เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ - บทที่ 3 : คำอวยพรที่เสมือนกับคำสาป
ในคืนๆนั้นผมเดินกลับแคมป์ทำอย่างกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เข้าไปนอนในแคมป์ที่ทางกองทัพจัดเตรียมไว้ให้ และหลับตา ข่มตาหลับ ข้ามคืนไปทั้งอย่างนั้น ตัดขาดจากการสื่อสารทั้งหมดที่ควรจะมี และรอให้เวลาตามล่าดราแคล์ช่วงเช้ามาถึง …
วันถัดมา บริเวณก้นเหวยักษ์ที่ควรจะเป็นฐานที่มั่นของดราแคล์ มันกลับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่เลย ..
ผู้กล้าและคณะทั้งสอง และกองทัพทหาร รวมถึงผู้กล้าไร้ค่าหนึ่งคน ได้แต่ยืนมองความว่างเปล่า เวอร์โก้ทุบต้นไม้แถวนั้นด้วยความเจ็บใจ
การที่ภารกิจตามล่าดราแคล์คงจะล้มเหลว ผมอาจจะเป็นคนเดียวที่ยินดี
“บ้าเอ้ย!” เวอร์โก้สบถใส่ทหารที่นำทาง “ไม่มีอะไรเลยเนี่ยนะ อย่ามาล้อเล่นนะเฟ้ย เมื่อวานยังมีรายงานว่ามันยังอยู่ตรงนี้กันอยู่เลยไม่ใช่หรือไง!?”
“ขะ ขอโทษด้วยนะครับ ตัวผมเองก็ ..ไม่ทราบเหมือนกัน”
“ว่าไงนะ? คิดว่าที่พวกแกประจำตำแหน่งมันอยู่ส่วนไหนของสนามรบกันหะ!? ฉันต้องเสียเวลามาที่นี่ตั้งวันสองวันกว่าจะถึงแท้ๆ แกเป็นคนรับผิดชอบไม่ใช่รึยังไง จะรับผิดชอบกับความเสียหายนี้ยังไง!?”
“ระ เรื่องนั้น”
ก่อนที่เวอร์โก้จะบานปลายไปมากกว่านี้ อควาเรียตั้งใจจะไปปราม ทว่า– ‘แม่ทัพ’ ‘เซอร์ บารัต’ ชายผิวดำร่างใหญ่ผู้นำกองทัพในเขตุๆนี้ก็เดินตัดหน้ามาหาเวอร์โก้เสียก่อน ทันทีที่เวอร์โก้เห็น เจ้าตัวก็หน้าเหวอ แปปนึงก็ทำท่าขู่ใส่ ตามปกติเขาจะข่มขู่ทุกคนราวกับสัตว์ดุร้าย แต่ต่อหน้า เซอร์ บารัต เขาทำได้เพียงขู่แบบลูกแมวเพียงเท่านั้น
เหตุผลนั้นไม่ใช่อะไรอื่น เซอร์ บารัต คนนี้คือทหารที่ฝึกฝนพวกเรา ผู้กล้าลำดับที่สิบถึงสิบสองมาโดยตลอด ทำให้มีความทรงจำร่วมกันหลายต่อหลายความทรงจำ ทั้งดีและไม่ดี …ผมเองก็กลัวเขาไม่ต่างกับเวอร์โก้ อควาเรียก็เช่นกัน เธอที่ตะกี้จะออกหน้าช่วยทหาร ก็ทำเป็นผิวปากไม่รู้ไม่ชี้แทน
“พูดถึงคนที่ต้องรับผิดชอบที่สุดก็เป็นฉันที่เป็นหัวหน้าของเจ้านี่ไม่ใช่รึ? มิสเตอร์ เวอร์โก้”
ด้วยความที่เป็นขุนนางจากตระกูลอัศวินชั้นสูง เขาจึงมีคำนำหน้าที่เรียกทุกคนอย่างสุภาพว่า ‘มิสเตอร์’ และ ‘มิส’
“..คึก …หนวกหูน่า! ขอโทษมาซะที่ทำให้ฉันคนนี้เสียเวลาไปตั้งหลายวันน่ะ!”
