เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 1 หนี้ 2 ล้านเเละการเริ่มต้นใหม่
- Home
- เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !!
- ตอนที่ 1 หนี้ 2 ล้านเเละการเริ่มต้นใหม่
“น้อง Extern คนไข้เตียงนี้แย่แล้ว รีบติดต่อพี่ Resident โดยด่วน !!!”
“คะ..ค่ะ !”
ในตอนนั้น ฉันที่เป็นเพียง นักศึกษาแพทย์ชั้นปี 6 ซึ่งถูกเรียกว่า Extern จะมีรุ่นพี่คอยช่วยดูแลกำกับอีกทีซึ่งเรียกกันว่า Resident
ระหว่างที่ฉันกำลังปฏิบัติหน้าที่ในวอร์ดผู้ป่วยเหมือนกับทุกที อยู่ๆพยาบาลก็แจ้งให้ฉันไปหาผู้ป่วยเตียงหนึ่งที่กำลังนอนหายใจเหนื่อยหอบอย่างทุกข์ทรมาน
“หมอ…ช่วยผมด้วย”
ผู้ป่วยชายอายุ 80 ปีที่มีโรคประจำตัวมากมาย อัตราการหายใจอยู่ที่ 40 ครั้ง/นาที ซึ่งมากกว่าเกณฑ์ปกติถึง 2 เท่า
เมื่อใช้หูฟังฟังที่ปอดข้างขวาก็พบว่า มันไม่ได้ยินเสียงหายใจต่างจากปอดข้างซ้าย
หลังจากนั้นพอลองเอานิ้วเคาะอกสองข้างเทียบเสียงกัน มันก็ได้ยินเสียงโปร่งมากกว่ามาจากทางฝั่งอกขวา
แม้จะไม่มีผลภาพถ่ายทางรังสี แต่ฉันก็สันนิษฐานว่าชายตรงหน้ากำลังเจอกับปัญหา ปอดข้างขวาแตกอยู่
วิธีการรักษาคือการเอาแท่งเหล็กเจาะปอดขวา จากนั้นก็ใส่สายระบายเข้าไปเพื่อระบายลมที่รั่วออกมาเทลงใส่ขวดแก้ว พอเป็นแบบนี้อากาศที่กำลังกดทับเนื้อปอดอยู่ก็จะหายไป
มันเป็นหัตถการที่ฉันทำได้ ฉันจึงติดต่อไปยังรุ่นพี่ของฉันแล้วรายงานไปตามจริง
“ได้ๆ ขออนุญาติคนไข้แล้วจัดการเลย เดี๋ยวพี่ไปดูอีกทีครับ”
เพราะงั้น ฉันจึงบอกกับคุณตาคนนั้นที่สติเริ่มพร่าเรือนจากปริมาณออกซิเจนในเลือดที่กำลังลดต่ำลง
“อ่า…ได้….”
เพราะคุณตาอนุญาติแล้ว ฉันจึงเริ่มทำการเจาะปอดโดยทันทีตามขั้นตอนที่เคยเรียนมา
ทุกอย่างเป็นไปได้สวย
เริ่มจากขั้นตอน ทายาฆ่าเชื้อ ปูผ้า และ ฉีดยาชา
ฉันแทงเข็มเข้าไประหว่างช่องว่างของซี่โครงอย่างช้าๆตามที่เคยเรียนมา ในขณะที่คุณตาคนนั้นกำลังร้องโอดโอยด้วยความทุกข์ทรมาน
“อึก !”
แต่ในระหว่างที่กำลังเจาะปอดอยู่ คุณตาคนนั้นกลับรู้สึกเจ็บแน่นที่กลางอกขึ้นมาอย่างกระทันหัน
ขณะที่ฉันกำลังกำเข็มด้วยมือสองข้างที่สั่นระริก พยาบาลที่คอยติดตามเครื่องวัดความดันก็แจ้งมาว่า
“แย่แล้วน้องหมอ ! BP Drop !!!”
