เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 481 หยิ่งยโสจนเป็นนิสัย
ผลสุดท้ายของการแข่งขันออกมาแล้ว พิธีปิดจะจัดขึ้นในช่วงกลางวันของวันที่ 25 กุมภาพันธ์
ซึ่งจะมีการแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์ที่รัฐ M
ในฐานะที่กลุ่มของฉินหร่านได้อันดับหนึ่งและยังเป็นทีมที่อายุเฉลี่ยน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ จึงเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนต่างๆ รวมไปถึงเหล่าคณาจารย์
หลังจบพิธีปิดทางฝั่งรัฐ M ยังมีการสัมภาษณ์ในประเทศอีกรอบ
ฉินหร่านเป็นคนหงุดหงิดกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เธอจึงให้รุ่นพี่เยี่ยและฉู่หังไปรับมือกับพิธีปิด
เธอยังอยู่ในห้องเพื่อศึกษาข้อมูลที่แมทธิวมอบให้
ข้อมูลที่แมทธิวให้มาคือต้นสายปลายเหตุรัฐ F ในตอนนั้น รวมไปถึงบทบาทที่กลุ่มพันธมิตรใต้ดินสวมบทอยู่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแมทธิวสืบข้อมูลเหล่านี้มาได้โดยธรรมชาติ
ฉินหร่านนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พอยื่นมือไปเปิดเอกสารเหล่านี้เสร็จก็ลุกขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอหยิบไฟแช็กออกจากห้องโถงแล้วเผากองเอกสารพวกนี้จนกลายเป็นขี้เถ้า
หลังจากจัดการเสร็จก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา
เวลา 09.30 น.
ฉินหร่านเก็บคอมพิวเตอร์แล้วรูดซิป สะพายกระเป๋าเป้เดินออกไป
ขณะกำลังเดินมาถึงหน้าลิฟต์ โทรศัพท์ในมือก็ดังขึ้น
เธอเหลือบมองส่งๆ ก็พบว่าเป็นเบอร์เสมือนจริงของแมทธิว
เธอกดลิฟต์ด้วยมือข้างหนึ่งและใช้อีกข้างสวมหูฟังใส่หู กดเครื่องแปลงเสียง “มีอะไร”
“ทำไมเธอถึงช่วยฉัน?” เพราะคำพูดของเฉิงเจวี้ยนทำให้แมทธิวคิดอยู่หลายวันกว่าจะติดต่อหาฉินหร่าน
เมื่อก่อน Q ก็เคยปรากฏตัวในระดับนานาชาติมาก่อน เป็นการปรากฏตัวด้วยคุณธรรมอันแรงกล้า
การที่จู่ๆ อีกฝ่ายมาช่วยเขา แมทธิวก็หาเหตุผลไม่ได้ ได้แต่ตัดสินว่า Q เป็นคนมีคุณธรรมที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองกำลังอื่น
ทว่าตอนนี้…
เฉิงเจวี้ยนบอกว่าฉินหร่านคือ Q…
สายตาแมทธิวเริ่มเลือนราง
เขาเองก็เคยพูดคุยกับฉินหร่าน หนึ่งคืออีกฝ่ายยังเด็กมาก สองอีกฝ่ายเป็นคนรู้จักในรัฐ F
ฉินหร่านที่กำลังมองชั้นลิฟต์ได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้ว “ทำไมจู่ๆ ถึงมาถามแบบนี้ล่ะ?”
