เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ - บทที่ 7 : เพราะว่าผมไม่สามารถพ่ายแพ้ได้ยังไงละ!
- Home
- เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ
- บทที่ 7 : เพราะว่าผมไม่สามารถพ่ายแพ้ได้ยังไงละ!
(มุมมองของ เซอร์ บารัต)
………….
………
คิดว่าตัวเองคงได้เข้าสู่ช่วงหลับยาวที่อาจจะไม่มีวันได้ตื่นเสียแล้ว แต่ว่ารู้สึกตัวอีก สองดวงตาก็สามารถลืมตาตื่นใหม่ได้อีกครั้ง ตัวผมหันซ้ายหันขวาไปมา พบว่าตัวเองยังอยู่ ณ จุดๆเดิมกับที่เจอกับปีศาจสีขาวตนนั้น
ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝันร้ายนั้นหรอกเหรอ? ไม่ว่าจะเรื่องปีศาจสีขาวตนนั้น หรือว่าจะเรื่องของผู้กล้าลีโอนาร์ที่หันดาบเข้าใส่ พอคิดอย่างนั้นก็รู้สึกโล่งอก แต่พอพยายามจะลุกขึ้นยืนก็สัมผัสได้ถึงบาดแผลบริวารหน้าท้องได้ …
“ไม่ใช่ความฝัน”
แต่ว่า—ความตายไม่ได้มาถึง
ตัวผมแปลกใจ ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันหน้า จนกระทั่งใบหน้าของผู้กล้าลีโอนาร์แวบเข้ามาในหัว คำตอบของคำถามก็ได้รับการคลี่คลาย ตัวผมเผลอยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
****
แสงสีขาวพุ่งตรงใส่ร่างของ เซอร์ บารัต ไม่ผิดแน่ นี่คือวาระสุดท้ายของเขา เพียงแต่ว่า—ตัวผมพุ่งออกไป และเอาร่างตัวเองบังแสงสีขาวนั่นเอาไว้
“!!”
พลังงานประหลาด แสงสีขาวคือพลังทำลายล้างที่ยากจะจินตนาการได้หากไม่ได้รับรู้ด้วยตัวของตัวเอง เพียงแสงเล็กๆครั้งเดียวร่างก็ระเหยไปกับพลังทำลายล้าง …เหลือเพียงความว่างเปล่า ไม่เหลือกระทั่งเศษซากใดๆ แต่ว่าพรแห่งผู้กล้าได้ทำงาน ตัวผมกลับมาจากความว่างเปล่าด้วยร่างที่เปลือยเปล่าพร้อมกับดาบแห่งผู้กล้าเล่มเดียว
“แฮก ..แฮก ..แฮก”
“อมตะจริงๆด้วยสินะ”
ผู้ปลดปล่อยแสงสีขาวออกมา– ‘อานิม่า’ ทำสีหน้าหงุดหงิดอย่างไม่ปิดบัง ผมรู้สึกหวาดกลัวจนแทบอยากจะหนี แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะข้างหลังของผมมี เซอร์ บารัต อยู่ เขายืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า ก่อนที่ร่างจะค่อยๆล้มลงกับพื้น ร่างกายของเขามาถึงขีดจำกัดแล้ว แต่ว่าไม่ถึงกับตาย แค่สลบไป
“ท่านลีโอนาร์ ท่านตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ จะเลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับท่านดราแคล์ หรือว่าจะเข้าข้างพวกมนุษย์ที่ตั้งใจจะสังหารทุกคนทิ้ง ช่วยตัดสินใจเลือกให้มันแน่ชัดด้วย”
“..ผมจะไม่ปล่อยให้ เซอร์ บารัต นำกองทัพมาฆ่าทุกคน และจะไม่ยอมให้ เซอร์ บารัต ตายด้วย”
เพราะอย่างนั้นผมถึงได้ตัดสินใจวิ่งตามมาในท้ายที่สุด ผมตั้งท่าดาบใส่ อานิม่า และควบคุมลมหายใจตัวเองให้คงที่
“รู้รึเปล่าว่าเพราะท่านหนีออกมาโดยไม่พูดอะไรไม่พอ ยังทิ้งหน้ากากทองคำลงแม่น้ำอีกเนี่ย ทำให้สถานะของท่านจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ใช่กงการอะไรของท่านดราแคล์แล้ว การที่ฉันจะฆ่าท่านซะตอนนี้เลยก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
“…”
“คงคิดในใจอยู่ว่าตัวเองเป็นอมตะคงจะไม่เป็นอะไร แต่ว่านั่นสินะ ก็จริงอย่างที่ท่านคิดเอาไว้เลย ต่อให้เล่นงานจนท่านต้องฟื้นฟูตัวเองไปหลายวันได้ แต่สุดท้ายก็จะกลับมาใหม่อยู่ดี ด้วยเหตุนั้น ฉันจะเล่นงานท่านให้เละเทะก่อน จากนั้นก็จะฆ่า บารัต อะไรนั่น ตามด้วยทหารทุกคนในค่าย เพื่อตัดปัญหาภารกิจไล่ตามท่านดราแคล์”
คำขู่ ไม่สิ สิ่งที่อานิม่าประกาศออกมาไม่ใช่คำขู่ เธอตั้งใจจะทำมันจริงๆด้วยน้ำเสียงที่โทสะ ทำให้ผมรับรู้ได้โดยทันที ..เธอคนนี้เกลียดชังมนุษย์ยิ่งกว่าอะไรดี และหลงใหลในดราแคล์
“เธอเองก็เคลื่อนไหวตามใจชอบไม่ใช่รึไง”
“ฉลาดดีนี่”
“ดราแคล์คงจะไม่ใช่คนออกคำสั่งพวกนี้ ที่เธอทำคือการทำตามอำเภอใจ เพราะจับได้ว่า เซอร์ บารัต ได้เบาะแสสะกดรอยตามพอดี แต่กลับไม่แจ้งอะไรแล้วลงมาทำตามใจตัวเองแบบนี้ ในฐานะคนที่จงรักภัคดีกับดราแคล์ นั่นก็เป็นเรื่องที่เลวร้ายไม่ต่างกับที่ผมกำลังจะทำเลยไม่ใช่รึไง”
อานิม่าได้ยินก็ยิ้มออกมา เธอหยักไหล่ตอบกลับผม เธอถอดท่าทางเสแสร้งสุภาพต่อตัวผมทิ้งไปจนหมด ตลอดมาเธอเองก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเหมือนกัน เพราะเธอเกลียดมนุษย์ บางทีการที่ผมหนีออกมาโดยไม่บอกอะไรเลยน่าจะทำให้เธอดีใจอยู่ลึกๆเหมือนกัน
“แล้วยังไงต่อ ท่านคิดว่าจะเอาชนะฉันได้จริงๆเหรอ?”
พลังของอานิม่า มันคืออะไรกันแน่ผมก็ไม่ทราบ แต่คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับเวทมนตร์ที่สุด แต่น่าจะอยู่เหนือขั้นมากไปกว่านั้นอีก เป็นพลังอันตรายที่ต่อให้ใส่ชุดเกราะเต็มยศมารับก็ไม่น่าจะเหลือกระทั่งเศษซากอยู่ดี
ต่อให้ตัวผมตอนนี้จะฟื้นฟูร่างกายได้ในทันที เพราะพรของผู้กล้ามันพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้ว แต่ว่า ..จากการโดนพลังสีขาวไปเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้มานาจากที่เหลือราวแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ก็เหลือแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น จากที่ผมโดนไปครั้งเดียว ก็พอสันนิฐานได้ว่ามันมีความสามารถในการเผาผลาญมานาของเป้าหมายสูง การจะใช้เวทมนตร์ชนตรงๆก็ต้องเป็นปริมาณที่มากกว่าแสงสีขาวนับสิบเท่า ถึงจะพอหักล้างด้วยได้ ซึ่งมานาที่ผมเหลืออยู่ตอนนี้ร่ายออกมายังไงก็ไม่ไหว
เป็นความสามารถที่สามารถทำให้ผมฟื้นคืนชีพไม่ได้ ด้วยการโจมตีถูกเป้าหมายเพียงสองถึงสามครั้ง และเพียงครั้งเดียวในสถานการณ์ปัจจุบันนี้
ที่สำคัญ มันเป็นพลังที่ผมไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อนเลย ไม่มีในบันทึกจากตำราใดๆทั้งนั้นอีกด้วย
ถ้าต้องสู้ คงจะจบที่ผมตาย และต้องรอฟื้นฟูใหม่ในอีกสองสามวันถัดจากนี้
“…ถ้า!”
