เพื่อคุณหนูนางร้าย พ่อบ้านคนนี้สู้ตาย!!! - ตอนที่ 2
ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ข้างทางผลิดอกออกผลสีเหลืองทองอร่าม สายลมแรกเริ่มพัดโบกแมกไม้ กลีบดอกเหลืองบานสะพรั่งพริ้วไหวไปตามแรงลม
ณ หน้าประตูทางเข้า ‘โรงเรียนเวทมนตร์เซนต์วาเลนเซีย’ โรงเรียนเวทมนตร์อันดับ 1 แห่งอาณาจักรแชลเทอร่า อันเป็นสถานที่ดำเนินเนื้อเรื่องหลักในครั้งนี้
[เมจิกคอลเมจเลิฟเลิฟเวอร์แฟนตาซีอาคาเดมี่ : คว้ารักจับใจนายจอมเวทสุดหล่อในรั้วโรงเรียนเวทมนตร์แฟนตาซี] หรือ เรียกย่อๆ ว่า [เมจเลิฟ]
ชื่อของสิ่งที่เรียกว่า ‘เกมจีบหนุ่ม’ ซึ่งกล่าวโดยเด็กสาวตระกูลขุนนางผู้อ้างว่าตนเองคือผู้กลับชาติมา ‘เกิดใหม่’
ตัวเกมว่าด้วยเรื่องราวของ ‘นางเอก’ หญิงสาวผู้ต้องชีวิตในรั้วโรงเรียนเวทมนตร์ ไปพร้อมกับเหล่าจอมเวทหนุ่มหล่อมากหน้าหลายตา
ข้ามผ่านเรื่องราวมากมาย และเอาชนะศัตรูคู่ปรับอย่าง ‘นางร้าย’ ไปพร้อมกัน
เรื่องราวซึ่งนำไปสู่ตอนจบครองคู่หลายหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับทางเลือกของนางเอกที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์
สิ่งเดียวที่เหมือนกันในรูทเหล่านั้นก็คือ นางเอกได้สานสัมพันธ์กับคนรักที่ตนเลือก ส่วนนางร้ายศัตรูตัวฉกาจต้องถูกเนรเทศออกจากประเทศ ไม่ก็ถูกหนึ่งในตัวเอกฆ่าตาย
ตามฉบับแนวทางของ ‘ผู้กลับชาติมาเกิดใหม่’ คาดว่าคงต้องพยายามหลบเลี่ยงธงตายหรือว่าเดธแฟล็กโดยการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาเกมต้นฉบับ
ทว่า เด็กสาวผู้เกิดใหม่เป็นนางร้ายคนนี้ไม่ได้มีเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนเรื่องราวหรือหลบเลี่ยงเดทแฟล็กใดๆ เลยทั้งสิ้น
เป้าหมายของเธอนั้นออกจะฟังดูตรงกันข้ามและแปลกประหลาดเลยทีเดียว
“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้วสินะ วันที่ฉันจะได้เริ่มการเป็นสุดยอดนางร้ายแบบเต็มตัว”
“ฟังดูไร้เหตุผลจังนะครับ”
“นางร้ายจะไร้เหตุผลก็เป็นเรื่องปกตินั่นแหละ นายยังศึกษามาไม่พอนะ ถ้าจะเป็นลูกกระจ๊อกของนางร้ายก็ต้องร้ายให้สุด ยิ่งนางร้ายทำตัวดอกทองเท่าไหร่เนื้อหาก็จะยิ่งเข้มข้นและน่าลุ้นมากขึ้นเท่านั้น”
“เอ่อ… สำหรับเลดี้แล้วคำว่า ‘ดอกทอง’ ไม่หยาบคายเกินไปหน่อยเหรอครับ…”
“อย่าสนใจเรื่องหยุมหยิมน่า เป็นนางร้ายก็ต้องหยาบคายสิถึงจะสมเป็นนางร้ายตัวจริง”
“ถ้าคุณหนูว่าอย่างงั้น…”
เด็กสาวเอือนเอ่ยกับเด็กหนุ่มข้างกายแบบไม่สนภาพลักษณ์ เธอเป็นสาวงามผู้มีเรือนผมสีทองและนัยน์ตาสีอำพัน ใบหน้าที่ดูเป็นคนหยิ่งทนงตนและเรือนร่างที่งดงามสมส่วนดูเข้ากันกับชุดยูนิฟอร์มสีดำของโรงเรียนเวทมนตร์
ข้างกายของเด็กสาว คือเด็กหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ในชุดสูทเครื่องแบบคนรับใช้สีดำสนิทและเนคไทสีแดงสด ซึ่งมองดูแล้วไม่ได้ดูเข้ากับภาพลักษณ์หน้าตาโหดเหี้ยมของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
ด้วยใบหน้าที่ประหนึ่งเจ้าพ่อแก๊งค้ายา ทำให้เขาดูเหมือนมาเฟียมากกว่าที่จะเป็นคนรับใช้
และแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าคุณหนูคนนี้กำลังพูดเรื่องบ้าบออะไรอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่ในฐานะพ่อบ้านแล้ว คำพูดของเจ้านายคือประกาศิตสูงสุด
เขาคือเด็กหนุ่มที่ชะตาชีวิตพลิกผันให้มาต้องรับใช้คุณหนูผู้เรียกตนเองว่านางร้ายคนนี้ในฐานะของลูกน้องผู้ภักดีที่จะทำทุกอย่างตามที่เจ้านายสั่ง
และเนื่องจากเขาเป็นลูกกระจ๊อกของนางร้าย หลังจากนี้คงมีเรื่องชั่วร้ายให้ทำอีกมากมายเป็นแน่
ตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาตัดสินใจรับใช้คุณหนูผู้นี้ เขาก็ได้สาบานตนเอาไว้แล้วว่าจะสนับสนุนเด็กสาวผู้นี้ให้ถึงฝั่งฝันแม้ว่ามันจะน่าสับสนแค่ไหนก็ตาม
เป้าหมายในครั้งนี้มีเพียงหนึ่งเดียว
เพื่อที่ ‘นางเอก’ จะได้พบฉากจบรักแท้แบบฮาเร็ม ฉากจบฮาเร็มของนางเอกเท่านั้นที่จะทำให้ทุกคนมีความสุข
การรับบทบาท ‘นางร้าย’ ของเธอนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งในการปกป้องโลกให้รอดพ้นจากหายนะ
รักแท้ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีอุปสรรคเป็นตัวชูรส และอุปสรรคที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่คือ ‘นางร้าย’ นั่นเอง