ทั้งสองร่วมงานกันมาสองปีกว่าแล้ว
แมทธิวไม่เคยถามเรื่องของเธอเลย
“ไม่มีอะไร” ปลายสาย แมทธิวกำลังนั่งที่ของตัวเองพลางมองไปที่หน้าต่างสูงจรดพื้นที่อยู่ตรงหน้า พูดอย่างตรงไปตรงมา “คุณเฉิงบอกฉัน เธอก็คือคนที่ฉันจับมาเมื่อครั้งที่แล้ว ฉันแค่อยากยืนยันกับเธอ”
แมทธิวไม่คิดจะทำตัวอ้อมค้อมกับ Q เขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางเล่นอุบายได้ดีไปกว่าเฉิงเจวี้ยน
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดไม่ตกว่าทำไมจู่ๆ เฉิงเจวี้ยนถึงไม่พุ่งเป้ามาที่เขา
มีปัญหาอะไรก็ถาม แมทธิวเป็นคนตรงไปตรงมาอยู่แล้ว การเดาเอาเองไม่ใช่สไตล์เขา
“ติ๊ง——”
ลิฟต์ทางฝั่งฉินหร่านเปิดออก
แต่เธอกลับไม่ได้เดินออกไป
แค่ยืนอยู่กับที่เพราะคิดว่าตัวเองอาจจะฟังผิดไป พูดเบาๆ ว่า “คุณพูดอีกทีซิ”
น้ำเสียงเธอฟังดูแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด แมทธิวเงียบไปสักพักก่อนจะพูดประโยคนั้นอีกรอบ
คราวนี้ฉินหร่านไม่ได้ตอบแมทธิว เธอแค่เงยหน้ามองออกไปข้างนอก พอวางสายเสร็จก็ดึงสายหูฟังออกอย่างเฉยชา
ขณะนี้คนส่วนใหญ่กำลังเข้าร่วมพิธีปิด ด้านนอกจึงมีคนไม่มากนัก
รถเฉิงเจวี้ยนจอดอยู่ริมถนน กำลังเปิดหน้าต่าง
เขาเป็นคนสายตาดี พอเห็นฉินหร่านเดินมาก็ลงจากรถ
เฉิงเจวี้ยนรู้จักฉินหร่านดี เขาเห็นท่าทีของเธอก็รู้แล้วว่าผิดปกติ ดวงตาคู่นั้นทั้งสุกใสและเยือกเย็น เฉิงเจวี้ยนทบทวนอยู่ครู่หนึ่งก็คิดว่าตัวเองไม่ได้ผิดปกติตรงไหนจึงลองถามออกไป “การแข่งขันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า? คงไม่ใช่มั้ง ฉันได้ยินพวกเขาบอกว่าครั้งนี้พวกเธอทำออกมาได้ดีมากนี่นา”
ขณะที่พูดก็มองไปยังธงทั้งห้าบนหน้าประตูสถาบันวิจัยที่อยู่ไม่ไกลออก ยกคางขึ้นเล็กน้อย “ดูนั่นสิ”
“คุณพูดอะไรกับแมทธิว?” ฉินหร่านเอามือกอดอกพร้อมกับเอ่ยถามคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
เฉิงเจวี้ยนหรี่ตาลง
เขานึกถึงบทสนทนาที่คุยกับแมทธิว
“เธอไม่ได้สารภาพกับแมทธิวว่าเธอเป็นคนคอยช่วยเขาอยู่เบื้องหลังหรอกเหรอ?” เฉิงเจวี้ยนใคร่ครวญอยู่ในใจพลางขมวดคิ้ว เขาเองก็จนใจอยู่หน่อยๆ “งั้นเขาปล่อยเธอไปง่ายๆ ได้ยังไง?”
ท้ายที่สุดแม้แต่กู้ซีฉือที่เป็นผู้มีพระคุณของแมทธิวก็ยังโน้มน้าวใจแมทธิวไม่ได้
เฉิงเจวี้ยนจึงคิดว่ามีเพียง Q เท่านั้นที่จะหยุดแมทธิวได้
คนอื่นก็ไม่ได้
เขามีญาณหยั่งรู้มานาน ไม่คิดว่าตัวเองจะคำนวณผิดพลาด ดังนั้นเขาจึงกล้าแบไพ่ต่อหน้าแมทธิวไปตรงๆ
ตอนนี้ฉินหร่านบอกเขาว่าเธอยังไม่ได้พูด?
