เพื่อคุณหนูนางร้าย พ่อบ้านคนนี้สู้ตาย!!! - ตอนที่ 5
ถ้าหากถามว่ารู้จัก ‘หมาบ้าหน้าบาก’ หรือไม่ หากว่าเป็นเด็กนักเลงในเขตที่ 21 แล้วละก็ 80 % ก็ต้องย่อมรู้จักอย่างแน่นอน เพราะหากจะกล่าวว่าเขาคือหนึ่งในตำนานที่มีลมหายใจก็ไม่ผิดอะไรนัก
ในอดีตนั้นเคยมีเด็กนักเลงหลายคนออกหาเรื่องทะเลาะวิวาทข้ามโรงเรียนเพื่อชิงชัยกันว่าใครจะเป็นสุดยอดนักเลงที่แข็งแกร่งที่สุดในเขต 21 มีเด็กนักเลงจากหลายโรงเรียนเข้าร่วมในศึกครั้งนี้ เป้าหมายมีเพียงหนึ่งเดียวก็เพื่อรวบรวมเขตที่ 21 ให้เป็นหนึ่งเดียว
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจะได้เป็น ราชาแห่งเขตที่ 21 ยอดนักเลงประจำเขต ผู้มีอำนาจเหลือล้น
แต่แล้ววันหนึ่งท่ามกลางสงครามที่กำลังร้อนระอุดุเดือดเลือดพล่าน
ในวันนั้นได้มีชายหนึ่งก้าวเท้าเข้ามาในสงครามอย่างเงียบเชียบ
ชายผู้เข้ามาจบสงครามด้วยคนเดียว
ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร มาจากที่ไหน รู้แค่เพียงว่าหน้าตาของเขานั้นโหดเหี้ยมเกินกว่าที่จะเป็นเด็กนักเลงที่อายุไม่เกิน 18 ปี มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับเขามากมายหนาหู ว่าเขาเคยเป็นฆาตกรที่เพิ่งออกมาจากคุกบ้างละ เคยเสพยาเกินขนาดจนหน้าแก่บ้างละ หรือไม่ก็ว่ากันว่าเขานั้นคือลูกชายของหัวหน้าแก๊งมาเฟียกลุ่มหนึ่ง
ยิ่งมีข่าวลือหนาหูเท่าไหร่ชื่อเสียงของ ‘หมาบ้าหน้าบาก’ ก็ยิ่งโด่งดังในหมู่เด็กนักเลงในเขต 21 จนลุกลามต่อไปยังเขตอื่นๆ
เหล่านักสู้เลือดร้อนทั่วแดนสารทิศ ถึงกับกล่าวขวัญกันว่า …ถ้าหากอยากจะรวบรวมเขตที่ 21 ให้เป็นหนึ่งและขึ้นเป็นราชาก็จงเอาชนะ ‘หมาบ้าหน้าบาก’ ให้ได้เสียก่อน’
นับแต่นั้นเหล่าเด็กนักเลง แยงกี้ เด็กแว๊น และนักสู้เลือดร้อน ผู้คนมากต่างเดินทางมายังเขตที่ 21 เพื่อโค่นล้มชายผู้ไม่เคยแพ้ใครเลยสักครั้งเดียว
ชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในเขต 21
ชายผู้ไม่เคยคิดจะขึ้นเป็นราชา
ไม่เคยออกคำสั่ง ไม่เคยออกหน้า
สิ่งที่เขาทำมีเพียงรอให้ใครสักคนมาโค่นล้มแต่เพียงเท่านั้น และมันผู้นั้นจะได้เป็นราชาแห่งเขตที่ 21 อย่างแท้จริง
“—นั่นแหละคือที่มาของหมาบ้าหน้าบาก”
“เว่อร์ไปมั้ง…”
“อย่าได้ดูถูกไปเชียวละ แค่อาทิตย์นี้อาทิตย์เดียวหมอนั่นก็กระทืบคนเข้าสถานพยาบาลไป 50 กว่าคนแล้ว ขนาดยกพวกรุมตีมันคนเดียวยังไม่มีใครเอามันลงเลย และที่สำคัญนะหมอนั่นน่ะไม่เคยเอาจริงในการต่อสู้สักครั้งเลยด้วย”
“ไม่เคยเอาจริงในการต่อสู้สักครั้ง?”