“ถ้า?”
ไม่รู้ว่าที่พูดไปมันจะได้ผลรึเปล่านะ แต่ว่า ..บ้าเอ้ย นี่ผมต้องพูดอะไรแบบนี้จริงๆเหรอเนี่ย!?
“ถ้าไม่เชื่อฟังผมละก็—ผมจะฟ้องดราแคล์นะ!!”
“….หืม?”
นั่นไง ว่าแล้วเชียวว่าต้องทำหน้าแปลกๆใส่
“เพราะผมน่ะพ่ายแพ้ไม่ได้ ไม่ว่าอานิม่าจะทำยังไง ผมก็จะกลับมาใหม่ได้เสมอ เพราะอย่างนั้นแหละ ถ้าเกิดเธอตัดสินใจลงมือทำอย่างที่บอก ผมจะกลับมาใหม่ และตรงไปฟ้องดราแคล์ทุกอย่างว่าเธอทำตามอำเภอใจตัวเอง”
“ทำไมฉันต้องเชื่อคำขู่ของเด็กน้อยพรรค์นั้นด้วยล่ะ”
“เพราะเธอหลงใหลในดราแคล์อยู่ยังไงละ ถ้าการฆ่าล้างมนุษย์ทุกคนในค่ายทหารไปถึงหูดราแคล์เข้าล่ะก็ เธอคงจะเจอดีหนักทีเดียว!”
“…ชิ”
นั่นไงว่าแล้วเชียว!
“ถ้าเข้าใจแล้วก็ยกเลิกที่คิดไว้ทุกอย่างซะ! ถ้าทำอย่างนั้นผมจะ ..ไม่ฟ้องดราแคล์ เธอก็จะไม่โดนดราแคล์ดุด้วย”
นี่ผม ..ทำตัวเป็นเด็กน้อยขี้ฟ้องไปได้
เพราะพล่ามอะไรแบบนี้ออกมานี่แหละ ทำให้ใบหน้าของผมแดงแจ๋ และอยากจะหายไปจากที่แห่งนี้เต็มทนแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะดักทางเข้าเมืองเคลื่อนที่ทุกๆทาง จะทำทุกอย่างไม่ให้มาถึงตัวท่านดราแคล์ได้”
“ผมจะทำวนไปเรื่อยๆ ทุกเวลา เช้าเย็นหลังอาหาร ทุกครั้งที่ว่างจากงานของผู้กล้า ผมจะบุกรุกประสาทของขุนพลจอมมารดราแคล์ เพื่อไปฟ้องร้องการกระทำเกินกว่าหน้าที่ของเธอ!”
“คิดว่าจะทำได้รึไง?”
“แล้วอะไรทำให้คิดว่าผมทำไม่ได้ล่ะ!? ผมน่ะไม่มีทางแพ้ พ่ายแพ้ไม่ได้ ลองนึกภาพที่ต้องคอยระวังทุกๆชั่วโมงดูสิ ว่าผมจะฟื้นกลับมาแล้วบุกประสาทใหม่ตอนไหนดูสิ!? ลองคิดดูดีๆว่ามันคุ้มรึเปล่า บางทีผมอาจจะบุกไปถึงในวันที่เธอมีภารกิจต้องทำ หรือวันหยุดของเธอ หรือว่าวันที่เธอนอนหลับอยู่ กินข้าวอยู่ อาบน้ำอยู่ จะอะไรก็แล้วแต่ ช่องว่างแค่นาทีเดียวก็จะทำให้ผมชนะเธอได้แล้วละ!!”