ทว่า ตัวแปรหลักในครั้งนี้กลับไม่ใช่คูณหนูนางร้ายที่อ้างว่าตัวเองกลับชาติมาเกิดใหม่ …แต่เป็น ชายหนุ่มใบหน้าโฉดชั่วแต่จิตใจขาวสะอาด ผู้มีฐานะเป็น ‘พ่อบ้าน’ ชายผู้จะมาทำให้เรื่องราวที่น่าปั่นป่วนอยู่แล้วเละเทะยิ่งขึ้นไปอีก
“เอาล่ะ ลุยกันเลยไหมคุณพ่อบ้าน”
“ครับ คุณหนู”
ขณะที่เอือนเอ่ยเช่นนั้น พ่อบ้านหนุ่มหน้าโฉดก็โค้งคำนับ พยายามเก็บซ่อนสีหน้าตื่นตระหนก
เขาคร่ำครวญในใจ
(นี่ตูมาอยู่จุดนี้ได้ยังไงวะเนี่ย…)
นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มผู้ต้องมาเป็นพ่อบ้านสุดชั่วช้าให้แก่คุณหนูนางร้าย
พ่อบ้านผู้คอยรับใช้ตามคำสั่ง พ่อบ้านผู้อุทิศตนเพื่อความต้องการของผู้เป็นนาย พ่อบ้านผู้ที่ต้องปกป้องคุณหนูแม้ว่าชีวิตตนเองจะหาไม่
นี่คือมหากาพย์เรื่องราวที่จะนำพาไปสู่ความวุ่นวายและการปกป้องโลกในอนาคต
เรื่องราวที่จะไม่ถูกจดจำและบันทึกลงในประวัติศาสตร์หน้าใด
…
“นี่แกไปก่อเรื่องมาอีกแล้วเรอะ เซนาส!”
ผู้ที่กำลังโหวกเหวกโวยวายคือหญิงชราวัย 60 ปี ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยบึ้งตึงแผ่รังสีอัมหิตดั่งยักษ์มาร
เธอสวมชุดคลุมนักบวชสีดำอันบ่งบอกการเป็นแม่ชี ทั้งยังเป็นผู้ดูแลโบสถ์ควบกับสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้
“โธ่… ป้าแก่ ก็ไอ้พวกนั้นมันมาหาเรื่องผมก่อนนี่ ผมแค่ป้องกันตัว ไม่ใช่ความผิดผมสักหน่อย”
เด็กหนุ่มบ่นอุบอิบ ขณะที่กำลังนั่งพับเพียบ ก้มหน้าก้มตา รับคำก่นด่าของ ‘แม่ชีมาทิวด้า’ หญิงชราที่เขาเรียกติดปากว่า ‘ป้าแก่’
สำหรับเขาที่เป็นเด็กกำพร้าแล้ว ป้าแก่ก็เปรียบดั่งผู้ปกครองที่ควรเคารพรัก…
“ป้องกันตัวบ้านแกเถอะ อัดคนสิบคนเข้าโรงพยาบาลน่ะหา!?”
ป้าแก่ยังคงตะคอกแหกปากไม่เลิก เด็กหนุ่มได้แต่นั่งฟังคอตกสำนึกผิด …ซึ่งความจริงแล้วเป็นการแสดง เขาทำหูทวนลม ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่ได้สำนึกเลยสักนิดเดียว
ชื่อของเขาคือ ‘เซนาส เซเลสตี้’ วัย 15 ปี พี่ใหญ่ประจำ ‘สถานรับเลี้ยงเซเลสตี้’ ที่ก่อปัญหาได้ทุกวี่ทุกวัน
“ที่ผมทำไปมันเป็นการป้องกันตัวจริงๆ นา”
จะให้ปรักปรำเขาอย่างเดียวก็ไม่ถูกนัก เพราะที่พูดว่า ‘ป้องกันตัว’ ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทุกประการ
เนื่องด้วยภาพลักษณ์ของเด็กหนุ่มผู้นี้ที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้ที่พบเห็นเท่าไหร่
ขนาดตัวที่สูงใหญ่และกล้ามเนื้อที่แน่นหนาเมื่อเทียบเคียงกับคนวัยเดียวกัน เส้นผมสีดำสนิททรงรากไทรเปิดข้าง แววตาขวางนัยน์ตาเล็กสีแดงฉานดุดันคมกริบดั่งใบมีด กล้ามเนื้อหน้านิ่วคิ้วขมวดปมเคร่งเครียดเหมือนโมโหร้ายตลอดเวลา ริมฝีปากหนาฟันเขียวคมเหมือนปลาฉลาม ทั้งยังมีรอยแผลเป็นรูปรอยบากตรงแก้มซ้าย
แม้จะไม่ได้ถึงขั้นขี้ริ้วขี้เหร่ แต่หากให้จำกัดความละก็ ‘หน้าตาโคตรชั่วน่ากลัวประหนึ่งเจ้าพ่อแก๊งค้ายา’ คงไม่ผิดอะไรนัก
หน้าตาน่ากลัวชวนกดดันที่เด็กเห็นต้องร้องไห้ ผู้หญิงเห็นต้องกรีดร้อง ผู้ชายเห็นต้องหยุดชะงัก ใบหน้าของ ‘เซนาส เซเลสตี้’ นั่นเอง
ด้วยภาพลักษณ์ที่เหมือนอยากฆ่าทุกคนที่มองหน้าเขา ทำให้เซนาสมักถูกเข้าใจผิดบ่อยๆ
แค่อาทิตย์นี้อาทิตย์เดียวก็โดนเข้าใจผิดว่าเป็นอาชญากรมากกว่า 10 ครั้งเข้าไปแล้ว
โดยพื้นฐานแล้วเซนามเป็นเด็กหนุ่มนิสัยดีและค่อนข้างมีมารยาท
หากไม่นับหน้าตาและมองในแง่คนปกติ เขาก็เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาๆ ทั่วไปที่ใช้ชีวิตตามทำนองคลองธรรม
ไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมาย ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสิ่งอบายมุข เช่น บุหรี่ สุรา หรือยาเสพติด และไม่เคยชอบเรื่องชกต่อยหรือการทะเลาะวิวาท
ทว่าแม้จะไม่ได้อยากมีปัญหากับใครก็ตาม แต่ปัญหามันมักจะพุ่งเข้าใส่เขาเสมอ
และถ้าโดนหาเรื่องยังไงก็ต้องป้องกันตัวไว้ก่อน …ถึงบางครั้งเขาจะตอบโต้อีกฝ่ายรุนแรงไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็ยังถือว่าเป็นการป้องกันตัว
“ป้าแก่ ผมน่ะสู้มือเปล่า แต่อีกฝ่ายเล่นยกโขยงมารุม อาวุธครบมือ แถมยังใช้เวทมนตร์ได้อีก ดูยังไงผมก็ผู้เสียหายชัดๆ รอดมาได้ก็ดีถมแล้ว”
“นี่แกจะยังมากล้ายอกย้อนฉันอีกเรอะ รู้ไหมว่าใครต้องเหนื่อยไปเคลียร์ปัญหาให้แกหลังจากก่อเรื่องน่ะ?”