“ใช่แล้ว ไม่เคยเลย เพราะอะไรน่ะเหรอ ในขณะที่เด็กนักเลงเก่งๆ ระดับท็อปๆ ล้วนแล้วแต่มีความสามารถในด้านเวทมนตร์ เอาเวทมนตร์มาใช้ในการต่อสู้ แต่ว่าเจ้าหมอนั่น หมาบ้านหน้าบากน่ะ ไม่เคยใช้เวทมนตร์ให้ใครเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ก็ยังเอาชนะผู้ใช้เวทแบบไม่เหนื่อยเลย แค่พลังกายล้วนๆ ก็จัดการคนเป็น 10 คนได้แล้ว ดูเหมือนว่ายังไม่มีใครแกร่งพอจะทำให้หมอนั่นเอาจริงได้”
“ขะ ขนาดนั้นเลยเรอะ น่ากลัวชะมัด โชคดีแล้วที่หนีออกมาจากในตรอกกันก่อน ขืนอยู่ต่อมีหวังได้โดนฆ่าแหงๆ เฮ้อ…น่าสงสารเด็กผู้หญิงคนนั้นนะ ทั้งๆ ที่ออกจะสวยแท้ๆ แต่ถ้าอยู่กับคนน่ากลัวแบบนั้นสองต่อสองละก็มีหวังโดนทำอะไรบ้างก็ไม่รู้”
“ถึงจะน่าสงสารแต่ก็คงทำอะไรไม่ได้หรอก ก็ผู้หญิงคนนั้นมันนิสัยโคตรจะแปลกประหลาดเลยนี่หว่า เอาแต่พูดอะไรไม่รู้อยู่คนเดียวไม่เห็นจะรู้เรื่องเลยสักนิด จ้างงานบ้างละ ให้ไปกลั่นแกล้งบ้างละ อยากได้คนหน้าตาโหดๆ มาทำงานด้วยบ้างละ”
“ก็นะ ไม่ต้องไปสนใจก็ได้มั้ง …เอ่อ จะว่าไป ทำไมหมอนั่นถึงได้ถูกเรียกว่า ‘หมาบ้าหน้าบากละ’ เท่าๆ ที่ฟังมารู้แค่ว่าหน้าบากเฉยๆ นี่”
“อ้อ เรื่องนั้นน่ะ …เดิมทีแล้วหากมองจากภายนอกก็ดูเป็นคนหน้าตาน่ากลัวที่แค่มองหน้าก็เหมือนว่าจะถูกฆ่าได้ก็จริงอยู่ แต่แท้จริงแล้วเจ้านั่นน่ะเป็นคนใจเย็นแบบสุดๆ ไปเลยล่ะ”
“ใจเย็นเรอะ ไอ้คนหน้าตาแบบนั้นน่ะนะ”
“ใช่ ปราบใดที่พูดคุยด้วยดีๆ ก็จะพูดดีๆ ตอบ ต่อให้พูดจายียวนชวนหาเรื่องแต่ถ้าเลี่ยงปัญหาได้ก็จะยอมเป็นฝ่ายเลี่ยง คงเพราะรู้สึกรำคาญละมั้ง”
“ไม่เห็นเข้าใจ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉายา ‘หมาบ้าหน้าบาก’ ละ”
“หึๆ ที่มาน่ะก็ตามชื่อเลยนั่นแหละ โดยพื้นฐานแล้วหมอนั่นน่ะเป็นนักเลงที่โคตรใจเย็นและให้เกียรติคู่ต่อสู้ แต่ว่าถ้าเกิดมีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ไปแตะต้องเรื่องนั้นของมันละก็…”
“เรื่องนั้น?…”
“แผลเป็นรอยบากยังไงล่ะ”
“เรื่องแค่นั้นเนี่ยนะ”
“เพราะเรื่องแค่นี้แหละที่ทำให้เจ้านั่นได้รับฉายานี้ มันน่ะเป็นคนที่รักและภาคภูมิในใจรอยแผลเป็นตรงแก้มของตัวเองเป็นอย่างมาก ระดับที่ว่าถ้าได้ยินใครมาพูดเกี่ยวกับแผลเป็นแบบเสียๆ หายๆ ล่ะก็มันจะโมโหหนักเลือดขึ้นหน้าจนสติหลุดไล่กระทืบอีกฝ่ายโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นจนกว่าทุกอย่างพังพินาศสิ้น บ้าคลั่งเหมือนหมาบ้าที่ไร้ซึ่งปลอกคอ”
“นะ น่ากลัวชะมัด!”