ใช่แล้วลีโอนาร์ นี่แหละคือข้อได้เปรียบของนาย—อานิม่ากัดฟันกราม และเริ่มจะคุมตัวเองไม่อยู่ เจ้าหล่อนเอาเขากระแทกพื้นรัวๆ และชี้หน้าด่า
“คึก—ไอเด็กขี้ฟ้องเอ้ย! อย่ามาพูดบ้าๆนะ! คิดว่าตัวเองได้รับความรักเข้าหน่อยจะทำอะไรก็ได้รึยังไงหา!?
“ใช่ไง! ผมอยู่ในสถานะที่พิเศษกว่าเธอ ผมเป็นลูกรักของดราแคล์ เป็นผู้กล้าที่เธอคนนั้นคิดว่าวิเศษยิ่งกว่าผู้กล้าคนอื่นๆ ถึงขนาดยอมทำแทบทุกอย่างเพื่อให้ผมเข้าร่วมด้วย เพราะอย่างนั้นผมจะฟ้องร้องอะไรก็ได้ ถ้าไม่อยากโดนดราแคล์เกลียดก็ฟังที่ผมพูดซะ!!”
“ไอบ้าเอ้ยๆๆๆๆๆ!!!! ไปตายซะๆๆๆๆๆๆ!!!! ไอเด็กเปรตขี้ฟ้องเอ้ยยย!!!”
“หนวกหูๆๆๆๆๆๆ!! ผมจะทำอะไรก็ได้ เพราะผมคือผู้กล้าที่ไม่มีทางแพ้ยังไงละ!!!! ถ้าไม่อยากแพ้ผมก็อย่ามาขวางทางก็แค่นั้น!!!!”
“วันก่อนยังซึมเป็นหมาหงอยอยู่แล้ว จู่ๆก็อย่ามาทำวางท่าสิย่ะ!!!!! บัดซบเอ้ย!!”
“ก็บอกว่าหนวกหูไง!!!!!! เหมือนกับที่ผมโดนนี่แหละ เธอเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกันนี่แหละน่า!!!!!
“ไม่รับรู้ๆๆๆ ไอบ้าๆๆๆๆ ไปตายซะๆๆๆๆๆ!!!!!”
“หนวกหูๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!! จะฟ้องๆๆๆๆๆๆ!!!!”
จากนั้นพวกผมก็ด่ากันไปมาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งในหยุดตก และพระอาทิตย์ยามเย็นก็เริ่มสาดส่อง ..พวกเราสองคนหายใจหอบอย่างรุนแรง หลังจากผ่านการด่าโดยไร้แก่นสารอยู่แบบนั้นไปกว่าสิบนาที ทั้งผมทั้งอานิม่าต่างหน้าซีด และทำท่าคล้ายจะอ้วกแตก
บางทีพลังกายทั้งหมดที่ผมเหลืออยู่ น่าจะเอาไปใช้กับการด่าอานิม่าจนหมดแล้ว
“แฮก ..แฮก …บ้าเอ้ย ทำไมฉันถึงต้องมาพลาดให้กับเรื่องเล็กๆแค่นี้ด้วย”
“แฮก …แฮก ..เพราะผมไม่มีทางแพ้ยังไงละ”
ผมยิ้มตอบกลับแบบเหยาะแหยะ อานิม่ากัดริมฝีปากอย่างเจ็บใจ
“เป็นแค่ผู้กล้าที่อ่อนแอที่สุดแท้ๆ ..ฉันน่ะนะ คิดว่าท่านน่ะโคตรจะขวางหูขวางตาเลย ทำไมกัน กะอีแค่ตัวไร้ค่าในหมู่ผู้กล้า ทำไมท่านดราแคล์ถึงต้องให้ความสนใจมากขนาดนั้นด้วยกัน”
“เรื่องนั้น–ผมก็ไม่รู้หรอก แต่ว่ามาถึงตรงนี้แล้ว ไม่ต้องเรียกผมว่า ‘ท่าน’ แล้วก็ได้มั้ง”
“อย่ามาสั่งกันนะ เป็นแค่มนุษย์แท้ๆ ..”