ป้าแก่ยังคงตวาดแว้ดๆ ใส่เขาไม่เลิก
“ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้ว ถ้าอยากเล่นงานอีกฝ่ายนัก ทีหลังก็เชือดทิ้งปกปิดหลักฐานไปเลย อย่าให้ใครมาสาวตัวถึงได้ แล้วดูแกสิทิ้งหลักฐานไว้เพียบ”
“เป็นงั้นไป…”
…นี่ป้าแก่ยังเรียกตัวเองว่าแม่ชีผู้ดูแลศาสนาได้อีกเรอะ
เซนาสนั้นเข้าใจดีว่าที่อีกฝ่ายดุด่าขนาดนี้ก็เพราะว่าเป็นห่วงเขา แต่น่าเสียดายความรู้สึกผิดไม่ได้อยู่ในหัวเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย
“ให้ตายเถอะ นี่แกคิดจะทำตัวแบบนั้นต่อไปถึงเมื่อไหร่ ไม่คิดจะเรียนต่อแล้วรึไง”
“อย่างผมแค่ได้เรียนพื้นฐานก็พอแล้ว ยังไงก็ไม่รู้จะหาเงินจากไหนมาเรียนต่ออยู่แล้ว สู้เอาเวลาไปหางานทำดีกว่า…”
“เป็นเด็กเป็นเล็กหัดสนใจเรื่องเงินแล้วเรอะ แกน่ะแค่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนๆ ไปให้จบก็พอ!”
“จะให้ผมทำแบบนั้นได้ยังไงเล่า! ป้าแก่ ผมเป็นพี่ใหญ่นะ อย่าคิดว่าผมไม่รู้ว่าตอนนี้โบสถ์กำลังเป็นหนี้สินบานเบอะ จะให้เอาเงินจากไหนมาเรียน”
…ทั้งที่ตัวเองก็ป่วยออดๆ แอดๆ เดินไม่ค่อยไหวแท้ๆ ยังฝืนออกไปหาเงินมาโปะค่าใช้จ่ายอยู่ได้ อายุก็มากแถมต้องดูแลพวกเด็กๆ อีก จะฝืนก็ดูอายุตัวเองหน่อยเถอะ ป้าแก่งี่เง่า
เซนาสบ่นอิดออด พลางคิดในใจไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้
“นั่นมันเรื่องของฉัน เรื่องเงินฉันจัดการเอง ส่วนแกฉันบอกให้เรียนแกก็ต้องเรียน!”
“ผมไม่สน!”
เซนาสแยกเขี้ยวขู่ฟ่อ สีหน้าเหี้ยมที่หากคนทั่วไปมาเห็นก็อาจมีหัวใจวายกันบ้าง น่าเสียดายที่มันใช้ไม่ได้ผลกับป้าแก่ที่คุ้นชินกับหน้าตาของเขาแล้ว
จะนั่งให้โดนด่าแบบนี้ต่อไปก็เสียเวลา เซนาสจึงใช้จังหวะที่ป้าแก่พลั้งเผลอลุกขึ้นหนี
“ขอตัวไปทำงานพิเศษก่อนละ!”
“อ๊ะ! เดี๋ยวสิไอ้เด็กบ้า! ยังคุยกันไม่จบ!”
ไม่ทันขาดคำเด็กหนุ่มก็วิ่งหนีออกไปข้างนอกเสียแล้ว
ก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังสถานที่ทำงานพิเศษ
“…ไอ้เรื่องการเรียนน่ะเลิกคิดมาเป็นชาติแล้ว”
เซนาสบ่นกับตัวเอง
เขาคือพี่ใหญ่สุดประจำสถานรับเลี้ยง เนื่องด้วยหน้าตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นักทำให้เขาไม่เคยอยู่ในตัวเลือกรับอุปการะเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เด็กกำพร้าส่วนใหญ่อายุเพียง 4-9 ขวบเท่านั้น มีเพียงเซนาสเท่านั้นที่เลขอายุกระโดดมาวัย 15 ปี ซึ่งเป็นพี่ใหญ่สุดในบ้าน
“จนกว่าเจ้าพวกนั้นจะโตพอหรือถูกรับเลี้ยง เราไม่มีหน้ามาใช้เงินมั่วซั่วหรอก เราต้องหาเงินมาเยอะๆ ให้ได้”
นี่คือการตัดสินใจของพี่ใหญ่แห่งบ้านเซเลสตี้
…
“ละ ไล่ออกเหรอครับ!?”
“อืม… ขอโทษนะพ่อหนุ่ม แต่ฉันตัดสินใจแล้วละว่าเธอทำงานที่นี่ต่อไม่ได้”
เซนาสทุบมือลงบนโต๊ะสำนักงานเจ้าของไซส์ก่อสร้างที่ตัวเองทำงานพิเศษ
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมก็ทำงานดีมาตลอดนี่ครับ ไม่เคยทำพลาดเลยด้วย ร่างกายผมแข็งแรงกว่าผู้ใหญ่บางคนด้วยซ้ำ”
“ใช่ เธอพูดถูก แม้ว่าเธอจะหน้าตาไม่รับแขก แต่ก็ขยันขันแข็งตั้งใจทำงานกว่าคนอื่นๆ แต่ว่า…ภาพลักษณ์ของเธอมันไม่ส่งผลดีต่อกิจการของพวกเรา”
“ภาพลักษณ์?”
