เปลวไฟในม่านหมอก - ตอนที่ 41 โอกาสนี้ดีที่สุด
อวัศยาสะดุ้งตื่นด้วยเสียงโวยวายที่หน้าบ้าน ก่อนผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความงุนงงว่านั่นคือเสียงอะไรกัน
“ ตัวร้อนจี๋เลย เดี๋ยวก็ตายห่าหรอก ”
“ นั่นมันเสียงหมอหนามนี่ เกิดอะไรขึ้น หรือว่ายัยเปรียวไม่สบาย ”
เธอว่า เมื่อมองไปรอบ ๆ และยืนยันด้วยนาฬิกาที่ฝาผนังก็พบว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงแล้ว จึงรีบเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน เช็ดหน้าลวก ๆ แล้วหยิบเสื้อกันหนาวมาสวมทับ อีกชั้นด้วยว่าอากาศเย็นจัดในตอนเช้า ก่อนเดินไปที่หน้าบ้าน เปิดประตูออกไปดูทันที
ตรงนั้นมีหมอหนาม ปรียา ที่ยืนอยู่ และร่างสูงใหญ่ของนายไฟที่นั่งพิงผนังบ้าน หน้าตาดูอิดโรย ปรือตาขึ้นมามองคนรอบ ๆ อย่างงุนงง
“ เกิดอะไรขึ้น ” อวัศยาเอ่ยปากถาม หมอหนามเป็นฝ่ายตอบ
“ ก็คุณฟืนคุณไฟนี่น่ะสิ มานั่งตรงนี้ตั้งกะเมื่อเย็นจนถึงตอนนี้ ตอนแรกผมเรียกก็ไม่หือไม่อือ กลัวว่าจะตายห่าไปแล้วเลยลองเขย่าแขนดู เลยรู้ว่าตัวร้อนจี๋เลย ”
อวัศยาใจหายวาบ เมื่อวานเย็นเธอได้ยินเสียงคนถกเถียงและเสียงของนายไฟบอกว่าจะนั่งรออยู่หน้าบ้าน หล่อนไม่คิดว่าเขาจะทำจริง ส่วนเธอพออ่านจดหมายเสร็จก็ผล็อยหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบ คงเพราะฤทธิ์ยาที่หมอหนามฉีด
บ้าเอ๊ย !
“ อากาศเย็นขนาดนี้มานั่งแบบนี้ ไหนจะยุง ไหนจะเชื้อโรคที่มากับอากาศ เดี๋ยวก็โดนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เล่นงาน ไอ้ตัวใหม่ล่าสุดน่ะ ฤทธิ์แรงกว่าไข้เลือดออกอีกนะจะบอกให้ ไข้สูงตลอด เกร็ดเลือดต่ำ ชักตายได้ง่าย ๆ เลย ”
“ ผมไม่เป็นไรหรอกน่า ” เขาว่าพลางพยายามยันตัวจะลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็เซถลา ปรียากับหมอหนามเข้าไปรับไว้ได้ทัน
“ ทำอะไรปัญญาอ่อนว่ะ เอางี้ คุณปรียาช่วยผมหน่อยนะ เอาคนไข้ขึ้นไปบนรถแล้วพาไปรักษาที่ศูนย์ ”
หมอหนามสั่ง ทั้งคู่ช่วยกันพยุงร่างใหญ่ไปวางบนรถของนายไฟก่อนจะขับรถออกไปอย่างรวดเร็วในทันทีโดยมีอวัศยายืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงนั้นเพียงลำพังด้วยใจร้อนรน
ตายได้ง่าย ๆ เลย…
คำพูดนั้นมันทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจเหลือเกิน
ความลังเลในวินาทีนั้นมันจางหายไปแทบสิ้น แม้ว่าหลังจากที่ได้อ่านจดหมายเมื่อคืน ยอมรับแต่โดยดีว่าเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ ทว่าทิฐิก็ยังมีอยู่บ้าง