พวกเราค่อยๆควบคุมลมหายใจ โดยตัดสินใจจะไม่เถียงกันไปมากกว่านี้แล้วในใจ อานิม่ามองผมด้วยสายตาที่เคียดแค้น บางทีอาจจะเป็นความรู้สึกที่รุนแรงยิ่งกว่าที่ใช้มองมนุษย์คนอื่นๆ
การเถียงกันครั้งนี้ ทำให้มาดที่ดูสง่างามของอานิม่าละลายหายไปหมด กลายเป็นสาวขี้วีน แน่นอนว่าทางฝั่งผมเองก็ด้วย มาดเด็กซึมของผมก็ละลายหาย กลายเป็นเด็กขี้ฟ้องไปเสียแล้ว
“..เฮ้อ”
อานิม่าถอนหายใจ เธอปาดเหงื่อ แหงนหน้ามองท้องฟ้า และหยิบบางอย่างออกจากความว่างเปล่า มันคือ ‘หน้ากากทองคำ’ สำหรับใช้ปลอมตัวเป็นเผ่าปีศาจ และเธอก็โยนมันมาให้ผม-ผมรับเอาไว้ และมองดูมัน สภาพของหน้ากากทองคำนั้นเปลียกไปด้วยน้ำ ทำให้อนุมานได้ว่าอานิม่าน่าจะเก็บมันมาจากแม่น้ำ
“ทีแรกตั้งใจจะเก็บเอาไว้กับตัวเองเฉยๆ เพราะไม่อยากให้ท่านกลับไปหาท่านดราแคล์ แต่ว่า ..ไม่ว่ายังไงสักวัน ท่านก็คงจะหาทางกลับไปหาท่านดราแคล์ได้อยู่ดีสินะ”
“…” ผมพยักหน้ารับ “คงจะอย่างนั้นแหละ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเป็นการเสียเวลาอะไร ถ้าจะไปก็รีบไปหาเลย เพราะท่านดราแคล์เขาก็รออยู่ ..ท่านดราแคล์คาดหวังในตัวของท่านลีโอนาร์มากจนน่าสงสัย เทียบกับการถ่วงเวลารอไม่ให้ท่านฝ่ามาหา สู้ให้ท่านดราแคล์มีความสุขอย่างออกหน้าในทันทีน่าจะดีกับตัวของท่านดราแคล์มากกว่า”
อานิม่าพึมพำอย่างผู้พ่ายแพ้ เห็นอย่างนั้นผมก็เดินไปเอามือจับไหล่ของเธอเพื่อปลอบประโลม
“..อย่ามาจับ”
“ขะ ขอโทษครับ”
ผมผละมือออก และหันหลังไปหา เซอร์ บารัต พึ่งจะนึกได้ว่าเขาเองก็เจ็บสาหัส ระดับที่ถ้าไม่รักษาไว้ก่อนก็คงจะไม่ดีสักเท่าไหร่ อานิม่าจึงพูดขึ้น
“ฉันจะรักษาให้เอง”
“..จะดีเหรอ? ไม่ใช่ว่าเกลียดมนุษย์หรอกเหรอ”
“เทียบกันแล้วตอนนี้ ฉันเกลียดท่านลีโอนาร์ที่สุด แค่รักษาให้มนุษย์ข้างทางไม่ได้ลำบากใจเท่ากับใช้อากาศหายใจร่วมกับท่านในตอนนี้สักเท่าไหร่หรอก”
“ขอโทษละกันครับ ถ้านั้นก็ฝากด้วย”
พูดจบผมก็ออกวิ่ง และสวมหน้ากากทองคำ—เป้าหมายคือประสาทของดราแคล์
อานิม่ามองส่งมาจากข้างหลัง เธอยื่นมือออกไปรักษาร่างกายให้ เซอร์ บารัต ด้วยเวทย์รักษาทั่วๆไป พลางบ่นพึมพำ
“บ้าจริงๆ เป็นมนุษย์ที่บ้าบอชะมัด ..” อานิม่าหรี่ตาลง “..แปลกคนชะมัด”