ฉินหร่านคิดว่ายิ่งพูดก็ยิ่งยุ่งยาก ในหัวเธอสับสนวุ่นวายไปหมด “คุณไปจัดการเขา ฉันจะไปหาซุปตาร์ฉิน”
พรุ่งนี้ตอนบ่ายต้องกลับประเทศแล้ว
ยังมีการสัมภาษณ์ในประเทศอีกหน ต้นเดือนมีนาคมยังมีพิธีรับผู้สืบทอดอีกด้วย
ฉินหร่านหัวร้อน แมทธิวจะต้องเดาได้แน่ๆ
“เดี๋ยวฉันจะไปส่งเธอ” เฉิงเจวี้ยนลูบจมูก ไม่กล้าพูดอย่างอื่นแม้แต่ประโยคเดียว
ขับรถไปยังกองถ่ายภาพยนตร์ของฉินซิวเฉินอย่างเงียบๆ
ฉินซิวเฉินถ่ายหนังฟอร์มใหญ่ ในพล็อตมีตัวเอกหลายคน บทในส่วนของเขาค่อนข้างแน่น มีแค่วันนี้ที่พอจะเจียดเวลาว่างได้นาน
พรุ่งนี้ฉินฮั่นชิวก็กลับประเทศไปพร้อมกับฉินหร่านเช่นเดียวกัน วันนี้จึงมาหาฉินซิวเฉิน
ตอนที่เธอมาถึง ฉินฮั่นชิวกับฉินหลิงก็มาถึงพอดี
พวกเขากำลังยืนรอเธออยู่ริมถนน
ที่รัฐ M ไม่มีใครรู้จักฉินซิวเฉินกับฉินหร่าน
พวกเขาจึงทำตัวตามสบายโดยไม่ต้องพรางตัว
“เสี่ยวเฉิงก็มาด้วยเหรอ?” ฉินฮั่นชิวทักทายเฉิงเจวี้ยนเป็นคนแรกอย่างสบายๆ
ฉินหลิงก็เรียก “พี่ใหญ่เฉิง”
มีเพียงพ่อบ้านฉินกับฉินซิวเฉินสองคนที่ทำตัวไม่ถูก
เฉิงเจวี้ยนเป็นคนง่ายๆ พอเรียกคุณอาฉินฮั่นชิวเสร็จก็เรียกคุณอาฉินซิวเฉิน…
ฉินซิวเฉินทำหน้าเข้ม เขามองเฉิงเจวี้ยนโดยไม่พูดอะไร
เขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเฉิงเจวี้ยน หลังจากที่รู้ว่าเสี่ยวเฉิงที่ฉินฮั่นชิวพูดติดปากคือเฉิงเจวี้ยน เขาก็ไม่ค่อยชอบใจนัก…เพราะถึงอย่างไรจอมเสเพลตระกูลเฉิงก็เป็นที่รู้จักกันทั้งเมือง…
โดยเฉพาะ…ตระกูลโอวหยางกับคุณชายสี่ตระกูลฉินมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และฉินซิวเฉินก็รู้ดีว่าโอวหยางเวยมีใจให้เฉิงเจวี้ยน
โอวหยางเวยเป็นถึงคนของ129
ตอนนี้เฉิงเจวี้ยนเรียกเขาว่าคุณอาตามฉินหร่าน แม้หน้าจะนิ่งแต่การแสดงออกของเขากลับซื่อสัตย์
ฉินซิวเฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง ปล่อยให้เฉิงเจวี้ยนแสดงท่าทีแบบนี้ไปก่อน…
ดูเหมือนจะไม่ใช่คนเสเพล
ฉินซิวเฉินปล่อยใจไปครึ่งหนึ่ง พยักหน้าจากใจ
เขาละสายตากว่าจะทักทายเฉิงเจวี้ยน จากนั้นก็ถามฉินหร่าน “หร่านหร่าน การแข่งขันเป็นยังไงบ้าง?”
คนเหล่านี้ไม่ได้คลุกคลีอยู่ในวงการฟิสิกส์รัฐ M เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่รู้ว่าสถาบันวิจัยภายในประเทศและวงการฟิสิกส์ได้พลิกผันแล้ว
ใจฉินหร่านไม่ได้อยู่ที่เรื่องฟิสิกส์ เธอเอาแต่คิดเรื่องแมทธิวจนปวดหัว พูดส่งๆ “พอใช้ได้”
“งั้นก็ดี” ฉินซิวเฉินพาพวกเขาเดินเล่นที่กองถ่ายและให้ฉินหร่านถ่ายรูปเยอะๆ เพราะรู้ว่าฉินหร่านสนใจสถาปัตยกรรมโบราณ เขาหันไปมองฉินฮั่นชิว “วันนี้คุณปู่ใหญ่ของเสี่ยวหลิงไม่ได้มาด้วยเหรอ?”