ค่าความดันโลหิตที่เป็นสัญญาณชีพของผู้ป่วยตกลงอย่างกระทันหัน
อัตราการเต้นของหัวใจพุ่งสูงขึ้นกว่าค่าปกติ ก่อนจะลดลงอย่างรวดเร็ว จนคุณตาล้มฟุบลงกับโต๊ะต่อหน้าต่อตา
“แย่แล้ว Arrest ค่ะ ! arrest แล้ว !!!”
หลังฉันเริ่มทำการเจาะปอดไปได้ไม่ถึงสิบนาที หัวใจของผู้ป่วยคนนั้นก็หยุดเต้นลงอย่างกระทันหัน
ในขณะที่ฉันมือไม้สั่นเพราะทำอะไรไม่ถูก พยาบาลก็ขึ้นเตียงไปปั๊มหัวใจกันอย่างเร่งด่วน
ภายในหัวของฉันในตอนนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันขาวโพลนไปหมด
กว่าจะกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง มันก็เป็นตอนที่รุ่นพี่ของฉันกลับมาและคลำชีพจรที่ต้นคอของผู้ป่วย จากนั้นก็เอาไฟฉายส่องไปที่ดวงตา
เมื่อเขามองไปที่กราฟแสดงคลื่นไฟฟ้าหัวใจบนจอมอนิเตอร์ รุ่นพี่ของฉันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่า
“เวลา ตีสาม สามสิบสามนาที ผู้ป่วยเสียชีวิตแล้วครับ….”
“——–!!!”
ทำไมกัน ?
คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด
ฉันทำอะไรผิดงั้นหรอ ?
มีตรงไหนที่ฉันทำพลาดไปกันแน่ ?
ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ ?
ฉันทำตามขั้นตอนทุกอย่างครบแล้วไม่ใช่หรอ ?
ไม่สิ ….ยังไง ทุกหัตถการก็มีความเสี่ยงอยู่แล้ว อาจจะเป็นโอกาส 1 ใน 10000 ที่มันจะพลาดจนถึงตาย
คุณตาก็แค่โชคร้ายเท่านั้นเอง
“น้อง Extern”
แต่แล้วอยู่ๆพี่ Resident ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของฉันก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ใครบอกให้น้องทำเอง ? ทำไมถึงไม่รอพี่ก่อน ?”
อ่าว ?
.
.
.
.
.
“รู้อะไรไหมนักศึกษา สิ่งสำคัญที่สุดก่อนที่หมอจะเริ่มทำหัตถการคืออะไร”
ฉันทำได้เพียงนั่งตัวลีบอยู่ต่อหน้าอาจารย์ที่กำลังทำหน้าดำคร่ำเคร่ง
“ความรู้ค่ะ….”
“ถูกแค่ครึ่งเดียว….”
พออาจารย์ของฉันพูดจบ เขาก็ยื่นใบร้องเรียนแผ่นหนึ่งมาให้
“ผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปเป็นถึงญาติของรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ทางนั้นจึงส่งจดหมายร้องเรียนมายังโรงพยาบาลของเรา ถึงเรื่องที่ไม่ได้แจ้งให้ญาติทราบก่อนทำการเจาะปอด”
“——– !!!”
“แถมก่อนที่จะทำหัตถการ เธอก็ไม่ได้แจ้งให้ผู้ป่วยรู้ถึงผลเสียที่จะตามมา แล้วก็ลืมให้ผู้ป่วยเซ็นยินยอมรับความเสี่ยง ”
“แต่ตอนนั้น มันฉุกเฉินไม่ใช่หรอคะ ?”
“ถ้าตามหลักจริยธรรมมันก็ใช่ แต่ลองดูสิว่าผลลัพธ์ที่ตามมาคืออะไร ? พวกเรากำลังโดนร้องเรียนอยู่ไม่ใช่หรอ ?”
“…………………………..”
ใช่…อาจารย์ของฉันพูดถูก
เพราะฉันลืมสร้างหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร อีกฝ่ายก็เลยฟ้องร้องโรงพยาบาลของพวกเราได้
“แล้วเธอจำเป็นต้องรีบขนานนั้นเลยไหม…ถึงจะเป็นตอนตีสาม แต่เธออยากนอนถึงขนาดกล้าทำหัตถการเองโดยไม่มีรุ่นพี่มาคุม…. ไม่เห็นใจผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปเลยอย่างงั้นหรอ ?”
“ไม่ใช่นะคะ !!!”
แม้ฉันจะพูดออกไปว่ารุ่นพี่ได้อนุมัติก่อนทำหัตถการแล้ว แต่เพราะไม่มีหลักฐานยืนยัน สภาพแวดล้อมรวมไปถึงหลักฐานพยานทั้งหมดก็เลยเบนเป้าความผิดมาที่ฉัน
“รุ่นพี่ Resident ของเธอ บอกว่าเขาไม่ได้อนุญาติ แต่เป็นเธอเองต่างหากที่ทำไปโดยพลการ”
“ไม่ใช่ค่ะ ! หนูไม่ได้ทำเองตามอำเภอใจนะคะอาจารย์ !!!”
“แล้วหลักฐานละ ?”
ทว่า การพูดปากเปล่าก็ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้เป็นหลักฐานได้
“โรงพยาบาลของเราโดนเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนมาก รู้รึเปล่าว่า การกระทำในครั้งนี้ของเธอสร้างความเสียหายให้กับพวกเรามากแค่ไหน ?”
“เรื่องนั้น……..”
“ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ถึงจะอยู่เวรตั้งแต่ 4 โมงเย็นยัน 8 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ครูก็ไม่เคยเจอนักศึกษาคนไหนที่สร้างปัญหาร้ายแรงเท่านี้มาก่อน ทางญาติผู้ตายก็กำลังบีบให้ทางเราหาคนรับผิดชอบ…ตามปกติ…คณะก็คงจะให้เธอแค่ซ้ำชั้นเฉยๆ แต่เพราะทางนั้นกดดันมาพอสมควร พวกเราจึงเหลือทางออกแค่อย่างเดียว”
ฉันได้แต่กำมือแน่นจนฝ่ามือซีดเผือด
หัวใจของฉันเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัวพลางภาวนาให้สิ่งที่เขาพูดออกมา ไม่ใช่อย่างที่ฉันคิด
“มาริซ่า ไฮแลนเดีย เธอจะต้องถูกไล่ออก และ พ้นสภาพจากการเป็นนักศึกษา—”
ทว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมแต่อย่างใด
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
—- ตัวฉันกลายเป็นหนี้ 2 ล้าน ทั้งๆที่ยังเรียนไม่จบ
เพราะแพทย์ใช้ทุนทุกๆคนหากเรียนไม่จบหรือไม่ไปทำงานใช้ทุนตามโรงพยาบาลต่างๆ ทางภาครัฐที่เคยช่วยออกค่าเล่าเรียนให้ก็จะถือว่าเราผิดสัญญาและมาเก็บเงินคืนจากเราเป็นจำนวนเงิน 2 ล้านโกล
ด้วยเหตุนี้เอง ฉันจึงกลายมาเป็นหญิงสาวธรรมดาๆอายุ 21ปี ที่ไม่มีใบปริญญาและไม่มีการงานที่มั่นคง
พ่อแม่เสียไปเมื่อตอนอยู่ปี 6 ทำให้ตอนนี้เหลือฉันตัวคนเดียวพร้อมหนี้ก้อนโต
ญาติสนิทมิตรสหายก็ไม่มีซักคน แม้จะมีเพื่อนสนิทอยู่ แต่หลายๆคนก็แยกย้ายกันไปทำงานไม่ก็เรียนต่อกันหมด จนหลังๆมานี้ไม่ค่อยได้ติดต่อหากัน
แม้จะมีบ้านอยู่ แต่ค่าใช้จ่ายประจำวันก็ต้องหักกับหนี้ที่ต้องจ่ายคืนภาครัฐ
งานที่ทำก็เป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อที่ทำงาน 10 ชั่วโมง แต่ได้ค่าจ้างแค่ 8 ชั่วโมง โดยรวมทั้งเดือนได้ 9000 โกล
เรียกได้ว่าแค่จ่ายค่ากินค่าใช้ประจำวันก็เต็มกลืนแล้ว
ถึงอยากจะทำงานที่เกี่ยวข้องกับสาธาณสุขซึ่งให้รายได้มากกว่า แต่ด้วยความที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ แถมยังถูกขึ้นแบล็คลิสต์เอาไว้ ฉันเลยไม่สามารถไปทำงานในสายอาชีพนั้นได้อีก
ช่วงนี้ข้าวปลาอาหาร ราคาแพง แถมอากาศก็ร้อนจนอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีแอร์
ทุกๆวันฉันต้องตื่นไปทำงานด้วยร่างกายที่อ่อนล้า
ทั้งทำความสะอาด ยกของ จัดสินค้า
แม้จะไม่ต้องแบกรับความคาดหวังเท่ากับตอนที่เป็นนักศึกษา แต่บางครั้ง เวลาเจอกับลูกค้าที่เรื่องมาก มันก็ทำให้รู้สึกหนักใจเหมือนกัน
แถมเพราะเป็นน้องใหม่ ฉันก็เลยโดนรุ่นพี่ใช้งานหนักพอสมควร
แม้ฉันอยากจะเปลี่ยนงานเสียเหลือเกิน แต่ในตอนนี้แค่งานประจำวันของตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ฉันเลยไม่มีเวลามาเลือกหนทางอื่นให้กับชีวิตตัวเอง
“เฮ้อ……..”
ชีวิตที่ควรจะสดใสของฉันพลันพลิกโฉมไปคนล่ะขั้วในเวลาไม่ถึงปี
คุณพ่อคุณแม่ที่คาดหวังให้ฉันมาเรียนทางสายนี้ก็ไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว
ตัวฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากจะทำอะไรต่อ เพราะ เวลาเรียนตลอด 6 ปีที่เต็มไปด้วยการเอาตัวรอด มันก็ทำให้ฉันหลงลืมในสิ่งที่ฉันเคยฝันว่าอยากทำไปจนหมด
ตัวฉันช่างว่างเปล่า…ว่างเปล่าเหลือเกินค่ะ
แถมยังมีหนี้ก้อนโต อากาศก็ร้อนจนอยากเปิดแอร์
แต่แอร์เสีย….แล้วก็ไม่อยากเปลืองเงินมาจ่ายค่าซ่อม
“ฮือ……อยากได้แอร์ใหม่จัง”
ได้แต่นั่งมองฟ้ารับลมอยู่ที่ระเบียง น้ำอัดลมหนึ่งกระป๋องที่ช่วยคืนความชุ่มชื้นให้ลำคอคือสิ่งเดียวที่คำจุ้นชีวิตของฉันในตอนนี้เอาไว้
ไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรรอคอยอยู่
แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า สิ่งที่เรียกว่า อนาคต สำหรับฉันมันคืออะไร
“เฮ้อ……. ”
ได้แต่เก็บความอึดอัดไว้ในใจ คืนนี้ต้องรีบเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ต้องทำงานตั้งแต่เช้า
ป๋อง !
แต่ในขณะที่ฉันกำลังหันหลังให้กับระเบียง เสียงระเบิดเบาๆฟังดูตลกก็ดังมาจากข้างหลัง
พอหันหลังกลับไปด้วยความตกใจ ก็พบว่า—
“อรุณสวัสดิ์นะม่อน คุณหนูมาริซ่า ไฮแลนเดีย…จิบิม่อนผู้นี้ขอแสดงความยินดีที่ได้รู้จักนะม่อน”
ตัวอะไรน่ะ ?
เบื้องหน้าของฉันในตอนนี้คือ ลูกแตงโมสีเขียวที่มีดวงตาสีเหลืองกลมโต แถมยังอ้าปากและเปล่งเสียงพูดแบบมนุษย์ออกมาได้
มันกำลังลอยอยู่เหนือความสูงอาคารสองชั้นที่อีกฟากหนึ่งของรั้วกั้นระเบียง
นี่ฉันกำลังฝันอยู่รึเปล่านะ ?
“ที่เห็นคือความจริงนะม่อน”
เพราะเห็นฉันขยี้ตา เจ้าแตงโมประหลาดจึงพูดย้ำอีกครั้ง
“กระผม จิบิม่อน ผู้ดูแลจาก เอาเตอร์เวิล (Outer World) ไม่ใช่ภาพหลอนที่คุณหนูคิดเองเออเองแต่อย่างใดนะม่อน”
“เอาเตอร์เวิล ?”
“ถ้าจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ในมุมมองของมนุษย์ กระผมคือมนุษย์ต่างดาวน่ะม่อน”
“เอ่อ….”
“อืม…ถ้าฟังแค่นี้ก็อาจจะไม่เชื่อ เดี๋ยวจะแสดงให้ดูล่ะกันว่า กระผมทำอะไรได้บ้างม่อน”
วูบบบ
ทันใดนั้นเอง ฉันก็รู้สึกถึงน้ำหนักตัวที่ลดลงอย่างกระทันหัน
ราวกับว่าตัวเองลอยอยู่ในน้ำ พอมองไปที่พื้นฉันก็พบว่าเท้าของฉันกำลังลอยขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆ
“ว๊าย ! ”
ฉันรีบกดกระโปรงลง เพราะสายลมที่พัดโชยขึ้นมาจากเบื้องล่าง
“นะ นะ นี่มันอะไรกันคะ ?”
“เป็นไงละม่อน ? นี่แหล่ะคือพลังของเวทมนต์ ! สุดยอดไปเลยใช่ไหมม่อน ?”
“เวทมนต์ ?”
เมื่อรู้ตัวอีกที พื้นเบื้องล่างก็กลายเป็นจุดเล็กๆหลากสีจากแสงไฟยามค่ำคืน ภาพมุมสูงที่เห็นอาคารบ้านเรือนขนาดเล็กซึ่งมีถนนและแม่น้ำตัดผ่าน มันช่างเป็นภาพที่งดงามจนยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
“ถ้าเป็นเธอจะต้องเคยดูหนังไม่ก็การ์ตูนจำพวก พ่อมด แม่มด สาวน้อยเวทมนต์ อะไรทำนองนั้นใช่ไหมละม่อน ?”
“ก็เคยดู…เมื่อนานมาแล้วค่ะ”
“แบบนี้ก็อธิบายง่ายหน่อย ….จากการตรวจสอบของผมพบว่า เธอคือมนุษย์ส่วนน้อยหนึ่งในแสนที่มีพลังเวทมนต์แอบแฝงอยู่”
“พลังเวทย์ ?”
“แถมยังเยอะมากๆเลยล่ะม่อน !!! ถ้าเป็นระดับเธอล่ะก็จะต้องกลายเป็นจอมเวทย์ระดับอาดามันเที่ยมได้แน่ม่อน”
“อาดามันเที่ยม ?”
“เพราะงั้นมาทำสัญญากันเถอะม่อน !”
จู่ๆแตงโมพูดได้อย่างจิบิม่อนก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแก้มของเราเกือบจะชนกัน
ลมหายใจอุ่นร้อนดึงฟืดฟาดที่พ่นออกมา แถมยังดวงตาที่เปล่งแสงสีเหลืองอำพัน มันก็ทำเอาฉันรู้สึกสยองหน่อยๆ
“ถ้าทำสัญญาเป็นจอมเวทย์ล่ะก็ เงินดี สวัสดิการดีมากๆเลยนะม่อน !”
สวัสดิการดี ? เงินดีอย่างงั้นหรอ ?
ฉันแทบจะหูผึ่งในทันทีเมื่อได้ยินคำว่า เงินดี สวัสดิการดี
“เท่าไหร่คะ ? เป็นงานแบบไหนหรอ ?”
“ปราบมอนสเตอร์ที่มาจากต่างโลก รายได้เดือนหนึ่งขั้นต่ำก็หลักแสนโกลได้ม่อน แต่ถ้าขยันหน่อยก็เป็นล้าน”
ระ ระ รายได้หลักแสน !?
“ส่วนข้อเสียอย่างมากก็แค่—”
“ตกลงค่ะ !”
“อะไรนะ ม่อน ?”
“ขอฟังรายละเอียดงานหน่อยค่ะ !!!”