“เธอน่ะมีเรื่องชกต่อยบ่อยใช่ไหมละ ขอโทษนะ แต่ทางเบื้องบนเขาไม่ชอบน่ะ ฉันเองก็ลองพูดดูให้แล้วว่าเธอเป็นแรงงานชั้นดีแม้ว่าจะอายุน้อย แต่สำหรับบริษัทแล้วภาพลักษณ์น่ะเป็นสิ่งสำคัญ การที่เธอมีข่าวชกต่อยไม่เว้นวันมันทำให้ภาพพจน์ของพวกเราเสื่อมเสียไปด้วย ฉันคงจ้างเธอต่อไปไม่ได้แล้วละ”
“ตะ แต่ว่า… ผมไม่ได้เป็นคนเริ่มวิวาทนะครับ…”
“ใครเริ่มก่อนมันสำคัญตรงไหน เรื่องสำคัญคือเธอมีปัญหาบ่อยเกินไป ขอโทษนะพ่อหนุ่ม เธอตั้งใจทำงานมาตลอด ฉันจะเพิ่มโบนัสให้ก็แล้วกัน ฉันช่วยได้แค่นี้แหละ”
“…อะไรกัน”
เซนาสเดินออกมาจากห้องสำนักงานพร้อมกับค่าแรงและโบนัสก้อนสุดท้าย
“โดนไล่ออกอีกแล้ว…”
เด็กหนุ่มเดินออกมาจากไซต์ก่อสร้างอย่างโซซัดโซเซพร้อมกับถุงเงินสดในมือ
“ที่นี่ก็ไม่รอดเรอะ อุส่าห์หาที่ทำงานพิเศษเหมาะๆ ได้แล้วเชียว นี่มันงานที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย หลังจากนี้จะไปหางานที่ไหนต่อดีล่ะ”
เซนาส เซเลสตี้เป็นเด็กหนุ่มที่เริ่มออกหางานทำเพื่อหาเงินตั้งแต่ 7 ขวบ
เนื่องด้วยหน้าตาที่ดูจะแก่เกินวัยไปบ้าง เขาจึงสามารถโกงอายุและเข้าสมัครงาน
แม้จะหน้าตาน่ากลัว แต่ก็ยังพอหางานพิเศษทำได้เช่น งานทำความสะอาด รับจ้างจัดสวนทำสวน พนักงานเสิร์ฟ โรงงาน ขนอิฐ และอื่นๆ ฯลฯ
ทว่าเมื่อร่างกายเติบโตขึ้นมีความแข็งแรงมากขึ้น รูปลักษณ์ของเขาก็ดูน่ากลัวขึ้นมาทันที
บวกกับที่เขามีเหตุให้ต้อง ‘ป้องกันตัว’ บ่อยครั้ง ยิ่งทำให้ภาพพจน์คนดีของเขาป่นปี้ กลายเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในเมือง
แค่ในปีนี้ก็ปาไป 19 ครั้งแล้วที่เขาถูกไล่ออกจากงานพิเศษ
ระยะเวลาที่ได้ทำงานสั้นสุดคือ 1 อาทิตย์ นานสุดคือ 3 เดือน หากเป็นคนทั่วไปคงถอดใจเลิกหางานทำแล้วไปเป็นโจร
ทว่าเซนาสไม่ใช่แบบนั้น เขาเติบโตมาในโบสถ์ ทำให้มีความยุติธรรมในหัวใจอย่างเปี่ยมล้น และรังเกียจเรื่องไม่ดีเฉกเช่นคนทั่วไปควรเป็น
ต่อให้ถูกไล่ออกเป็นพันครั้ง หรือชะตากรรมกลั่นแกล้ง เซนาสก็ไม่คิดจะยอมแพ้
เขากระชับใบปลิวรับสมัครงานที่หามาจากทั่วเมืองจนหนาเป็นตั้งๆ
อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีสักที่แหละที่รับเขาเข้าทำงาน
…ทว่า
หลังจากผ่านไปเพียงแค่ชั่วโมงเดียว
เด็กหนุ่มก็ต้องคอตกอีกครั้ง
วิ่งเต้นไปมาตั้ง 13 ที่แต่ไม่มีหวังเลยสักที่ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ไม่คิดจะรับเข้าทำงาน แถมยังไล่ตะเพิดออกมาอีก
วุฒิการศึกษาไม่มี แถมหน้าตาก็ไม่น่าไว้วางใจ จะไม่มีใครกล้ารับเข้าทำงานก็คงไม่แปลก
เซนาสถอนหายใจ
ขณะที่กำลังเดินเตะฝุ่นมุ่งหน้าไปยังที่ใหม่ เซนาสก็เดินผ่านร้านค้าร้านหนึ่งซึ่งมีกระจกบานใหญ่ตั้งอยู่
ผืนกระจกสะท้อนใบหน้าของเขาให้เห็น
ใบหน้าของเซนาส เซเลสตี้ ใบหน้าดุดันตาขวางไม่เป็นมิตรและแผลเป็นรูปรอยบากที่แก้ม
สีหน้าเหมือนสัตว์ดุร้ายที่กำลังโมโหตลอดเวลา
ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไร ที่เห็นนี่คือสีหน้าตามปกติ ทว่ากล้ามเนื้อหน้าเขามันเป็นแบบนี้โดยอัตโนมัติมานานแล้ว
“หรือว่าเรายิ้มน้อยไปกันนะ?”