“ไม่ พวกเขามีธุระ คงอีกสักพัก” ฉินฮั่นชิวดูเวลา
ฉินหร่านเอาโทรศัพท์ให้เฉิงเจวี้ยนไปถ่ายรูป
เธอติดกระดุมหมวกเสื้อกันลมใช้กันลมและชี้ไปที่แม่น้ำลำธารด้านหลังเขา
เฉิงเจวี้ยนถือโทรศัพท์ถ่ายรูปกองถ่ายภาพยนตร์ไว้หมดแล้ว หลังจากถ่ายเสร็จก็บอกลาฉินฮั่นชิวและคนอื่นๆ เพื่อกลับไปจัดการเรื่องแมทธิวต่อ
“เสี่ยวเฉิงไม่กินข้าวกับพวกเราเหรอ?” พวกเขาหาร้านอาหารเจอแล้ว เมื่อฉินฮั่นชิวเห็นเฉิงเจวี้ยนขับรถออกไปก็ชะงักโดยไม่รู้ตัว
ฉินหร่านก้มหน้าดูเรื่องคว้าเหรียญทองที่คณบดีเจียงรีโพสต์ลงในกลุ่ม เธอกดรีโพสต์ลงไปในกลุ่มเพื่อน
เพียงพริบตาเดียวก็ได้ยอดไลก์หลายสิบคน เธอจึงออกจากกลุ่มพลางตอบ “เขาไม่หิว”
“จริงหรอ?” ฉินฮั่นชิวละสายตากลับ ดูไม่ค่อยเชื่อ
พอพวกเขาเข้าไปนั่งในห้องอาหารเสร็จ พ่อบ้านฉินก็มองมาที่ฉินหลิง “คุณชายน้อย วันนั้นคุณบุ่มบ่ามเกินไป”
“มีอะไร?” ฉินหร่านเงยหน้า
พ่อบ้านฉินจึงรีบอธิบาย “ก็นายท่านถังรู้ว่าคุณชายน้อยมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ก็เลยอยากจะให้คุณชายน้อยอยู่ต่อเพื่อที่จะได้พูดคุยกับคุณหนูถังท่านนั้นกับคุณชายคนเล็ก แต่คุณชายน้อยกลับปฏิเสธไปตรงๆ”
ปฏิเสธนั้นไม่เป็นไรเพราะพ่อบ้านฉินก็ไม่อยากให้พวกเขาติดต่อกัน แต่ฉินหลิงกลับไม่ค่อยเห็นแก่หน้าคุณหนูถังท่านนั้นสักเท่าไหร่
นิสัยมุทะลุเหมือนฉินหร่านเหลือเกิน
พ่อบ้านฉินกังวลเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของฉินหลิงในอนาคตเล็กน้อย
“ถึงอย่างไรเสียผมก็ได้ยินผู้ดูแลพวกนั้นบอกว่าคุณหนูถังท่านนั้นเป็นถึงนักแฮกเกอร์…” พ่อบ้านฉินขมวดคิ้ว เขามองมาทางฉินฮั่นชิวอย่างสองจิตสองใจแต่ก็ไม่พูดอะไร
ฉินซิวเฉินเหลือบมองฉินฮั่นชิว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เคาะปลายนิ้วบนโต๊ะ “พี่รอง ในอนาคตทางฝั่งตระกูลถัง ไม่ไปมาหาสู่กันได้ก็ดี รู้จักแค่คุณลุงก็พอแล้ว ไม่ต้องไปสนใจคนอื่น”
ฉินฮั่นชิวพยักหน้า “อืม” นอกจากคุณลุงแล้ว เขาก็ไม่ชอบคนอื่นเลย
**
บ้านตระกูลถัง
คุณชายใหญ่ถังอยู่ชั้นล่าง ท่านหลี่กุลีกุจอเข้ามาจากด้านนอก “คุณชายใหญ่ วันนี้ไม่ตามนายท่านไปทานข้าวกับนายน้อยสองตระกูลฉินเหรอครับ? คนตระกูลฉินอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา”
เขาถามด้วยความเคารพ
“ไม่ล่ะ” คุณชายใหญ่ถังดูนาฬิกาข้อมือพลางส่ายหน้า “น้องรองกลับมาวันนี้ ฉันจะรอเขา”
น้องรองที่เขาพูดถึงแน่นอนว่าเป็นลู่จือสิง
โดยทั่วไปลู่จือสิงจะไม่กลับมานอกจากวันตรุษจีน บางครั้งวันตรุษจีนบางปีก็ไม่แน่ว่าจะกลับมา
พอเขากลับมา ตระกูลถังตั้งแต่บนลงล่างต่างก็ยุ่งกันขึ้นมา
ท่านหลี่พอจะเข้าใจสิ่งที่คุณชายใหญ่ทำ เขาพยักหน้าแล้วมองไปทางผู้ดูแลเหล่านั้น ผู้ดูแลเหล่านั้นย่อมอยากเจอลู่จือสิงเป็นธรรมดา
ส่วนถังชิงเธอยังไม่โผล่หน้ามาตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เธอหยิ่งยโสจนเป็นนิสัย นอกจากลู่จือสิงแล้วก็ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร