เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 10 เยี่ยมเยือนผู้ป่วย
หลังจากที่ละลายน้ำแข็งเรียบร้อย พนักงานทำความสะอาดก็มาจัดการกับพื้นที่เปียกชุ่ม
การบริการของที่นี่ยอดเยี่ยมเสียจนน้ำตาแทบไหล
มีพยาบาลฮิปโปสามสี่ตัวช่วยกันยกโซฟาและโต๊ะกระจกมาวางให้พวกเราถึงกลางห้อง แม้จะพยายามปฎิเสธแต่พวกเธอก็ยืนยันหนักแน่นว่าเรื่องแค่นี้สบายมาก
แถมยังเอาชากาแฟมาเสิร์ฟให้พวกเราคนล่ะแก้ว แล้วมีขนมเค้กตบท้ายให้พวกเราอีก !?
ทำเอาฉันรู้สึกเกรงใจจนต้องยัดทิปให้กับบุคลากรทั้งหลาย ไม่อย่างงั้นคืนนี้ฉันคงกลับบ้านไปนอนไม่หลับแน่ๆ
พวกเธอทำเกินหน้าที่ไปมากเสียจนกลัวว่า ถ้าเกิดไปสร้างบรรทัดฐานผิดๆให้อาชีพพยาบาลขึ้นมา มันคงไม่ดี
“ขะ ขะ ขอบพระคุณค่ะ เงินนี่หนูจะเอากลับไปติดฝาผนังบ้านเลย”
“…………….”
อืม….. ชักเริ่มกลัวการมาดินแดนจอมเวทย์แล้วค่ะ เหมือนกับว่าตัวเองเป็นดาราดังไม่ก็ชนชั้นสูงอะไรแบบนั้นเลย
รู้สึกไม่ชินเอามากๆ แต่จอมเวทย์บางคนก็คงชอบกันล่ะมั้ง
แต่ก็เอาเถอะ นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในตอนนี้
ฝั่งตรงข้ามของฉันปรากฎร่างของคนสามคนที่นั่งตัวติดกันบนโซฟา
รุ่นพี่แม่มด รุ่นพี่อัศวิน และ รุ่นพี่หมัดเมานั่นเอง
พวกเธอมองมาที่ฉันด้วยสายตาสับสนเหมือนอยากจะถามว่ายัยนี่เป็นใครกันแน่
เพราะงั้นแล้ว ในฐานะรุ่นน้องผู้มีมารยาท ฉันก็ควรที่จะเป็นฝ่ายแนะนำตัวก่อน
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ พวกรุ่นพี่ ฉัน เอ็มเพรส—-”
โครกกกกกกก ปึ้ง !
แต่แล้วทันใดนั้นเองก็มีเสียงกดชักโครกดังมาจากในห้องน้ำ
หลังจากนั้นประตูห้องน้ำก็เปิดออกพร้อมๆกับร่างของแตงโมลอยได้ที่พุ่งเข้ามาหาพวกเราอย่างรวดเร็ว
“เด็กคนนี้คือ เอ็มเพรส มารีน รุ่นน้องที่แสนน่ารักของพวกเธอยังไงล่ะม่อน !!! ”
“เอมเพรส ?”
“มารีน ?”
“รุ่นน้องของพวกเรา—-!!!”
พวกรุ่นพี่มองมาที่ฉันด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง กลับกันฉันก็ได้แต่มองไปที่เจ้าแตงโมพูดได้ที่พึ่งเสร็จธุระด้วยความเหนื่อยใจที่โดนขัดจังหวะ
“แต่ๆๆ อย่าให้ภาพลักษณ์ที่ดูสง่างามและคำพูดคำจามาหลอกเอาได้นะม่อน ถึงจะมาทีหลังในฐานะรุ่นน้อง แต่ประสบการณ์ชีวิตก็มากกว่าพวกเธอ จะให้ผู้หญิงคนนี้เรียกพวกเธอว่า พี่ ก็แปลกๆ เพราะ เอมเพรสมารีนก็มีอายุ—”
“วอเตอร์บอล!!!”