โชคดีที่รถจักรยานยนต์ที่นายไฟสั่งให้ลูกน้องนำมาให้หมอหนามเป็นแบบธรรมดา ผู้หญิงขับได้ ไม่ใช่คันใหญ่แบบของเดิม อวัศยาจึงเดินไปที่รถ สตาร์ทมันแล้วขับตามไปยังที่พักของทีมแพทย์อาสาทันที
อวัศยาเจอปรียา ทั้งคู่นั่งรอบริเวณม้าหินอ่อนหน้าห้องที่หมอหนามใช้แทนห้องรักษา เป็นปรียาที่เอ่ยทำลายความเงียบงัน
“ หมอก ฉันอยากคุยกับแกเรื่องนายไฟ ”
“ ฉันรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว ” ปรียาเบิกตากว้าง
“ ฮะ รู้ได้ยังไง รู้เรื่องที่ฉันรับสินบนนายไฟด้วยเหรอ หรือว่าแกแอบไปคุยกับเขาตอนไหน ” คราวนี้อวัศยาเป็นฝ่ายตาโตบ้าง
“ นี่ถึงขั้นมีสินบนเข้ามาเกี่ยวข้องเลยเหรอเนี่ย ”
“ อ้าว สรุปแกยังรู้ไม่หมดเหรอ ”
“ ฉันรู้แค่เรื่องของนายไฟ แต่เรื่องแกฉันยังไม่รู้ ” ปรียายิ้มแหย ๆ ทว่ายังไม่ทันได้อธิบายอะไร หมอหนามก็ออกมาจากห้อง
“ ไข้หวัดใหญ่แน่นอน ผมให้ยาต้านไวรัสและแก้ไขทางเส้นเลือดไปแล้ว ส่วนสายพันธุ์ไหนนั้นต้องรอส่งผลเลือดไปให้แล็ปในโรงพยาบาลตรวจอีกที คุณปรียา เดี๋ยวคุณไปกับผม ” ปรียาพยักหน้างง ๆ เขาจึงพูดต่อ
“ ผมจะเอาผลเลือดไปส่งโรงพยาบาล แล้วมันต้องมีคนหนึ่งเดินเรื่องเอกสาร จะได้เร็วขึ้น ” แล้วเขาก็หันมาทางอวัศยา
“ เดี๋ยวเราจะเอาเขาไปไว้ที่พักของเขาก่อนนะหมอก เพราะที่นี่ไม่ค่อยสะดวกนัก ”
“ แล้วทำไมไม่เอาเขาไปที่โรงพยาบาลเลยล่ะคะ ” อวัศยาแย้ง หมอหนามเลิ่กลั่กอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ
“ เอ่อ… อ๋อ ถ้าไปโรงพยาบาลอำเภอ การรักษาก็ไม่ต่างจากพวกเราเท่าไรหรอก เครื่องมือเครื่องไม้พอกัน การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมากยิ่งจะทำให้บอบช้ำ สู้ให้เขาได้นอนพักจะดีกว่า ผมแค่จะเอาเลือดไปตรวจก็แค่นั้นเอง ”
เขาว่าพลางกลับเข้าไปเข็นวีลแชร์ที่มีคนป่วยมีผ้าห่มคลุมทั้งตัวออกมาก่อนจะพาขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีปรียาช่วยพยุงและนั่งรถไปด้วยเช่นเคย ส่วนอวัศยาขี่รถจักรยานยนต์ตามไปยังที่พักของผู้ป่วย จึงไปถึงช้ากว่าทั้งคู่ที่นำผู้ป่วยขึ้นไปนอนบนเตียงในห้องพักเรียบร้อยแล้ว
หมอหนามนั้นจะขับรถนำผลเลือดของนายไฟไปตรวจโดยมีปรียาไปช่วยดำเนินการเอกสารอย่างที่เขาบอกไว้ ทว่าเมื่ออวัศยามาถึง หมอหนามก็เดินลงมาจากรถ ก่อนเข้าไปพูดกับเธอเบา ๆ
“ ถ้าหมอกอยากให้นายไฟตายบอกผมมาเลยตอนนี้ ผมมีวิธีง่าย ๆ ที่ทำให้ตายโดยที่ชันสูตรแล้วก็ไม่มีทางรู้ และโอกาสที่มันป่วยอยู่แบบนี้แหละ ดีที่สุด ” หมอหนามเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ด้วยใบหน้านิ่ง ๆ แต่นั่นทำให้อวัศยาร้อนรน