“เด็กนักเลงทุกคนน่ะรู้เรื่องนี้กันดีหมดนั่นแหละ จะมีก็แค่ไม่กี่คน กับเด็กจากเขตอื่นที่อยากเข้ามาลองดี ก็นะ อยากจะลองดีต่อสู้กับหมาบ้าหน้าบากยังไงก็เชิญ แต่ว่าห้ามพูดเกี่ยวกับแผลเป็นของเขาแบบเสียๆ หายๆ เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นล่ะก็…ซี้แหงแก๋ได้ไปนอนคุยกับรากมะม่วงแน่นอน”
“คงไม่มีไอ้หน้าโง่แบบนั้นอยู่หรอกมั้ง ต่อให้มีก็คงเป็นไอ้หน้าโง่จากเขตอื่นนั่นแหละ”
“ก็นั่นสินะ ฮ่าๆๆๆ”
ในวันนี้กลุ่มเด็กนักเลงเล็กๆ จากเขตที่ 21 ก็ยังคงใช้ชีวิตกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง
และในอีกด้านหนึ่งของมุมเมือง ดูเหมือนว่าจะมี ‘คนจากเขตอื่น’ กำลังจะทำในสิ่งที่ไม่ควรทำที่สุดในชีวิตของเขา
ชายหนุ่มรูปงามยิ้มเยาะใส่อีกคนที่กำลังจ้องกลับมาตาเขียว
“เฮอะ หน้าตาก็ไม่ดีนิสัยก็ยังย่ำแย่อีก ไม่ไหวเลยนะครับ ไหนจะแผลเป็นรูปรอยหน้าตาทุเรศนั่นอีก คิดว่านั่นจะทำให้ผมกลัวคุณเหรอครับ บอกเลยว่าผิดถนั—”
“—พูดจนพอใจแล้วรึยังไอ้เวรตะไล…”
ทันใดแรงกดดันมหาศาลก็แผ่ซ่านออกมาจาก จอมเวทเสเพล หรือ ชื่อจริงๆ ก็คือ ‘เชอร์ริล ลูเน่ เอลินอสโซ่’ เด็กหนุ่มผู้สืบสายเลือดขุนนางชนชั้นสูงยังต้องผงะ
“อ่า… ดันพูดออกมาซะได้ ดันพูดออกมาซะได้นะแก เมื่อกี้แกพูดว่ายังไงนะ พูดกับแผลเป็นรูปรอยบากสุดเท่ของชั้นว่ายังไงนะ?”
“อะไรกัน โกรธเหรอครับ จะให้ผมพูดซ้ำอีกรอบก็ได้นะ ว่า…แผลเป็นรูปรอบบากหน้าตาทุ—”
—เปรี้ยง!!!
“หุบปากไป ไม่อยากได้ยิน!!!”