ตู้มมมมม
“เจี๊ยก ! ทำอะไรเนี่ยม่อน !? มันเจ็บนะม่อน เอ็มเพรส มารีน”
เพราะกำลังจะโดนเปิดเผยข้อมูลสำคัญ ก็เลยตบเบาๆไปทีหนึ่งค่ะ
“คิดว่าหลังเข้าห้องน้ำน่าจะลืมล้างมือก็เลยช่วยเฉยๆค่ะ”
“ล้างมือไปแล้วม่อน ! คิดว่าจิบิม่อนเป็นคนยังไงกันแน่ม่อน !?”
“คนสกปรกจากภายในที่ต่อให้ระเบิดวอเตอร์บอลจากข้างในก็ไม่สะอาดขึ้นค่ะ”
“หนอย…เอ็มเพรส มารีน ให้มันน้อยๆหน่อย อย่างน้อยก็ช่วยรักษาภาพลักษณ์กันหน่อยสิม่อน ทางนี้ก็ไม่พอใจเหมือนกันนะม่อน เรื่องที่ครั้งที่แล้วโทรมาป่วนนะม่อน”
“ค่าๆ เข้าใจแล้วค่ะ ท่านมาสคอต เอาเถอะ เราเลิกคุยกันเองและหันมาสนใจพวกรุ่นพี่กันดีกว่า”
เมื่อมองตรงไปข้างหน้าก็พบกับพวกรุ่นพี่ที่ยิ้มแหยๆ
คนที่เปิดบทสนทนาก่อนคือรุ่นพี่แม่มดที่ยื่นมือออกมา
“ถึงจะช้าไปหน่อย….แต่ทางนี้ก็ขอแนะนำตัวบ้างนะ….ฉัน แม่มดอัสนี ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ค่ะ…..”
ฉันจับมือรุ่นพี่แม่มดเบาๆ ผิวสัมผัสของฝ่ามือที่สาก ทำให้รู้ว่ามือคู่นี้ต้องผ่านการใช้งานอย่างหนักหน่วงมาพอสมควร คงเป็นคนที่ขยันขันแข็งมากแน่ๆ
“ฉัน จอมเวทย์หมัดเมาหลินหลิน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณเอ็มเพรส มารีน”
“เรียกมารีนเฉยๆก็ได้ค่ะ รุ่นพี่”
“งั้นขอเรียกว่ามารีนจังนะ แล้วก็เอ่อ..ไม่ต้องเรียกฉันว่ารุ่นพี่ก็ได้”
“คงจะยากค่ะรุ่นพี่หมัดเมา”
“เอ่อ…เรียกหลินหลินก็ได้นะ”
รุ่นพี่หมัด…เออ ตั้งแต่นี้ไปเรียกรุ่นพี่หลินละกัน ดูเหมือนรุ่นพี่จะเป็นพวกเด็กกิจกรรมนิสัยร่าเริงเป็นกันเอง
“ส่วนผม จอมเวทย์วิถีอัศวิน ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ค่ะ รุ่นพี่อัศวิน”
ส่วนรุ่นพี่อัศวินก็…หน้าจืดสุดๆ หาจุดเด่นไม่เจอ แต่จะพยายามจดจำหน้าตาเอาไว้ละกัน
“ส่วนกระผมก็ จิบิม่อ—”
“ไม่ได้ถามคุณค่ะ”
หลังแนะนำตัวกันเสร็จสรรพ รุ่นพี่แม่มดก็ยืนขึ้นก่อนจะโค้งหัวให้ฉัน
“ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม ฉันต้องขอขอบคุณเธอมากเลยนะที่มาช่วยพวกฉันในวันนั้น”
ดวงตาสีเขียวกลมโต ขนตางอนยาว เข้าคู่ใบหน้าอันอ่อนเยาว์
เธอมองมาที่ฉันอย่างซื่อตรง หลังโค้งลง 90 องศาอย่างสมบูรณ์แบบราวกับได้รับการฝึกมารยาทมาอย่างดี ประหนึ่งลูกคุณหนูก็ไม่ปาน
พอเห็นรุ่นพี่แม่มดโค้งหัวให้ฉัน รุ่นพี่อีกสองคนก็ทำตาม แต่ก็สมบูรณ์แบบไม่เท่าเธอ
“เรื่องเล็กน่อยค่ะ…แล้วก็…นี่ถือว่าเป็นของฝากเล็กๆน้อยๆ ขอให้หายไวๆนะคะ”
ฉันประดับรอยยิ้มธุรกิจ ก่อนจะยื่นดอกไม้สามช่อให้พวกเธอ
“อ๊ะ ! ขอบคุณมากนะ เธอนี่คนดีจริงๆ”
“พวกเราต่างหากที่ต้องขอบคุณเธอ”
“คุณมารีนไม่ต้องลำบากขนาดเอามาให้ก็ได้ แต่ก็ขอบคุณจริงๆครับ”
ทั้งสามรับช่อดอกไม้ไปด้วยสีหน้าชื่นบาน พอเห็นสีหน้าของพวกเขาแล้วก็ค่อยคุ้มค่ากับที่เสียเวลาหน่อย
“อะแฮ่ม !”
หลังจากเก็บดอกไม้เข้าไอเท็มบอกซ์เรียบร้อย รุ่นพี่แม่มดก็กระแอมไอ
“ว่าแต่ ใส่ผ้าคลุมหน้าแบบนั้นไม่ร้อนหรอ ?”
อ๊ะ ! จริงด้วย ลืมไปซ่ะสนิทเลย
คอสตูมของฉันมีผ้าคลุมหน้าอยู่นี่นา ถึงจะบางจนแทบจะไม่ต่างจากไม่ใส่ แต่ถ้ายังสวมเอาไว้มันจะดื่มชาลำบาก
ว่าแล้ว ฉันก็ปลดผ้าคลุมหน้าออกมา
“““—- !? “””
จู่ๆรุ่นพี่ทั้งสามคนก็มองฉันตาค้าง มีอะไรติดอยู่บนหน้าฉันงั้นหรอ ?
“หืม…เธอมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง”
รุ่นพี่แม่มดกุมคางแล้วพยักหน้า
“เคยเป็นนางแบบหรือดาราที่ไหนรึเปล่าคะ..มารีนจังหน้าตาสวยมากๆเลยล่ะ”
รุ่นพี่หลินมองมาที่ฉันด้วยตาเป็นประกายแล้วพูดออกมาตรงๆ
“……………..”
ส่วนรุ่นพี่อัศวินก็หลบตาด้วยท่าทางเคอะเขิน
พอทั้งสามคนแสดงท่าทางแบบนี้ออกมา มันก็ทำเอาฉันลำบากใจเหมือนกัน
“คงจะเป็นผลของการเป็นจอมเวทย์ที่ช่วยมอบความอ่อนเยาว์ในช่วงที่ถึงจุดพีคที่สุดให้ล่ะค่ะ”
“ของฉันไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะคะ อย่างมากก็แค่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน”
รุ่นพี่หลินอย่าใช้คำว่า ก็แค่ สิ ! กินเยอะแล้วไม่อ้วน คือที่สุดของการเป็นจอมเวทย์แล้วนะ !
“เดี๋ยวเมื่อถึงจุดหนึ่งนะม่อน สาวๆทั้งสองคนก็จะหยุดเติบโตจนอ่อนเยาว์เหมือนคุณป้าคนนี้เองแหล่ะม่อน”
“เดี๋ยว ! ฉันแค่ 21 เองนะ จะมาหาว่าฉันป้าได้ยังไง !?”
“แค่อายุเกิน 18 สำหรับอาณาจักรเซเลสเทียก็ถือว่าแก่แล้วม่อน ถ้าไม่ได้แต่งงานก็ถือว่าขึ้นคานแล้วนะม่อน”
“นี่ถ้าไม่พูดทำลายบรรยากาศซักครั้งจะไม่ยอมเลยใช่ไหมเนี่ย ?”
“อายุ 21 ?”
“มากกว่าพวกเราตั้ง 4 ปีเลยหรอ”
“อึก !”
เผลอหลุดข้อมูลส่วนตัวออกไปจนได้ หนอยแน่ะจิบิม่อน !
พอรู้อายุจริงๆของฉัน พวกรุ่นพี่ก็พยายามคะยั้นคะยอให้เรียกพวกเธอด้วยชื่อเฉยๆไม่ต้องมีคำว่ารุ่นพี่นำหน้า จนสุดท้าย แม้ว่าฉันจะพยายามแย้งเต็มที่แล้ว พวกเธอก็ไม่ยอมอยู่ดี
“เข้าใจแล้ว หลังจากนี้ขออนุญาติเรียกว่า แม่มดอัสนี หลิน แล้วก็ คุณอัศวินละกันนะคะ”
“จะเรียกชื่อจริงก็ได้นะ ชื่อจริงของฉันคือ เอวา บัฟฟอร์ด อายุ 17 เป็นนักเรียนชั้นม.ปลายปี 2”
แต่คุยไปคุยมากลายเป็นว่า พวกเธอจะแลกเปลี่ยนชื่อจริงกับฉันเฉยเลย
“เดี๋ยว ! มาบอกชื่อจริงให้ฉันรู้แบบนี้ การมีฉายาก็แทบจะไม่มีประโยชน์กันพอดีสิคะ ถ้าคิดเรื่องความปลอดภัย เรียกแค่ฉายา—”
“ไม่เป็นไรหรอก ก็หลังจากนี้พวกเราคือพวกพ้องสหายร่วมรบที่อยู่เมืองเดียวกันแล้วนี่นา”
“เอ่อ…..”
“ถ้าเธอไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไร แต่ปกติพวกเราจะมีนัดประชุมที่คาเฟ่ในโลกแห่งความจริงสัปดาห์ล่ะครั้ง เพราะงั้นถ้าเธอมาร่วมด้วยก็คงได้รู้ตัวจริงกันอยู่ดี..อ๊ะ ! แต่ทางนี้ไม่ได้บังคับนะ แค่อยากเจอหน้ากันถามสารทุกข์สุขดิบเฉยๆ”
หลังจากที่แม่มดอัสนี…เอ่อ เอวา พูดจบ หลินและอัศวินก็มาแนะนำตัวต่อโดยไม่กังวล
“ฉัน หลี่ ซูเจิน เป็นนักเรียนม.ปลายปีสองเหมือนกัน ถ้าวันไหนเจอหน้ากันก็ทักทายกันได้นะคะ”
“ผมมินามาตะ นานาเสะ อยู่โรงเรียนเดียวกับซู ขอฝากตัวอีกครั้งนะ”
ผลสุดท้าย ทุกคนก็แนะนำตัวกันหมด แต่ฉันก็ใจแข็งพอจะปฏิเสธความเป็นกันเองของพวกเขา
“ขอเวลา….ไว้ฉันพร้อมกว่านี้ก่อนนะคะ”
“ได้เลย ไม่เป็นไร ไม่ว่าเมื่อไหร่พวกเราก็จะรอเธอเสมอนะ ไม่ต้องคิดมาก เพราะยังไงเธอก็เป็นผู้มีพระคุณของพวกเราอยู่แล้ว ท่านจักพรรดินี”
“เรียกมารีนเฉยๆก็ได้ค่ะ…คุณเอวา”
ไม่ค่อยชอบฉายานี้เลย ฟังดูหลงตัวเองจัดๆ มีใครที่ไหนตั้งชื่อตัวเองว่า เอ็มเพรส(จักพรรดินี) กันบ้างกันเล่า ?
แต่ก็เอาเถอะ พูดกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ในเมื่อบรรยากาศกำลังไปในแนวโน้มที่ดี ฉันก็เลยลองถามพวกรุ่นพี่ดู
“พอดีมีอะไรอยากถามนิดหน่อยค่ะ”
“อะไรหรอ ?”
“พวกรุ่นพี่…เอ่อ…ทั้งสามคนรู้จักจอมเวทย์ที่ใช้ฉายา มิโกะอัคคี ไหมคะ ?”