เวอร์โก้ทำใจแข็งสู้ เซอร์ บารัต ถอนหายใจ
“ไม่มีภารกิจใดที่มีความสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะครับ แล้วก็แค่พวกคุณเสียเวลามา มันก็เป็นการสร้างประโยชน์ทางด้านโอกาสให้พวกเรามหาศาลแล้ว ใช่รึเปล่า มิส อควาเรีย”
“คะ คะ ค่ะ!! เห็นด้วยค่ะ”
สุดท้ายอควาเรียก็โดนลากเข้าวงสนทนาด้วย ..
“แทนที่จะโวยวายเรื่องที่ศัตรูไหวตัวทัน จงยินดีที่พวกคุณมาที่นี่เพื่อหยุดยั้งสงครามกับจอมมารให้เร็วที่สุดเสียจะดีกว่านะครับ”
“ทำไมหนูที่ไม่ได้บ่นอะไรถึงรู้สึกเหมือนโดนหางเลขไปด้วยเฉยเลย” อควาบ่นพึมพำ
“..ชิ” เวอร์โก้ยังคงไม่พอใจ
ทุกๆครั้ง เวอร์โก้จะถูกดุ อควาเรียจะโดนหางเลขไปด้วยแบบไม่ทราบสาเหตุ สุดท้ายก็—
“ดูอย่าง มิสเตอร์ ลีโอนาร์ เป็นตัวอย่างนะครับ พวกคุณควรจะขยันให้ได้สักครึ่งหนึ่งของเขา”
“…..”
“..นั่นสินะคะ คงต้องพยายามมากกว่านี้แล้ว” อควาเรียกล่าวทั้งรอยยิ้ม แต่สายตาไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน
จากที่บรรยากาศกำลังจะดี ทุกอย่างก็ดูเย็นชาขึ้นมาแทน เซอร์ บารัต คงจะไม่รู้ว่ามุกตลกพวกนั้นของเขา ไม่สามารถทำให้พวกเราสนิทกันมากยิ่งขึ้นเหมือนแต่ก่อนได้อีกแล้ว ไม่สิ คงจะยกเว้นแค่ผมคนเดียวมากกว่า ผมถูกสายตาที่เกรี้ยวโกรธของเวอร์โก้ และสายตาที่ไร้อารมณ์ใดๆของอควาเรียจับจ้อง จนทำให้ผมรู้สึกอยากหายไปจากที่แห่งนี้ …ไม่ชอบเลยนะอะไรแบบนี้
เซอร์ บารัต เหมือนจะจับสังเกตุความผิดแปลกนี้ได้ เขาจึงไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ และตัดจบ ยกเลิกการออกล่า ขุนพลจอมมาร ดราแคล์ ในทันที
หลังจากนั้นทุกคนก็กลับที่ฐานชั่วคราว ซึ่งอยู่ติดกับหมู่บ้านขนาดกลางๆ อควาเรียแยกย้ายไปที่ทิศเหนือ เซอร์ บารัต ประจำตำแหน่งเดิม ทำให้ผู้กล้าที่ยังไม่ได้รับหน้าที่ใหม่ เหลือแค่ผมกับเวอร์โก้ ไม่รู้ด้วยความบังเอิญ หรือว่าโชคร้ายอะไร ระหว่างทางเดิน ผมก็จำเป็นต้องสวนกับคณะผู้กล้าของเวอร์โก้เข้า มีกันทั้งหมดสี่คน คนหนึ่งเป็นจอมเวทย์สาว คนหนึ่งเป็นแทงค์หนุ่ม แล้วก็มาเรีย น้องสาวของผมเป็นนักบวช
“….”
“เห้ย”
ผมพยายามข่มใจเดินผ่าน แต่ว่าเวอร์โก้ก็พูดทัก ทำให้ผมต้องหยุดเดิน
“แกคงไม่ได้ดีใจหรอกนะ ที่ภารกิจนี้ถูกยกเลิกไปน่ะ”
ผมดีใจ
“แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว”
“ได้ยินแบบนั้นฉันก็ชื่นใจ ..คิดว่าจะพูดแบบนี้รึไง?”