เพียงแค่พริบตาเดียว เชอร์ริลก็กำลังรับรู้ว่าตัวเองกำลังลอยค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ภาพของท้องฟ้าปรากฏอยู่ในสายตาเขาอย่างช้าๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เจ็บ…ทำไมที่ใบหน้าของเขามันถึงได้เจ็บปวดรวดร้าวขนาดนี้ ทำไม ทำไมกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น…
กว่าสมองจะตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นร่างของชายหนุ่มก็ปลิวกระเด็นไปชนกับแผงลอยขายผลไม้ที่วางอยู่ข้างทาง
“บังอาจพูดว่า ‘แผลเป็นรอยบากหน้าตาทุเรศ’ จนได้นะ ไอ้เวรตะไล!!! เดี๋ยวพ่อจะจับเชือดให้เดี๋ยวนี้แหละ!!!”
เชอร์ริลรู้สึกเจ็บที่หน้ามาก เขาพยายามควบคุมสติ นึกย้อนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกต่อยตอนไหน รู้ตัวอีกที่ก็สัมผัสได้ถึงแรงกระแทก ไม่ทันจะได้กระพริบตาด้วยซ้ำ
‘เชอร์ริล ลูเน่ เอลินอสโซ่’ เขานั้นตั้งแต่เด็กแล้วเขานั้นถูกผู้คนโดยรอบเรียกว่า ‘อัจฉริยะ’ มาแต่กำเนิด ไม่ว่าจะเรื่องการเรียนหรือกีฬาเขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมไม่เคยมีใครเทียบเทียม
เขาถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะเลยก็ว่าได้เพราะไม่ว่าทำอะไรเขาก็ทำได้ดีไปเสียทุกอย่าง ครอบครัว ครูบาอาจารย์ แม้กระทั้งอาณาจักร ไม่ว่าใครก็ตามก็ต่างคาดหวังในตัว ‘อัจฉริยะที่ร้อยปีจะมีสักคน’ ผู้นี้
เชอร์ริลนั้นมีความสามารถในด้านเวทมนตร์ที่สูงมาก พรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์ของเขาเทียบเท่ากับจอมเวทระดับสูงสุดของอาณาจักร ด้วยพลังเวทอันมหาศาลในกาย และมันสมองอันเฉียบแหลง หากในอนาคตเขาจะเป็นสุดยอดจอมเวทก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดคาด
กระนั้นก็ตามแม้ว่าเชอร์ริลจะเป็นจอมเวท แต่ก็ไม่มีเลยสักครั้งที่เขาละเลยการฝึกฝนร่างกาย จอมเวทโดยส่วนใหญ่นั้นมีจุดอ่อนในด้านระยะประชิด เพื่อกลบจุดอ่อนของตนเอง เขาฝึกทั้งศิลปะป้องกันตัวมือเปล่า และวิชาอาวุธต่างๆ นาๆ จนเชี่ยวชาญ
หากมีเด็กผู้หญิงผมสีทองตาสีอำพันผู้บอกว่าตนเองเป็นนางร้ายมาสปอยล์ว่า ‘เชอร์ริล ลูเน่ เอลินอสโซ่ คือชายผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเนื้อเรื่องหลัก’ ก็หาได้เป็นเรื่องตลกที่แต่งขึ้นมามั่วซั่วแน่นอน
แต่แล้วในวันนี้ ในสถานที่แห่งนี้ นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่อัจฉริยะผู้ซ่อนเขี้ยวเล็บเสียบาดแผล ทั้งยังเสียบาดแผลให้กับกุ๊ยข้างถนนที่ใช้กำลังข่มขู่เด็กผู้หญิงไม่มีทางสู้
เชอร์ริลไม่อาจยอมรับเรื่องนั้นได้
“…นี่แก!!! อย่าคิดว่าเรื่องมันจะจบง่ายๆ นะ!!!”
เด็กหนุ่มผละตัวออกจากซากปรักหักพัง หน้าตาหล่อๆ ของเขาบูดเบี้ยวจนดูไม่ได้เสียแล้ว
“เมื่อกี้แค่เล่นงานทีเผลอหรอกน่า ครั้งต่อไปผมไม่มีวันโดนต่อยอีกแล้ว!!!”
วินาทีที่จอมเวทเสเพลกำลังเอ่ยคาถาร่ายเวทมนตร์ วินาทีนั้นคือวินาทีเดียวกันกับที่เซนาสเริ่มใจเย็นลงและได้สติว่าตัวเองนั้นได้ทำอะไรลงไป
…ชิบหายแล้วไง
ทั้งๆ ที่ต้องแกล้งยอมแพ้แต่เนิ่นๆ แต่เขาดันกลับโมโหเลือดขึ้นหน้าเพราะโดนจี้ใจดำเรื่องแผลเป็น จนสติหลุดวิ่งไปต่อยหน้าอีกฝ่ายจนกระเด็น
จะให้ขอโทษตอนนี้ก็ดูท่าจะไม่ทันซะแล้ว อีกฝ่ายที่ได้รับโค้ดเนมว่า [จอมเวทเสเพล] ก็ดูท่าจะเป็นจอมเวทตัวจริงเสียงจริง ก่อนหน้านี้ที่วิ่งไปต่อยอีกฝ่ายได้ก็เพราะเซนาสเล่นทีเผลอตอนอีกฝ่ายไม่ทันระวัง
แต่ตอนนี้ดูท่าทางนั้นจะโมโหจัดน่าดูถึงขั้นร่ายเวทมนตร์มาสู้แล้ว
ถ้าต่อยตีกันปกติยังพอว่า แต่เล่นใช้เวทมนตร์ขนาดนี้ก็เท่ากับว่ากะเอาตาย ซึ่งสำหรับเซนาสแล้วเป็นสถานการณ์คับขันอย่างแน่แท้ และหากถามว่าเพราะอะไรน่ะหรือ คำตอบก็ง่ายๆ …ก็เพราะเซนาสนั้นใช้เวทมนตร์ไม่ได้ยังไงละ
ถ้าโดนเวทมนตร์โจมตีใส่ตรงๆ ละก็จบเห่แน่นอน
โดยทั่วไปแล้วมีประชากรเพียง 1 ใน 5 เท่านั้น ที่สามารถใช่เวทมนตร์ได้ ส่วนที่เหลือเป็นคนทั่วไปที่ไม่มีความสามารถทางเวทมนตร์ ซึ่งเซนาสเป็นหนึ่งในนั้น
ข้อดีของเขามีเพียงสภาพร่างกายที่แข็งแรงเกินกว่าคนทั่วไปนิดหน่อย อันเกิดจากกรรมพันธุ์และการตรากตรำทำงานหนักมาตั้งแต่ 7 ขวบ ทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้อง
หากไม่นับในส่วนนี้เซนาสนั้นก็เป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วๆ ไป ซึ่งแน่นอนว่าคนธรรมดาทั่วไป จะเอาอะไรไปสู้กับผู้ใช้เวทมนตร์ได้กัน ตามหลักเหตุผลแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีทางเลยที่คนธรรมดาจะต่อสู้เอาชนะผู้ใช้เวท
แต่…ก็ใช่ว่าจะไร้หนทางเลยเสียทีเดียว
[คติประจำบ้านเซเลสตี้ฉบับพิเศษ เมื่อศัตรูสามารถใช้เวทมนตร์ได้]
ไม่ใช่เวลามาลังเลอีกต่อไปแล้ว ถ้าเขาไม่ ‘ป้องกันตัว’ เขาก็จะต้องบาดเจ็บ และถ้าเขาบาดเจ็บหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลล่ะก็ …ได้เสียเงินจำนวนมากแน่นอน เขาไม่อยากเปลืองเงิน
[1.จงพุ่งเข้าไประยะประชิดให้เร็วที่สุด]
เซนาสดีดตัวเองไปข้างหน้าด้วยแรงขาอันทรงพลังจากการที่เคยวิ่งส่งหนังสือพิมพ์ เอกสาร ไปรษณีย์ และอื่นๆ ฯลฯ ทุกวันๆ มานานแรมปี จนขาของเขานั้นเรียกได้ว่าแข็งแรงระดับนักกีฬาโอลิมปิก
ไม่ทันไรระยะห่างกับเป้าหมายก็แคบลงในชั่วพริบตา แม้แต่เชอร์ริลที่กำลังเอ่ยร่ายเวทยังรู้สึกตกใจที่เซนาสสามารถลดระยะห่างได้เร็วขนาดนี้
[2.จงเล่นงานที่ลำคอ]
ทันทีที่เขามาถึงระยะเซนาสก็ทำการเล็งไปยังจุดอ่อนของผู้ใช้เวทมนตร์ทุกคนทันที
วิธีการร่ายเวทมนตร์ที่นิยมและง่ายที่สุดคือการใช้ ‘คำร่าย’ เพื่อให้เวทมนตร์เกิดผล หากว่าผู้ใช้เวทไม่สามารถร่ายเวทมนตร์ได้ก็เท่ากับจบกัน
แน่นอกว่ามีผู้ใช้เวทบางคนใช้เวทได้โดยไม่ต้องร่าย ทว่าการถูกเล่นงานลำคอโดยไม่ได้ตั้งตัวนั้นก็สร้างความตื่นตระหนกได้อยู่ไม่น้อย
“คิดว่าผมจะยอมโดนลูกไม้เดิมๆ เล่นงานเหรอครับ!”
ไม่มีทางที่เชอร์ริลจะยอมโดนเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว แม้ว่าเขาจะเป็นนักเวท แต่ศิลปะการต่อสู้ของเขาก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร เชอร์ริลสามารถยกแขนขึ้นมาปกป้องลำคอของตนเองได้ทันท่วงที
“เล่นงานลำคอของผู้ใช้เวทเป็นอันดับแรกฉลาดดีนี่—แค่ก!”
[3.หากเล่นงานลำคอพลาดจงเล่นงานที่ลิ้นปี่]
กำปั้นของเซนาสอัดเข้าไปยังใจกลางลิ้นปี่ของอีกฝ่ายแบบเต็มๆ จนสำลักออกมา
เชอร์ริลเพิ่งมานึกเสียใจได้ว่าการโจมตีที่ลำคอเมื่อครู่นี้เป็นการหลอกให้เขายกแขนขึ้นสูงเพื่อปกป้องลำคอ แต่ทว่าในความจริงแล้วอีกฝ่ายนั้นได้เล็งส่วนที่อยู่ล่างลงไปต่างหาก
การถูกเจาะลิ้นปี่ทำให้เขาสำลักอย่างรุนแรงหมดโอกาสร่ายเวทมนตร์
“ละ เล่น…สกปรก…นี่หว่า…”
“เฮ้ยๆ มวยข้างถนนไม่มีคำว่าสกปรกนา”
จุดอ่อนของเชอร์ริลคือการที่เขานั้นเตรียมรับมือการต่อสู้ตามที่เคย ‘ฝึกซ้อมมา’ ซึ่งนั่นแตกต่างกับการต่อสู้จริง และอย่างยิ่งกับ ‘มวยข้างถนน’ ที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์แล้วด้วย
“จะจำเก็บไว้ใช้ครับ”
“แล้วยังไงต่อดีละ จะต่อมั้ย?”
“ถ้าตอบว่าไม่ละครับ”
“ก็จะอัดจนกว่าจะยอมแพ้นั่นแหละ”
การแลกหมัดของทั้งสองได้เริ่มขึ้น ไม่สิ แทนที่จะเรียกว่าแลกหมัดต้องบอกว่าอีกฝ่ายนั้นถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียวเสียมากกว่า แม้ว่าระหว่างการต่อสู้ดูเหมือนเชอร์ริลจะเริ่มจับทางและสวนกลับเซนาสได้บ้าง แต่ประสบการณ์มันต่างกันเกินไป
เซนาสที่โดนนักเลงเข้ามารุมหาเรื่องแทบทุกวัน กับเชอร์ริลที่เคยแต่เพียงฝึกฝนวิชาจนเชี่ยวชาญแต่ไม่เคยลองสนามจริง
ไม่มีทางเลยที่เชอร์ริลในเวลานี้จะสามารถเอาชนะเซนาสได้ในเรื่องการชกต่อย
และแล้วในที่สุดก็รู้ผลเสียที
รอบข้างถูกอาบด้วยแสงสีส้มของพระอาทิตย์ยามอัสดง
“…ให้…ตาย…สิ….”
ร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลฟกช้ำล้มลงนอนกับพื้น
“ทำไมไม่ใช่เวทมนต์ละ”
ส่วนทางด้านเซนาสนั้นไร้ซึ่งบาดแผลโดยสิ้นเชิง
“คุณเองก็ไม่ใช้ไม่ใช่รึไงครับ ถ้าอีกฝ่ายไม่คิดจะใช้เวทผมเองก็ไม่คิดจะใช้เหมือนกัน จะได้ยุติธรรม”
…หมอนี่เป็นลูกผู้ชายกว่าที่คิดอีกแฮะทั้งๆ ที่ดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญแท้ๆ
เซนาสเดินตรงเข้าไปหาร่างนั้นอย่างช้าๆ หมายจะปิดฉากศึกการต่อสู้นี้ให้มันจบๆ ดูเหมือนว่าเขาจะมันมือไปหน่อยจบลืมไปแล้วว่าตัวเองตั้งใจมาทำอะไร
เอาไงดี… ป้าแก่เคยบอกว่าทำอะไรแล้วต้องเก็บหลักฐานไม่ให้คนสาวตัวมาถึงด้วยนี่หว่า แต่แบบนั้นมันอาชญากรรมชัดๆ เลยนี่หว่า
“—หยุดได้แล้วค่ะ!”
ร่างเล็กๆ ที่กำลังสั่นกลัวของเด็กสาวได้มายืนต่อหน้าเขา เธอกางแขนปกป้องชายหนุ่มที่กำลังนอนปวดระบบด้านหลัง
“พอได้แล้วไม่ใช่รึไงคะ ทำไมต้องทำกันถึงขนาดนี้ด้วยละคะ!”
“อ่า…”
…นั่นสินะ ทำไปทำไมกันหว่า
เซนาสเองก็สนสัยในตัวเองเหมือนกันว่าเขาทำไปทำไม ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ต้องถึงทำขนาดนี้ก็ได้
“พอเถอะครับ …เลดี้ …ผม… ไม่เป็นอะไร…”
“อ๊ะ คุณ ไม่เป็นอะไรนะคะ อย่าฝืนสิ!”
“ไม่ต้องห่วง…แค่นี้…รักษาได้ครับ…อึก…”
“ฉันจะรีบรักษาให้เดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
เซนาสมองดูฉากดรามาติกตรงหน้าอย่างเงียบงัน ในตอนนี้เซนาสได้กลายเป็นตัวโกงตัวจริงเสียงจริงไปแล้ว ทั้งๆ ที่ต้องแกล้งแพ้ แต่กลายเป็นว่าบานปลายกว่าที่คิดเสียอีก
เด็กสาวผมน้ำตาลร่ายเวทมนตร์รักษาบรรเทาอาการเจ็บปวดให้กับชายหนุ่ม
“นี่คุณ…ใช้เวทรักษาได้ด้วยงั้นเหรอครับ”
“เอ๋… มะ มันแปลกเหรอคะ?”
“ไม่เลย มันเยี่ยมเลยต่างหาก เป็นเวทมนตร์ที่อบอุ่นและสวยงามมากเลย ผมเพิ่งเคยเห็นเวทมนตร์ที่อ่อนโยนแบบนี้เป็นครั้งแรก”
…เอาละ เอาไงต่อดีละทีนี้
ชิ่งไปเลยตอนนี้ดีไหมนะ
เซนาสหันหลังแล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ ทิ้งความชิบหายที่ตนสร้างไว้เสียดิบดีทิ้งไว้เบื้องหลัง
“นายหน้าบากตรงนั้นน่ะ เดี๋ยวก่อนสิ!”
เชอร์ริลที่กำลังพยายามลุกขึ้นทั้งที่ยังบาดเจ็บตะโกนรั้งเซนาสไว้
“…มีปัญหาอะไร”
…ขอโทษครับ ปล่อยผมกลับไปเงียบๆ เถอะ ได้โปรดอย่าเอาเรื่องผมเลยนะครับ
“บอกชื่อมาซะ…”
“….”
…ขืนบอกไปก็แย่สิครับ เอาชื่อไปแจ้งความขึ้นมา มีหวังโดนป้าแก่ปาดคอแหง
“ดูเหมือนว่าผมจะไม่มีค่าพอให้คุณบอกชื่อสินะ”
“….”
…ปล่อยผมไปเถอะครับพี่ ช่วยอย่ารั้งผมไว้เลย จะให้วิ่งหนีตอนนี้ก็ไม่ดีอีก ช่วยๆ พูดให้เสร็จๆ สักทีเถอะ ให้ผมเดินจากไปเงียบๆ แบบเท่ๆ ทีได้ไหมครับ
“สักวันผมจะทำให้คุณใช้เวทมนตร์โต้กลับมาให้ได้ ไม่สิ…ผมจะเอาชนะคุณให้ได้ คอยดูสิ!”
เซนาสแสยะยิ้มหัวเราะในลำคอก่อนจะเดินจากอย่างเงียบๆ ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดง
“พยายามเขาล่ะ”
เขาเดินออกมาอย่างช้าๆ ปล่อยให้หญิงสาวและชายหนุ่มสองคนไว้เช่นนั้น
เชอร์เหม่อมองแผ่นหลังอันกว้างใหญ่ที่กำลังเดินจากไป นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้พ่ายแพ้ พ่ายแพ้อย่างหมดรูป และเขาจะไม่มีวันลืมโดยเด็ดขาด วันที่อัจฉริยะผู้เคยไม่เคยพ่ายแพ้จะจดจำไปจนวันตาย
อนึ่ง…ตำรวจและรถพยาบาลมักมาช้าเสมอ กว่าจะมีใครมาช่วยเรื่องทุกอย่างก็ได้จบลงไปเป็นที่เรียบร้อย
…
เซนาสเดินกลับมาหานายจ้างของเขาที่กำลังยืนกอดอกหายใจฮึดฮัดด้วยความโกรธกริ้ว
“เอ่อ… สำเร็จอย่างงดงามเลยนะครับ”
“สำเร็จบ้านนายสิยะ! ทำเกินไปแล้วย่ะ! คิดว่าตัวเองเป็นโจสิงห์สังเวียนรึไง!?”
แล้วเขาก็โดนเธอกระโดดถีบขาคู่ใส่เข้าอย่างจัง
ค่าแรงก็ไม่ได้แถมยังโดนถีบอีก ช่างเป็นวันที่ลำบากสำหรับเด็กหนุ่มเสียจริง ว่าแต่โจสิงห์สังเวียนนี่มันอะไรกันหว่า …เรื่องที่ไม่เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเรื่อง