“—— !!! ”
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
หลังจากนั้น เอวาก็ได้อธิบายให้ฟังถึงเหตุการณ์เมื่อสองอาทิตย์ก่อนที่มิโกะอัคคีมาช่วยพวกเธอเอาไว้ก่อนจะประกาศยึดเมืองมาซากุระไปเป็นอาณาเขตของตัวเอง
“แล้วคุณเอวาก็ไปตอบตกลงเรื่องที่จะประลองงั้นหรอ”
“ใช่แล้วละ”
บ้ารึเปล่า ? ตอบตกลงไปทำไมนิ ?
“ว่าแต่เธอไปได้ยินชื่อนี้มาจากไหน หรือว่ายัยนั่นมาหาเรื่องเธอ ?”
“จะว่าแบบนั้นก็ใช่ค่ะ……..”
ฉันเลยเล่าเรื่องที่ฉันโดนมาให้พวกเธอฟัง
พอฟังจบ ซูและนานาเสะก็ปั้นหน้าเครียด ส่วนเอวาก็ทุบโต๊ะด้วยท่าทางหงุดหงิด
“ยัยนั่น ! แบบนี้ มันจะเกินไปแล้วนะ ยังไม่ได้สู้ตัดสินกัน จะมาบอกเป็นเขตของตัวเองได้ยังไง !?”
ไม่แปลกที่เธอจะโกรธ แต่ทางฉันขอจิบชาสบายๆดีกว่า…อื้ม…ชาที่นี่ชงใช้ได้เลยค่ะ
“ฉันจะติดต่อไปหายัยนั่นเอง เรื่องนี้ฉันไม่ยอมเด็ดขาด !”
“ค่ะๆ คุณเอวาใจเย็นก่อน จิบชาตอนที่ร้อนๆให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อดีกว่านะคะ”
“ไม่เย็นแล้ว ! ฉันขอตัวก่อนละ !”
อยู่ๆเอวาก็ลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวสิ !? จะไปไหนหรอ”
ซู รีบถามด้วยความสับสน
“จะไปฝึกพิเศษ นอนพักมานานเกินพอแล้ว ถ้ามัวแต่เอ้อระเหย ฉันตามยัยนั่นไม่ทันแน่”
ฝึกพิเศษ ? เอวา นี่จะขยันเกินไปมุ๊ย ยังอยู่ในชุดผู้ป่วยอยู่เลยน๊า
“ยังไงก็ต้องออกจาโรงพยาบาลวันนี้อยู่แล้ว เพราะงั้นเดี๋ยวเปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้ว ขอตัวไปซ้อมก่อนนะ”
เรื่องค่ารักษาถอนออกจากบัญชีฉันได้เลย ฝากด้วยล่ะจิบิม่อน
เธอพูดทิ้งท้ายไว้เช่นนั้นแล้วรีบตรงเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ
“คือ..คุณเอวาเขาเป็นแบบนี้ตลอดเลยหรอ ?”
“แห่ะๆ..เป็นพวกที่ถ้าตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว ก็จะทำโดยทันทีนะ”
หลินพูดพลางเกาแก้มแล้วยิ้มแหยๆ
“ถ้างั้นผมไปด้วยดีกว่า”
“ไม่ได้นะ !!!”
ทว่า พอนานาเสะคุงทำท่าจะลุกขึ้นยืน หลินกลับรีบโน้มตัวออกไปกอดเอวของเขาแน่น
“คุณหมอบอกว่าห้ามออกแรง ! ลืมไปแล้วหรอ ? ถึงจะรักษาไปแล้ว แต่แผลอาจจะเปิดอีกก็ได้”
“อะ…อื้ม ! เข้าใจแล้ว ช่วยปล่อยทีเถอะ”
หลินผล่ะออกมาจากเอวด้วยพวงแก้มที่เจือสีชมพูระเรื่อเล็กน้อย ในขณะที่นานาเสะเกาแก้มด้วยท่าทางเขินอาย บรรยากาศหวานๆเล็กน้อยที่แฝงอยู่ในความห่วงใยทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“ทั้งสองกำลังคบกันอยู่ ? ”
“มะ มะ ไม่ใช่ค่ะ ! ไม่ใช่แน่นอน พวกเราเพื่อนสมัยเด็กก็เลยสนิทกันเฉยๆ”
“อะ..อื้ม…เป็นแค่เพื่อนครับ”
“——— !!!”
ไม่รู้ทำไม พอนานาเสะพูดทิ้งท้ายไว้แบบนั้น หลินถึงได้แอบเหลือบตามอง
สีหน้าของเธอดูค้อนหน่อยๆ แต่ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ
เอาเถอะ ยังไงความสัมพันธ์ของสองคนนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันอยู่แล้ว
“ถ้างั้นในเมื่อทุกคนดูท่าจะอาการดีขึ้นแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
ปึ้ง !
“เดี๋ยวก่อน !”
แต่หลังจากที่ฉันพูดจบยังไม่ทันจะขาดคำ อยู่ดีๆประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออกมาดังโครมครามโดยเอวาในชุดลำลอง
“เอ็มเพรส มารีน—”
“คะ ?”
“ตอนนี้เธออยู่แรงก์อะไร ?”
อุ๊ ? ทำไมอยู่ดีๆถึงถามแรงก์ละ รู้สึกว่าถ้าตอบออกไปคงจะโดนดึงเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากแน่ๆเลย
“แรงก์โกลค่ะ”
“กะ กะ โกล !?”
“ทั้งๆที่พึ่งเป็นจอมเวทย์ไม่ถึงสัปดาห์ ?”
“นี่พวกเรามีรุ่นน้องที่ระดับสูงกว่าหรอเนี่ย !?”
ว่าแล้วเชียว พอฉันบอกระดับจอมเวทย์ของตัวเองไป ทั้งสามคนก็มีสีหน้าประหลาดใจเหมือนตอนที่รุ่นพี่มิโกะได้ยินไม่มีผิด
“แบบนี้ก็ใช้เป็นข้ออ้างไม่ให้คุณมิโกะมายุ่งกับเมืองนี้ได้แล้วนะ เอวาจัง !”
“อึก ! เรื่องนั้น….ไม่ละ ฉันสัญญาไว้แล้วว่าจะประลองกับยัยนั่น เพราะงั้นฉันจะไม่หนี”
เอวากำหมัดแน่น และมองมาที่ฉันด้วยดวงตาที่ข้างในแฝงด้วยความร้อนแรง
รู้สึกได้เลยค่ะว่าตอนนี้กำลังเจอเรื่องวุ่นวายเข้าให้แล้ว
“จะช่วยมาเป็นคู่ซ้อมให้ฉันได้รึเปล่า ?”
ไม่เอาค่ะ !
ไม่เอาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ทำไมฉันต้องทำ ทำไมฉันต้องไป ?
ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจ
นี่ก็บ่ายสามแล้ว
ฉันมีติดดูละครช่อง 3 ตอนหกโมงเย็น
ไม่เอา ! ไม่เอาเด็ดขาด !
นี่ก็ใกล้เวลาเลิกงานของฉันแล้ว เพราะงั้นฉัน- ไม่ – ไป
เอาเงินมาล่อก็ไม่ไปเด็ดขาด ไปซ้อมเองคนเดียวเถอะ !
“เอ่อ..เอ็มเพรส มารีน ทำไมอยู่ๆก็เงียบไปกระทันหันมีอะไรรึเปล่า ?”
พอเธอเห็นฉันเงียบไปแล้วถามมาด้วยความเป็นห่วง ฉันเลยประดับยิ้มบนใบหน้าและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ต้องขอโทษด้วยค่ะ พอดีหลัง 4 โมงฉันมีธุระ”
“งั้นขอยืมตัวก่อนระหว่างนั้นได้รึเปล่า ?”
“แต่ฉันต้องใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนไปทำธุระค่ะ”
“งั้นขอแค่ 30 นาทีก็ได้”
เอ่อ..จะตื้อไปไหนเนี่ย ?
วู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แต่แล้ว ก่อนที่ฉันจะได้ทันปฏิเสธเพิ่ม มันก็มีเสียงแจ้งเตือนดังมาจากเมจิคัลโฟน
เมื่อเปิดออกมา ฉันก็ได้รับแจ้งภารกิจที่เมืองมาซากุระ
‘ประกาศแจ้งเตือน ภัยภิบัติมอนสเตอร์ที่สี่แยกมาซาอิ เมืองมาซากุระ ’
‘LV. ขั้นต่ำ 25’
‘ศัตรู : ออร์คระดับกลาง 5 ตัว’
‘รบกวนจอมเวทย์ที่อยู่ใกล้เคียง ขอความร่วมมือกำจัดเป้าหมายโดยด่วน’
‘อัตราฟูลซิงโคร 10 %’
ทั้งสามคนก็หยิบเมจิคัลโฟนขึ้นมาดู เพราะได้รับการแจ้งเตือนเหมือนกัน
จากนั้นพวกเธอก็พยักหน้าให้กันเบาๆ
เอวากดแอประบบจอวมเวทย์ เรียก กระจกเคลื่อนย้ายให้ปรากฎขึ้นตรงหน้า
เสร็จแล้วทั้งสามคนก็ชูเมจิคัลโฟนขึ้นมาแล้วพูดพร้อมกันว่า—
‘‘‘ แปลงร่าง ! ’’’
ฟุบ !
แสงสีรุ้งห่อหุ้มร่างของทั้งสามก่อนปกคลุมทั่วร่างและแปรเปลี่ยนเป็นอาภรณ์เวทย์
แม่มดอัสนี เอวา
จอมเวทย์หมัดเมาหลินๆ ซู
จอมเวทย์วิถีอัศวิน นานาเสะ
สามเกลอแปลงร่างพร้อมกันราวกับขบวนการสามสี จากนั้นก็กระโดดเข้าไปในกระจกอย่างรวดเร็ว จนแม้แต่จอมเวทย์ระดับอาดามันเที่ยมอย่างฉันยังมองตามไม่ทัน
พรึ่บ !
“เอ๋ ?”
พอรู้ตัวอีกทีทั้งสามคนก็กระโดดเข้าไปในกระจกและเคลื่อนย้ายไปเรียบร้อย ทิ้งให้ฉันอยู่กับจิบิม่อนแค่สองคน ชาที่วางอยู่และขนมเค้กก็ยังไม่ทันได้แตะกันเลยด้วยซ้ำ
ฟิ้ววววว
รู้สึกเงียบอย่างกระทันหันเสียจนได้ยินเสียงหลอนเป็นเสียงลมพัดเลยล่ะค่ะ
ฉันมองไปที่จิบิม่อนและเอียงหัวเล็กน้อย
“ต้องรีบขนาดนั้นเลยหรอ ?”
“วัยรุ่นใจร้อนน่ะ แต่เห็นแบบนี้เด็กๆพวกนี้ก็มีความรับผิดชอบสูง รู้ว่าทุกนาทีมีค่า ไม่เหมือนใครบางคนแถวนี้ที่ควรหัดเอาเป็นแบบอย่าง”
“ใครกันน๊า อ่า ชาอร่อยจัง”
ฉันแกล้งทำเป็นเมินแล้วจิบชา ในเมื่อสามคนนั้นไปแล้ว ฉันก็ไม่ต้องรีบร้อนเคลื่อนไหวอะไร
พอกินเค้กเสร็จ และ จัดการดื่มชาจนหมดถ้วย ฉันก็เดินไปขอบคุณพยาบาลและบอกลาจิบิม่อน
“จะแอบเนียนกลับว่างั้นเถอะ”
“ช่าย ~ ขอตัวก่อนล่ะ ”
และแล้ว ฉันก็ฉวยโอกาสหนีกลับบ้านไปทั้งๆแบบนั้นเลยค่ะ
ดีล่ะ ฉันรอดแล้ว ในที่สุดก็พ้นจากเรื่องวุ่นๆซ่ะที
แต่ทว่า—-
ตกดึกของคืนนั้น มีข้อความส่งมาจากรุ่นพี่แม่มดผ่านทางเมจิคัลโฟนที่แลกเบอร์ติดต่อกันเอาไว้
‘ขอโทษนะ เอ็มเพรส มารีน พอดีว่า นานาเสะขยับตัวมากไปจนแผลเปิดเลยได้นอนโรงพยาบาลต่ออีกสองวัน ส่วนซูก็ดันกระโดดลงพื้นผิดท่า จนเอวกระแทกทำให้กระดูกที่ยังไม่สมานดีหักเพิ่มอีกแล้ว ตอนนี้มีจอมเวทย์ที่สู้ได้ในเมืองมาซากุระเหลือแค่เราสองคนนะ พวกเรามาพยายามกันเถอะ !….ปล. ได้ยินข่าวเรื่องจิบิม่อนรึยัง ?’
อืม…..
อ่า……….
เฮ้อ………….
ฉันเดินวนรอบห้องได้รอบหนึ่ง ก่อนจะไปนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง
รู้สึกว่าร่างกายมันหนักอึ้งขึ้นมาเอง ทั้งๆที่ยังไม่ได้ออกแรงอะไร
คือ จะบาดเจ็บให้ได้ว่างั้นเถอะ อยู่ดีไม่ว่าดี ก็หาเรื่องบาดเจ็บกันเองเฉยเลย
รู้งี้ฉันน่าจะไปด้วยตั้งแต่แรกดีกว่า ตอนนี้เลยกลายเป็นเสียกำลังคนไปสองคนเลยแฮะ
แล้วจะว่าไป จิบิม่อนเป็นอะไรหรอ
แต่คงไม่มีอะไรหรอก ช่างมันเถอะ
ว่าแล้ว ฉันก็เลื่อนดูข่าวสารรอบวันภายในแอปเมจิคัลโฟน ภายในนั้นมีแจ้งประกาศสำคัญต่างๆรวมถึงข่าวคราวน่าสนใจของจอมเวทย์เมืองอื่น
บางทีก็มีพูดถึงมอนสเตอร์ชนิดใหม่ หรือ บ้างก็แนะนำวิธีออกล่ามอนสเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ทว่า ระหว่างที่ฉันกำลังเลื่อนข่าวไปเรื่อยๆก็ไปเห็นภาพที่ดูคุ้นตา
“อ๊ะ !?”
ภาพที่เห็นคือ โรงพยาบาลที่ฉันพึ่งไปมาวันนี้
ภายในพาดหัวข่าว ปรากฎรูป บันไดเลื่อนลอยได้ และ พื้นลอยบริเวณชั้นไหนซักชั้น แต่พอสังเกตุดูที่มุมกำแพงก็จะเห็นเลข 5 เพราะงั้นต้องเป็นชั้น 5 แน่ๆ
แต่เหตุผลที่ฉันหลุดเสียงตกใจออกมา มันเป็นเพราะคราบเลือดสดๆระหว่างรอยต่อบันไดเลื่อนและพื้นลอยที่ถูกเซนเซอร์เอาไว้ต่างหาก
พาดหัวข่าวที่แปะเอาไว้ทำเอาหัวใจของฉันล่วงหล่นถึงตาตุ่ม
‘สลด…มาสคอตในตำนาน ท่านจิบิม่อน ประสบอุบัติเหตุหัวติดอยู่ตรงช่องว่างระหว่างบันไดเลื่อนและพื้นลอยชั้น 5 แม้หน่วยกู้ภัยจะพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถ แต่ท่านจิบิม่อนก็ได้เสียชีวิตคาที่เกิดเหตุ ขณะนี้กำลังดำเนินการพิธีชุบชีวิตท่านจิบิม่อนอยู่ ขอทุกท่านได้โปรดช่วยอวยพรให้การชุบชีวิตสำเร็จลุล่วง’
ดูท่าทางจะไม่มีคนให้ติดต่อขอคำแนะนำไปอีกซักระยะหนึ่งได้ เอาเป็นว่าฉันขอไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตละกันค่ะ