แน่นอนว่าไม่คิดอยู่แล้ว
“รู้รึเปล่าว่าฉันไวต่อคำโกหก”
รู้อยู่แล้ว
“ตั้งแต่ก่อนเป็นผู้กล้าแล้ว และหลังจากเป็นผู้กล้า พรสวรรค์นี้ก็เหมือนจะยกระดับขึ้นไปอีก อยู่ในขั้นของ ‘พลัง’ มากกว่ารางสังหรณ์”
“….”
“ขอถามหน่อยสิ แกคงจะไม่ได้มีส่วนที่ทำให้ดราแคล์มันหนีไปได้หรอกนะ”
“…..”
“แบบนี้นี่เอง ที่รีบมาถึงคนแรกก็เพราะแบบนี้นี่เองสินะ”
เวอร์โก้ชักดาบแห่งผู้กล้าออกมาจากข้างหลัง ผมสัมผัสได้ถึงความตาย จึงกระโดดถอยหลัง และ—ผมปลิวไปกับแรงเหวี่ยงของอะไรสักอย่าง เมื่อร่างกลิ้งตลบไปมากับพื้นก็สัมผัสได้ถึงบริเวณหน้าท้องของผมที่เกิดรอยผ่าขนาดยักษ์ ระดับที่ถ้าเป็นคนธรรมดา จะตายในการโจมตีเดียว และ ใช่ หากไม่มีพลังอมตะ ผมคงจะตายไปแล้ว ผมกระอักเลือด แต่ไม่มีเวลาทำทีละขั้นทีละตอน ผมชักดาบออกมาป้องกัน แต่ไหล่ก็ถูกฟัน โดยที่ยังตั้งท่าไม่เสร็จด้วยซ้ำ ตามปฏิกิริยาของร่างกาย มือของผมก็ปล่อยให้ดาบแห่งผู้กล้าหล่นลงพื้นไปเอง
ผมพยายามจะใช้มืออีกข้างคว้าดาบ ทว่า
“!!”
เวอร์โก้หมุนตัว ผมไม่เห็นวิถีดาบ มีเพียงแสงเลือนลาง และรอยฟันอีกรอยตรงหน้าท้อง
เร็วมาก เป็นการโจมตีที่เร็วยิ่งกว่าที่ดราแคล์ใช้กับผมเสียอีก
ผมทรุดลงกับพื้น และพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกเวอร์โก้เคลื่อนย้ายพริบตา และเอาขายันร่างเอาไว้ไม่ให้ลุกขึ้นยืนจากข้างหลัง
“อึก..!”
“พี่!!”
มาเรีย ทำท่าจะเข้ามาห้าม แต่ก็ถูกเวอร์โก้มองแรงจนไม่กล้าขยับ …
“เดี่ยวสิ เวอร์โก้ ไม่ว่าจะยังไงไอแบบนี้มันก็เกินไปหน่อย กับผู้กล้าด้วยกันมีกฏว่าห้ามสู้กันนอกสนามประลองไม่ใช่รึไง”
แทงค์ในปาร์ตี้ตั้งใจจะห้าม เช่นเดียวกับมารี ส่วน
“หนวกหู หุบปากไปซะ นี่มันเป็นปัญหาของฉันกับไอเวรนี่!”
เวอร์โก้ขยี้ร่างผมซ้ำด้วยฝ่าเท้า จากนั้นก็ตั้งคำถาม
“ทำไมแกถึงทำแบบนั้น!?”
“ฉันแค่ออกสำรวจพื้นฐาน แล้วก็บังเอิญถูกจับได้ว่ามีผู้กล้าอยู่ใกล้ๆ ดราแคล์ก็เลยหนีไปได้ก็เท่านั้นเอง เป็นความผิดของฉันเอง ขอโทษที่สะเพร่า..”
