่คือเหตุการณ์สะเทือนขวัญในรอบ 10 ปีของเมืองมาซากุระ—”
“อ๊ะ !”
หลังจากที่เลื่อนมาได้ซักพักหนึ่ง ฉันก็เจอสินค้าที่ต้องการ
“ทางเราขอแสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิต และ ขอให้หาข้อกระจ่างได้ในเร็ววัน ดิฉัน—”
ฉันกดคลิกทันทีโดยไม่รอช้า หลังจากเงินถูกตัดออกจากบัญชี ซองขาวที่บรรจุเม็ดยาหนึ่งเม็ดอยู่ข้างในก็ปรากฎขึ้นในมือของฉันทันที
“รายงานจากสถานที่เกิดเหตุ หากมีอะไรเพิ่มเติมจะรายงายกลับมาอีกครั้ง ขอเชิญทุกท่านกลับไปรับชมรายการตามปกติได้เลยค่ะ”
แต๊ดดดดๆๆๆๆๆๆๆ
ติ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
“เอาละครับ ผู้ชมทุกๆท่าน หลังจากที่สะเด็ดน้ำมันจากปลาทอดจนแห้งแล้ว เราก็มาทำน้ำพริกปลาทูกันต่อดีกว่า…. เริ่มจาก หั่นพริก—–”
สุดท้าย รายกายข่าวคั่นรายการก็จบไปและถูกแทนที่ด้วยรายการทำอาหารเหมือนเดิม
ราวกับว่าข่าวก่อนหน้านี้เป็นเรื่องไกลตัว
มันก็แค่เรื่องราวความสูญเสียของใครบางคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเรา
จะวันนี้ หรือ วันพรุ่งนี้ ต่อให้ใครซักคนหายไป ชีวิตของคนที่เหลือก็ยังคงดำเนินต่อไปได้เป็นปกติอยู่ดี
ชีวิตคนเราก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของฟันเฟืองเล็กๆที่ค่อยๆต่อกันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ‘สังคม’
ต่อให้ฟันเฟืองเล็กๆนั่นหายไป ก็หาอันใหม่มาแทนที่ได้
ว่าไหม เอวา ?
ฉันมองคุณรุ่นพี่ผมทองที่นอนหายใจเบาๆอยู่บนเตียง
พวกเราจอมเวทย์ อาจจะเป็นตัวตนพิเศษสำหรับโลกใบนี้ เพราะเราคือฟันเฟืองหายากระดับโครตๆแรร์
แต่เพราะสุดท้าย เราก็เป็นได้แค่ฟันเฟือง ต่อให้หายไปก็มีฟันเฟืองอื่นมาแทนที่ได้อยู่ดี
คือว่าไงดีอ่ะ…ที่ฉันจะบอกก็คือ ชีวิตมันต้องก้าวเดินต่อไปอะนะ
ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ คนเราก็ต้องเจอกับความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน สิ่งเดียวที่จะทำให้เราตัดขาดจากความเศร้าเสียใจได้ก็คงมีแค่ ‘ความตาย’
แต่เพราะเราเป็นจอมเวทย์ ชีวิตของพวกเราคือการต่อสู้
คนอย่างเธอก็คงเลือกที่จะสู้ต่อไป และแน่นอนว่างานนี้มันเงินดี ฉันก็จะสู้ต่อไปเช่นเดียวกัน
ทว่า มันก็มีบางครั้งที่เรา รู้สึกเหมือนกับว่าติดหล่มบางอย่างที่ฉุดรั้งไว้ไม่ให้เราก้าวไปข้างหน้าได้
กระนั้นแล้ว ด้วยอาชีพของเรามันก็ต้องบังคับให้คนเราก้าวเดินต่อไปข้างหน้า แม้ขาสองข้างนี้จะไม่อาจก้าวไหวอีกแล้วก็ตาม
คงเข้าใจที่ฉันบอกใช่ไหม ?
อืม…แต่หลับอยู่แบบนี้คงตอบฉันไม่ได้หรอกนะ
เพราะงั้นฉันเลยขออนุญาติเปิดซองสินค้าที่ซื้อมา เทเม็ดแคปซูลสีฟ้าที่อยู่ข้างในลงไปละลายน้ำในแก้ว
ระหว่างคนก็เหลือบมองฉลากยาที่ซื้อมา
ชื่อยา : ยาลบความทรงจำระดับล่าง
รายละเอียด : ยาวิเศษที่สกัดจากพิษเพเพิ่ลไฮดราร่วมกับสมุนไพรฮิกันบานะคุจิซึ่งขึ้นในปล่องภูเขาไฟ เป็นยาที่มีสรรพคุณวิเศษ กินแล้วลืม กลืนแล้วตาย ต้องละลายน้ำก่อนทาน เพราะหลังละลายน้ำแล้วดื่มเข้าไปจะช่วยลบความทรงจำล่าสุด 1 ชั่วโมงทิ้งไปจนหลงเหลือแค่ความคุ้นเคยรางๆ ยาอาจจะได้ผลลัพธ์ไม่ได้เต็มที่ในกรณีที่มีความสามารถต้านทานเวทมนต์สูง หรือ จะมีฤทธิ์ยาวนานเกิน 1 ชั่วโมง หากความสามารถต้านทานเวทมนต์ต่ำมากเกินไป ผลข้างเคียงสามารถมีอาการคลื่นไส้อาเจียน อาการง่วงซึม ตามมาได้ ไม่แนะนำให้รับประทานเป็นประจำ เพราะ จะทำให้เกิดอาการดื้อยาจนต้องเพิ่มปริมาณยาในครั้งหน้า
ตุบ !
ฉันทิ้งฉลากลงถังขยะ จากนั้นก็ชูแก้วน้ำใสๆที่มองเผินๆไม่รู้เลยว่าละลายยาตัวนี้เอาไว้อยู่
ฉันมองเอวาที่กำลังนอนหลับสนิทผ่านทางแก้วน้ำใส่ยาลบความทรงจำ จากนั้นก็เอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางจ้องมองเธอไม่วางตา
“ขอโทษนะ..คุณเอวา พอดีฉันเป็นพวกขี้โกงน่ะ …และคนเราก็จำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าต่อ ถึงจะเพิ่งผ่านเรื่องแย่ๆมาก็ตาม หวังว่าจะเข้าใจฉันนะคะ เพราะวิธีนี้ก็คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วล่ะ”