คิดได้ดังนั้นเด็กหนุ่มก็ลองยิ้มดู เรียกได้ว่าเป็นการยิ้มครั้งแรกในรอบปีเลยก็ว่าได้ ไม่รู้ว่าตัวเองลืมวิธียิ้มไปแล้วหรือยัง
ยิ้ม…
ทว่า แทนที่จะเรียกว่ายิ้ม เรียกว่าเป็นการเกร็งกล้ามเนื้อทั้งใบหน้าเสียจะถูกกว่า กล้ามเนื้อตึงเกร็ง ใบหน้าบูดเบี้ยวริมฝีปากฉีกกว้างราวกับอวตารของจอมมารปีศาจ
สยองฉิบ…
แม้แต่เจ้าตัวเองยังตกใจ คนทั่วไม่คงไม่ต้องพูดถึง ถ้ามีใครผ่านมาเห็นสีหน้านี้เข้าคงได้ตะโกนลั่นว่า ‘ปีศาจมา! หนีเร็ว!’ แน่นอน
เซนาสรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เนื่องจากใบหน้าชวนเรียกตีนของเขานั้นมักจะสร้างปัญหาให้เขาอยู่เสมอ ไม่ว่าที่โรงเรียน หรือที่ทำงานพิเศษ
แต่ถึงกระนั้นเซนาสก็ไม่เคยรู้สึกเกลียดชังใบหน้าของตนเอง ไม่ว่ามันจะลากปัญหามาให้เขามากแค่ไหน เซนาสก็ยังคงภาคภูมิในหน้าตาและไม่มีความคิดที่จะปกปิดมัน
“ลองจัดทรงผมสักหน่อยจะดูดีขึ้นไหมนะ?”
แน่นอนว่าคำตอบคือไม่ การจัดทรงผมของเซนาสนอกจากจะทำให้สายตาดุดันของเขาเด่นชัดขึ้น ยังเป็นการเลื่อนระดับจาก ‘นักเลงหน้าโฉด’ กลายเป็น ‘หัวหน้าแก๊งมาเฟีย’
ขณะที่เขากำลังจัดการตัวเองในกระจก ที่ด้านหลังของเขาก็มีหญิงชราถือไม้เท้านางหนึ่งกำลังเดินผ่านไป เธอเพิ่งกลับมาจากตลาด จึงมีข้าวของแบกไว้พรุงพรัง
และช่างโชคไม่ดีเลย ที่ในจังหวะนั้นขาของหญิงชราได้สะดุดเข้ากับก้อนหิน ทำให้เธอหกล้มจนข้าวของร่วงกระจุยกระจาย
เซนาสที่เห็นดังนั้น ร่างกายขยับไปโดยอันโนมัติ
เขาเดินเขาไปหาหญิงชราเพื่อไถ่ถามอาการ และช่วยเหลือเก็บข้าวของที่กระจัดกระจาย
“เป็นอะไรไหมครับ คุณยาย?”
“ขอบใจนะพ่อหนุ่ม ไม่เป็นไรๆ แค่ยายสะดุดนิดหน่อ—กรี๊ด!!!”
หัวใจของหญิงชราแทบกระดอนออกจากอก เมื่อเธอเห็นใบหน้าของเซนาสที่ยังคงฝืนยิ้มค้างไว้อยู่
เธอรีบลุกขึ้นเก็บข้าวเก็บของก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าได้กลับมาเป็นสาวอีกครั้ง
“อย่าทำร้ายกันเลย ฉันยังอยากรักษาความบริสุทธิ์อยู่นะ!”
“ดะ เดี๋ยวก่อนสิครับ!”
ไม่ทันขาดคำหญิงชราก็วิ่งหนีไปแล้ว
อ่าว…
เสียงกรีดร้องของหญิงชราที่วิ่งหนีไปทำให้ผู้คนโดยรอบหันไปยังเด็กหนุ่มผู้หน้าตาไม่น่าไว้วางใจเป็นตาเดียว
พวกเขาต่างออกอาการตื่นตระหนก บางคนถึงขั้นตะโกนเรียกสันติบาล
“มะ ไม่ใช่นะครับ ผมไม่ใช่คนน่าสงสัยนะครับ!”
เสียงระฆังของผู้ตรวจการกำลังใกล้เข้ามา เซนาสจำใจต้องวิ่งหนีไปเสียก่อน โดยไม่ทันได้แก้ไขข้อเข้าใจผิด
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ!”
เด็กหนุ่มผู้น่าสงสารวิ่งหนีเข้าไปในตรอกซอยหลีกเลี่ยงสายตาของพวกสันติบาล
เขาไม่อยากถูกจับเขาโรงพักอีกแล้ว ขืนโดนอีกมีหวังถูกป้าแก่บนจนหูชาอีกแน่ๆ
ในมือของเซนาสยังคงกำใบประกาศรับสมัครงาน เขามองดูมันแล้วถอนหายใจแผ่วเบาออกมา
หนึ่งในนั้นคือใบประกาศรับสมัครพลทหาร แต่เซนาสก็ทำได้เพียงมองข้ามมันไป
“ทำไมป้าแก่ถึงไม่ยอมให้เราสมัครทหารกันนะ เอาแต่บอกให้ไปเรียนหนังสืออยู่ได้”
ในปัจจุบันอาณาจักรแชลเทอร่ากำลังประสพปัญหาข้อพิพาทกับจักรวรรดิข้างเคียง แม้จะยังไม่ถึงขั้นก่อสงคราม แต่ก็ยังอยู่ในการเฝ้าระวัง
นอกจากนี้การรุกรานจากสิ่งที่เรียกว่า สัตว์อสูรเองก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ กองกำลังทหารจึงเป็นที่ต้องการจำนวนมาก
ตามกฎหมายของอาณาจักร เมื่ออายุครบ 15 ปีจะสามารถทำการสมัครเข้าเป็นทหารได้ ทว่าเซนาสที่กำลังสนใจการเป็นทหารกลับถูกผู้ปกครองที่เคารพรักอย่างป้าแก่คัดค้านหัวชนฝา
‘เป็นทหารมันไม่มีอะไรดีหรอก เด็กอย่างแกแค่ไปเรียนหนังสือให้จบแล้วไปหางานดีๆ ทำก็พอ’ แล้วก็โดนฉีกใบสมัครทหารทิ้งเสียอย่างนั้น
เซนาสได้แต่สงสัยกับความคิดของป้าแก่ เพราะเขารู้สึกว่าการเป็นทหารน่าจะเหมาะสมแล้วสำหรับคนแบบเขา
ถ้าเกิดว่าเซนาสตั้งใจเรียนจนจบและค่อยหางานทำอย่างที่ป้าแกว่า แล้วจะมีคนอยากรับคนหน้าตาน่ากลัวอย่างเขาเข้าทำงานจริงๆ งั้นเหรอ…
ประสบการณ์ที่ผ่านมาของเซนาสทำให้เขารู้สึกว่าต่อให้เรียนจบหรือเรียนไม่จบก็คงไม่ต่างกัน
หรือว่าคนอย่างเขาไม่ควรจะทำมาหากินอย่างสุจริตกันนะ… ถ้าเขาใช้หน้าตาที่หน้ากลัวบวกกับฝีมือการทะเลาะวิวาท บางทีคงเอาดีทางอื่น ฝากตัวไปอยู่แก๊งมาเฟียสักกลุ่มในเมืองนี้แล้ว
แม้ว่าเซนาสจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงของอาณาจักร แต่ก็เป็นเขตที่มีสภาพแวดล้อมย่ำแย่เป็นอันดับต้นๆ เมื่อเทียบกับเขตอื่น
ในเมืองหลวงนั้นมีการแบ่งเขตทั้งหมด 37 เขต ซึ่งที่นี่คือเขตที่ 21 ซึ่งอยู่ทางทิศใต้สุด
สิ่งที่โด่งดังและฉาวโฉ่ที่สุดของเขตนี้คือย่านโสเภณีขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในอาณาจักร ที่เชิญชวนให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามา
ส่วนที่เหลือก็เป็นย่านคนจนไล่ไปจนถึงสลัม
แน่นอนว่าโบสถ์ที่เขาอยู่อาศัยเองก็อยู่ในย่านสลัมเช่นกัน
มีคำกล่าวที่ว่าสภาพแวดล้อมนั้นส่งผลต่อนิสัยของมนุษย์ หากเติบโตในที่ที่ดีๆ ก็จะเป็นคนดี หากเติบโตในที่แย่ๆ ก็จะเป็นคนนิสัยแย่ไปด้วย
สำหรับเด็กกำพร้าจากสลัมอย่างเซนาสอาจไม่มีงานไหนเหมาะสมไปกว่างานนอกกฎหมายแล้วก็เป็นได้
หากไปฝากตัวกับแก๊งนอกกฎหมายสักกลุ่มบางทีอาจหาเงินมาได้เป็นกอบเป็นกำ มากกว่าทนเหนื่อยทำงานพิเศษทั้งปีเสียอีก
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
แม้ต่อให้มันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ตาม
เซนาสก็ยังอยากใช้ชีวิตตามทำนองคลองทำที่ถูกต้องโดยไม่หาผลประโยชน์จากความเจ็บปวดของผู้อื่น
“เอาเถอะ ช่วยไม่ได้นี่นะ ลองดูอีกสักตั้ง”
ในเวลานี้เซนาสยังคงเดินไปตามเส้นทางในตรอกซอกซอยของเขตซึ่งเป็นย่านร้านค้าที่มีการจะจุกตัวของอาคารหลายชั้น
แม้ว่าเวลานี้จะยังเช้าอยู่แต่ภายในตรอกนี้นั้นช่างอึมครึมและน่าวังเวงอย่างบอกไม่ถูก
ขณะที่กำลังหาทางออกจากตรอก เหตุการณ์ผิดปกติก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
ที่ทางข้างหน้านั้นมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังถูกล้อมตรอกโดยผู้ชายท่าทางน่าสงสัย 3 คน
“—ก็ฉันบอกแล้วไงว่ามีเงินให้ด้วยน่ะ”
เด็กผู้หญิงท่าทางบอบบางกำลังถูกคุกคามโดยชายโฉด เป็นเรื่องปกติที่มักเห็นได้ทั่วไปตามตรอกเปลี่ยวไร้ผู้คน
“อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระนะอีหนู เอาแต่พูดจาบ้าบออะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วเนี่ย ไม่เห็นจะเข้าใจเลยว้อย!”
“พวกนายไม่ตั้งใจฟังที่ฉันพูดดีๆ เองนี่นา”
…ให้ตายสิ คนเขากำลังเครียดอยู่แท้ๆ ยังต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้อีก
เซนาสบ่ออุบอิบ ก่อนจะเดินตรงปรี่เข้าไปโดยแทบไม่เสียเวลาคิด
เขากระซิบทวนประโยคหนึ่งใส่กับตนเอง
[คติประจำใจบ้านเซเลสตี้ข้อที่ 3 จงให้การช่วยผู้กำลังตกทุกข์ได้ยากตรงหน้าแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี]
แม้จะมีปากเสียงทะเลาะกันบ่อย แต่เซนาสก็เชื่อฟังคำสั่งสอนเป็นอย่างดี เพราะนั่นคือคำสอนของผู้ปกครองที่เคารพ
“เฮ้ยๆ พวกบ้านนอกที่ไหนกันวะครับ มายืนตอมเด็กผู้หญิงอย่างกับแมลงวัน ถ้าอยากมีเรื่องนักทำไมถึงไม่หาเรื่องกับคนขนาดตัวใกล้ๆ กันละครับ?”
ชายท่าทางน่ากลัวทั้ง 3 หันขวับมาทางเซนาสเป็นตาเดียว
[คติประจำใจบ้านเซเลสตี้ข้อที่ 12 จงใช้วาจาคำพูดที่สุภาพเรียบร้อย และจงนอบน้อมกับผู้อื่นอยู่เสมอ]
ชายที่ดูท่าจะเป็นผู้นำถลึงตาใส่เซนาส แม้จะแอบตกใจตอนที่เห็นใบหน้าโคตรโฉดของอีกฝ่ายในครั้งแรก แต่ผู้นำก็ส่ายหน้าพยายามโยนความกลัวทิ้งไป
“แกว่าไงนะ!”
“บอกว่าถ้าอยากมีเรื่องนักก็มาคุยกับคนตัวใกล้ๆ กันไงครับ ผมว่าผมก็พูดดังฟังชัดแล้วนะครับ รูหูตีบตันหมดแล้วรึไงกัน น่าเป็นห่วงนะ ทำไมไม่ลองไปให้หมอตรวจดูละครับ? ไอ้พวกหน้าแมลงวันครับ”
อนึ่ง สำหรับเซนาสแล้ว การพูดสุภาพ คือแค่เติม ‘ครับ’ ท้ายคำพูดเท่านั้น และอย่าว่างั้นงี้เลยขนาดคนที่คิดกฎนี้ขึ้นมาอย่างป้าแก่ยังไม่เคยเห็นพูดสุภาพเลยสักครั้ง
คำพูดสุดแสนสุภาพของเซนาสทำให้ชายตรงหน้าเดือดปุดๆ พร้อมมีเรื่องทุกเมื่อ
“อ้าว! ไอ้ปากไม่มีหูรูดนี่ วอนตีนซะแล้ว ไอ้เว—อุ้บ!”
แต่แล้วไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพุ่งเข้ามา อยู่ดีๆ อีกสองคนที่เหลือก็พยายามฉุดรั้งไว้สุดกำลัง ทั้งยังอุดปากไม่ให้เขาพูดอะไรต่อได้
“ทำบ้าอะไรของพวกแกวะ!”
“เย็นก่อน! ดูที่แก้มของมันให้ดีๆ สิ!”
“แก้มอะไรวะ แก้มไหน? …อ้อ แผลเป็นรอยบาก—เฮ้ย! ไอ้หมอนั่นมัน… ตะ ตัวจริงเรอะ!?”
“ยังไงก็รีบไปจากนี่เหอะ!”
“อะ อ่า…”
ไม่ทันไรทั้ง 3 หน่อก็รีบวิ่งหนีไปปานฟ้าแลบ ปล่อยให้เซนาสยืนมองแผ่นหลังที่กำลังวิ่งหนีไปแบบงงๆ
“ฝะ ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
…อะไรกันละนั่น
แม้จะไม่เข้าใจ แต่เซนาสก็ปล่อยผ่านไป จบเรื่องได้โดยไม่ต้องตีกันก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องโดนป้าแก่ดุด้วย
เซนาสหันไปมองเด็กสาวผู้เป็นเหยื่อ เช็คให้มั่นใจว่าเธอไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ
แต่แล้วทันใดนั้น โลกทั้งใบก็ราวกับหยุดนิ่ง เมื่อนัยน์ตาของเด็กหนุ่มได้เห็นภาพของสาวงามตรงหน้า
รูปร่างเพรียวบางอ่อนช้อยสมส่วน ผิวพรรณขาวผ่องใสเปล่งปลั่งราวกับเครื่องเคลือบ เรือนผมสีทองประกายแวววาวดั่งแพรไหม ใบหน้าคมสวยได้รูปสมบูรณ์แบบ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเล็กสีชมพูระรื่น นัยน์ตาสีอำพันงามกว่าอัญมณีใดๆ แววตาเฉียงขึ้นรู้สึกถึงความมุ่งมั่นและหยิ่งทนงตน เพียงแค่มองก็รู้สึกราวกับว่าถูกทำให้ต้องยอมจำนนเป็นเบี้ยล่าง
เธอสวมชุดเดรสสีขาวดูราคาแพงเผยส่วนโค้งเว้าโดยเฉพาะอาวุธผู้หญิงของเธอนั้นแม้จะพยายามหลีกเลี่ยง แต่ก็อดกลั้นสายตาให้ไม่จ้องไม่ไหว
ช่วงเวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ ราวกับว่าถูกทำให้ตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดอยู่ชั่วขณะ
ความงดงามตรงหน้าทำเอาเด็กหนุ่มเผลอจ้องมองจนตาค้าง
เซนาสไม่เคยเจอใครที่สวยขนาดนี้มาก่อน หรือต่อให้เจอก็ไม่ใช่ที่นี่ไม่ใช่เขต 21 ที่มีแต่ซ่องโสเภณีกับสลัม
“อะ เอ่อ… คุณไม่เป็นอะไรนะครับ”
“…เอ๋? ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่นา?”
“งั้นเหรอครับ? ดีแล้วละ… เอ่อ งั้นผมขอตัวนะครับ รักษาตัวด้วย ที่แถวนี้มันอันตรายรีบกลับบ้านไปจะดีกว่านะครับ”
การทำความดีไม่จำเป็นต้องได้รับคำขอบคุณ เด็กหนุ่มวัย 15 ปีที่ประสบการณ์เกี่ยวกับผู้หญิงติดลบ กำลังพยายามเดินจากไปให้ดูเท่ที่สุดเท่าที่ทำได้
ใช่แล้ว แค่เดินจากไปแบบเงียบๆ ก็พอ ขืนอยู่นานรังแต่จะโดนอีกฝ่ายหวาดกลัวเสียเปล่าๆ
[คติประจำใจบ้านเซเลสตี้ข้อที่ 4 จงให้เกียรติและให้ความเคารพสุภาพสตรีอย่าได้ขาด…โดยเฉพาะกับแม่ชีมาทิวด้า]
เดินจากไปแบบไม่หันหลังกลับ
นี่แหละสิ่งที่ลูกผู้ชายควรจะกระทำ
“เดี๋ยวก่อนสิยะ! คิดจะไปไหนไม่ทราบ!”
“ครับ…?”
“นายน่ะจู่ๆ ก็เข้ามาจุ้นจ้าน แล้วจะเดินจากไปแบบไม่รับผิดชอบอะไรเลยเนี่ยนะ!”
“ห้ะ?”
“อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้วแท้ๆ เชียว ทำไมต้องเข้ามายุ่งด้วยเล่า!?”
“ก็คุณถูกคุกคามอยู่ไม่ใช่เหรอครับ…”
“คุกคาม? ใครถูกคุกคาม?”
“เอ่อ… ก็คุณไง”
“ฉันอะนะ ฉันคนนี้เนี่ยนะกำลังถูกคุกคาม?”
“ก็ใช่ไง! กำลังถูกนักเลงรุมอยู่ไม่ใช่รึไงครับ!”
“หา!? เข้าใจผิดแล้วย่ะ! ฉันกำลังชักชวนอีกฝ่ายมาทำงานด้วยต่างหากเล่า!”
“เอ๋…???”
เซนาสรู้สึกสับสน นี่เขาเข้าใจผิดไปอย่างนั้นเหรอ แต่สถานการณ์เมื่อครู่ดูยังไงก็ไม่น่าใช่อะไรที่จะเข้าใจผิดได้เลย
ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังสับสนอยู่นั้นเอง จู่ๆ เด็กสาวก็เบิกตากว้าง
“ไม่สิ… เดี๋ยวก่อนนะ นี่นายน่ะอย่าเพิ่งไปไหนนะ อยู่นิ่งๆ ขอดูหน้าชัดๆ หน่อย!”
ดูเหมือนเธอจะเพิ่งสังเกตุเห็นใบหน้าของคู่สนทนาเป็นครั้งแรก
เธอไม่รอช้าเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้โดยทันที เอื้อมมือจับแก้มทั้งสองของเซนาสไว้แน่นไม่ยอมให้หันหนี
ร่างกายแนบชิดจนรู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่ม และกลิ่นหอมๆ เหมือนดอกไม้ลอยแตะปลายจมูก
ใบหน้าใกล้มาก สัมผัสได้แม้กระทั่งลมหายใจ
“หน้าตาแบบนี้ สายตาแบบนี้ รูปฟันแบบนี้ ไหนจะแผลเป็นนี่อีก!”
ทั้งๆ ที่กำลังมองใบหน้าของคนที่ความเป็นมิตรเข้าขั้นติดลบ แต่เด็กสาวกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือแสดงอาการผวาให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
สาวงามจ้องมองเด็กหนุ่มตาไม่กระพริบ
นอกจากป้าแก่และน้องๆ ในสถานรับเลี้ยงก็มีเด็กสาวคนนี้เป็นคนแรกที่กล้ามองเขาตรงๆ โดยไม่เกรงกลัว
การถูกสาวสวยถึงเนื้อถึงตัวแบบกระทันหันไม่ใช่อะไรที่เด็กชายวัย 15 ปีจะสามารถรับมือได้
หัวใจของเซนาสเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ เลือดฉูบฉีดไปทั่วทุกอณูของร่างกาย ใบหน้าถูกย้อมไปด้วยสีแดงราวกับลูกมะเขือเทศสุก
นี่หรือว่าวันที่คนหน้าโฉดเช่นเขาจะเนื้อหอมกับสาวๆ จะมาถึงแล้วกัน
“หน้าตาโคตรชั่วเลย!”
“….”
หัวใจที่กำลังเต้นรัวดับวูบดิ่งลงเหวในทันใด
“สุดยอด ยิ่งเสยผมก็ยิ่งดูชั่ว! หน้าตาน่ากลัวชั่วช้าไม่มีใครเกิน เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็นคนที่หน้าตาชั่วร้ายขนาดนี้แบบนายเป็นคนแรกนี่แหละ ขนาดฆาตกรโรคจิตยังหน้าตาไม่น่ากลัวเท่านี้เลยนะ!”
“….”
“หน้าชั่วสุดเหวี่ยงสุดๆ ไปเลย!”
“…ห้ะ”
เด็กหนุ่มยืนนิ่งไม่ไหวติง เหมือนสมองหยุดทำงานชั่วคราว สติของเขาได้หลุดลอยไปไกลลิบแล้ว
เซนาสได้รับดาเมททางจิตใจอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งกับสาวสวยที่ไม่รู้จักเป็นคนพูดใส่ตรงๆ ด้วยแล้ว ยิ่งเหมือนหมุดแหลมตอกตำอก ปวดราวถึงทรวงใน
เขายืนโซซัดโซเซไม่ต่างอะไรจากต้นไม้เหี่ยวเฉาที่ลมพัดเบาๆ ก็ล้มครืน
หนุ่มน้อยวัย 15 ปีผู้ไร้ซึ่งประสบการณ์เกี่ยวกับผู้หญิง กำลังรู้สึกอยากจะมุดดินหนีหายไปจากโลกให้พ้นๆ บัดเดี๋ยวนี้
เมื่อเด็กสาวได้มองใบหน้าของเซนาสจนพึงพอใจเธอก็ปล่อยมือและถอยตัวออกไป
ระหว่างนั้นสายตาของเธอก็เลื่อนไปเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย
“อ๊ะ นั่นมัน หรือว่า?”
มันคือใบปลิวรับสมัครงานเป็นตั้งๆ ที่เซนาสหามาตามบอร์ดในเมืองนั่นเอง
“นี่นาย… กำลังหางานทำอยู่เหรอ?”
คำถามนั้นของเด็กสาวช่วยดึงสติที่ลอยละลิ่วของเซนาสให้กลับมาเข้าที่
“อ่า…”
เขาพยักหน้าตอบอีกฝ่ายแบบงงๆ
ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้เธอดีดดิ้นตื่นเต้นเข้าไปใหญ่
“เอาจริงดิ!? งั้นก็พอดีเลยสิ นี่มันพรหมลิขิตบรรดาลชักพา โชคชะตาชักนำชัดๆ เลย ไม่อยากจะเชื่อ นี่หรือว่าท่านนางฟ้าทูนหัวกำลังช่วยประทานพรให้ฉันอยู่เนี่ย? บ้าน่า สุดเหวี่ยงสุดๆ ไปเลย! แจ็คพอตสุดๆ!”
“เอ่อ… เดี๋ยวก่อนสิครับ เอาแต่พูดเรื่องอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ไม่เห็นจะเข้าใจเลย…”
“ก็นะ ถือว่าพวกเรามีดวงสมพงษ์กัน ถ้าเป็นในหนังจีนก็คงต้องบอกว่าฟ้าส่งมาให้เจอกัน หรือก็คือฟ้ามีตาสวรรค์เป็นใจ ฟังดูดีสุดๆ เลยเนอะ”
“ก็บอกว่า… ไม่เข้าใจไงครับ แล้วหนังจีนนั่นมันอะไร…”
“ยินด้วยนะ นายสอบผ่าน หน้าตาส่วนสูงตรงสเปกที่ต้องการทุกอย่างเลย ถูกใจฉันสุดๆ! จากนี้ก็ตั้งอกตั้งใจทำงานเข้าละ ฉันคาดหวังความชั่วร้ายสุดเหวี่ยงจากนายอยู่นะ”
“หัดฟังที่คนอื่นเขาพูดหน่อยสิครับเฮ้ย!!!”