“โกหกสินะ ต่อให้ไม่ต้องมีความสามารถแบบฉันก็รู้ได้ว่าแกโกหก ไม่ใช่ว่ากลัวการต่อสู้กับขุนพลจอมมารรึไง? จะมารู้สึกผิดอะไร ไม่ใช่ว่ารู้อยู่แล้วรึไงว่าแกน่ะกำลังดีใจ”
ใช่ ผมดีใจที่การต่อสู้ไม่เกิดขึ้น
“พูดจริงๆ”
“ถ้ายืนกรานขนาดนั้นก็ คำถามอื่น ..แก คงไม่ใช่ว่าร่วมมือกับขุนพลจอมมารหรอกนะ”
ผมต้องตอบ ถ้าไม่ตอบ คำตอบมันจะปรากฏออกมาเอง ผมต้องตอบ แต่ว่า ต้องตอบยังไงมันถึงจะถูก—จังหวะนั้น มาเรียก็เข้ามาขวางเอาไว้ ยืนขวางกั้นระหว่างผมกับเวอร์โก้ เธอกางแขนสองข้าง ออกตัวปกป้องผม ทั้งไหล่ที่สั่น ..เธอกำลังร้องไห้
“ขอร้องละ ..หยุดทีเถอะ”
“…ชิ”
เวอร์โก้เก็บดาบเข้าฝัก และเดินผ่านผมไปทั้งอย่างนั้น สมาชิกในคณะอีกสองคนก็เดินตามไป ทำให้เหลือแค่ผมกับมาเรีย ..
“ขอโทษนะ”
“ขอร้องละ พี่ ..ได้โปรด–ช่วยเลิกเป็นผู้กล้าทีเถอะค่ะ”
“…..”
มาเรียพูดทั้งน้ำตา เธอมองที่ร่างกายของผม มันค่อยๆฟื้นฟูกลับที่เดิม แต่คราบเลือดก็ยังติดอยู่ ..เธอมองมันทั้งน้ำตา
“หนูทนเห็นพี่เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว”
มาเรียเช็ดน้ำตา และโพล่งออกมา
“ความสามารถของพี่ …ไม่ได้แตกต่างกับคำสาปเลย”
………….
……..
คำสาป
ผมไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้เลยว่ามันอาจจะเป็นคำสาปแห่งผู้กล้า มากกว่าพรแห่งผู้กล้า เพราะถ้าเป็นพรแห่งผู้กล้าจริงๆ มันคงไม่สามารถทำให้มาเรียร้องไห้ และทำให้ตัวผมน่าสังเวชได้ขนาดนี้
ผมไม่ควรมีชีวิตอยู่จนถึงจุดๆนี้ได้
****
ได้ยินว่าเวอร์โก้เดินทางต่อทันที หลังจากที่เล่นงานผมเสียยับเยิน เขาก็รอให้มาเรียกลับมา และออกเดินทางต่อ ส่วนผมก็ตัดสินใจปักหลักพักผ่อนที่นี่หนึ่งคืน ไหนๆก็ไม่มีงานของผู้กล้าเข้ามาอยู่แล้ว ผมที่ไม่มีอะไรทำเลยตัดสินใจเดินเท้าสำรวจรอบๆหมู่บ้าน
ที่ตัดสินใจโกหกเวอร์โก้ไปว่าสำรวจพื้นที่เฉยๆ เป็นเพราะผมมีนิสัยนี้อยู่แล้วละนะ แต่ก็รู้ดีว่ามันคงเปล่าประโยชน์ เพราะหมอนั่นจับโกหกเก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอเป็นผู้กล้าแบบเป็นทางการ ความสามารถที่เสมือนลักษณะเฉพาะก็ถูกยกระดับเป็นความวิเศษของจริง
ยกตัวอย่างก็ผม ผมสามารถอดน้ำอดอาหารได้หนึ่งสัปดาห์ แต่พอเป็นผู้กล้า ผมสามารถทำได้สองเดือน เพราะความสามารถพิเศษนี่ด้วยส่วนหนึ่ง ทำให้ผมโดนจับไปทำภารกิจที่ทรมานร่างกายอยู่บ่อยครั้ง เป็นปกติ ควรจะตายไปหลายครั้งได้แล้ว แต่ก็ไม่ตาย เพราะพรของผู้กล้า
“….”
เมื่อก่อน ผมสนิทกับเวอร์โก้ และอควาเรียเอามากๆ และมันไม่ได้มีแค่สองคนนั้น มีมาเรีย แล้วก็เพื่อนๆในปาร์ตี้ของผมอีก เพื่อนในปาร์ตี้ของเวอร์โก้ และอควาเรียเองก็ด้วย เป็นเพื่อนพ้องคณะผู้กล้าขนาดใหญ่ ที่มีเวอร์โก้เป็นศูนย์กลาง มีอควาเรียเปรียบเสมือนมือขวา และผมที่เป็นดั่งมือซ้าย สนิทกันไม่แตกต่างกับเด็กๆในหมู่บ้านแห่งนี้เลยสักนิด ผมครุ่นคิดพลางชำเลืองมองเด็กที่เล่นกันในหมู่บ้าน ผมยิ้ม ลำลึกถึงเรื่องสมัยก่อนที่แสนอบอุ่น
แต่ว่า สิ่งเหล่านั้นได้พังทลายยับเยินไม่เป็นชิ้นดี
ถ้าเป็นก่อนได้รับพรผู้กล้า ผมคงจะร้องไห้ออกมาได้กับความรู้สึกในอกนี้ แต่ว่า ..จิตใจมันเข้มแข็งขึ้น จนทำให้กับเรื่องพรรค์นี้ผมร้องไห้ไม่ได้ ผิดกับตอนที่ถูกดราแคล์ดักทางทุกอย่างไว้ได้ ดวงตาของผมแห้งสนิท ..บางครั้งบางคราวก็รู้สึกว่าสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกมันค่อยๆจางหายไป ไม่ใช่ความเป็นผู้กล้า แต่เป็นความเป็นมนุษย์ของตัวผมเอง
ไม่สามารถพ่ายแพ้ได้ เพราะไม่สามารถตายได้ แต่คนรอบตัวสามารถตายได้ ..ความเชื่อใจสามารถละลายหายไปได้
“….”
มาเรียขอให้ผมเลิกเป็นผู้กล้า ..ไม่ใช่แค่มาเรีย ในช่วงแรกๆหลังจากการสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อสองกว่าปีก่อน ถ้าผมจำไม่ผิด ..เวอร์โก้เองก็บอกให้ผมเลิกเป็นผู้กล้า นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เวอร์โก้พูดคุยกับผมอย่างสนิทสนม ทั้งๆที่ผมทำให้เพื่อนคนสำคัญของเขาตายไปแล้วแท้ๆ
“…”
ทำไมผมถึงยังจับดาบของผู้กล้าเอาไว้อยู่และเข้าต่อสู้อยู่เรื่อยมา ทั้งๆที่ใครต่อใครก็เรียกร้องให้ผมปล่อยมันทิ้งซะ ทั้งๆที่ผม ..มาถึงขีดจำกัดแล้วแท้ๆ ผมควรจะมาถึงขีดจำกัดแล้วแท้ๆ! แต่ว่า
ผมขยี้ศรีษะตัวเอง กัดฟันกรามแน่น
“….บัดซบเอ้ย”
ร่างกาย และจิตใจ มันกลับฟื้นฟูกลับมาได้ด้วยพรของผู้กล้า ไม่ใช่ด้วยจิตวิญญาณของตัวเอง
“บัดซบเอ้ย บัดซบเอ้ย บัดซบเอ้ย บัดซบเอ้ย บัดซบเอ้ย บัดเซบเอ้ย …โธ่เว้ย ทำไม”
ทั้งๆที่ตัวตนของผม ตามเดิม มันควรจะถึงตอนจบแล้วแท้ๆ ต่อให้มันจะแสนสั้น และน่าเสียดาย หรือว่าเป็นดั่งโศฐนาฏกรรม แต่ว่ามันก็ควรจะถึงจุดสิ้นสุดได้แล้ว เพราะชีวิตมันนดับไปแล้ว แต่ว่า …อ่า เพราะมันคือคำอวยพรที่เสมือนกับคำสาป
สิ่งที่ผลักดันตัวผมมาถึงตอนนี้ คือคำสาปที่–ทำให้ผมไม่สามาถพ่ายแพ้ได้
ผู้กล้าที่ไม่สามารถแพ้ได้ ..อะไรละนั่น
ผมหัวเราะพึมพำ ..ทั้งๆที่ถ้าแพ้ได้ ผมแพ้ไปนานแล้วแท้ๆ
ป.ล. ในเว็ปแมวดุ้นจะลงช้ากว่าเว็ปอื่นสองตอนตลอด ถ้าเกิดอยากอ่านแบบต่อเนื่องสามารถตามต่อได้ที่ Dekd , readawtire หรือ Tunwalai นะครับผม