เปลวไฟในม่านหมอก - ตอนที่ 33 ถ้าอยากกัดกันก็ไปกัดที่อื่น !
“ เกิดอะไรขึ้นหมอก เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ”
“ คุณมาก็ดีแล้ว อยู่เป็นเพื่อนหมอกหน่อยนะคะ ”
“ ได้ครับ ” ทว่าเสียงตวาดกร้าวดังขึ้นทันควัน
“ ไอ้กุ๊ยนี่ใคร ! ” นั่นทำให้ผู้มาใหม่ชะงัก แล้วตวัดสายตาเอาเรื่องกลับมาเช่นเดียว
“ อ้าว ทำไมพูดจาหมาไม่แดกอย่างนี้ล่ะครับเพ่ ! ” มือน้อยของหญิงสาวรีบคว้าต้นแขนของนายคนนั้นหมับ
“ ช่างเขาเถอะค่ะหมอหนาม อย่าไปสนใจเลย เขาสติไม่ค่อยดี เข้าบ้านกันเถอะค่ะ ” นั่นทำให้ไฟถึงกับเลือดขึ้นหน้า
“ เราถาม หมอกไม่ได้ยินหรือไง ไอ้เหี้ยนี่มันใคร ! ”
“ แล้วคุณมึงล่ะเป็นใคร คุณเหี้ย ! ” อีกฝ่ายโต้กลับทันควันอย่างไม่กลัวเกรง
“ พอ พอเถอะค่ะ หยุดทั้งคู่เลย คุณอัคคี คุณไม่ควรมาเรียกมาดูถูกคนอื่นว่ากุ๊ยอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงแม้คุณจะสูงส่งร่ำรวยแค่ไหนก็ตามที เพราะมันแสดงถึงความต่ำทรามของจิตใจ แล้วก็กรุณากลับไปเถอะ มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก ! ”
“ อะไรนะครับหมอก ไอ้นี่ชื่ออะไรนะ อัปรีย์งั้นเหรอ ทำไมวะน่ะ พ่อแม่ไม่รักหรือไงถึงตั้งชื่อให้ลูกแบบนั้น ”
“ อัปรีย์พ่อมึงสิ เอาไว้ไปตั้งให้โคตรเหง้าศักราชมึงเถอะ ปากดีฉิบ ขอกูเตะปากเอาเลือดมาล้างตีนสักทีเถอะวะ ! ”
แล้วทั้งคู่ก็พุ่งเข้าใส่กันราวกับหมาบ้า แลกหมัดเท้าเข่าศอกกันตุ้บตั้บอีรุงตุงนัง ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างอวัศยาได้แต่ยืนอ้าปากค้าง สุดท้ายเมื่อสติกลับมา แหกปากห้ามก็แล้ว ด่าก็แล้ว ทั้งคู่ก็ยังไม่หยุด จึงตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องน้ำ ใช้ถังน้ำตักจนเต็มแล้วแล้วกลับออกมาสาดใส่ทั้งคู่ทันที !
ได้ผล หมาบ้าที่กำลังฟัดกันนัวเนียหยุดทันที
“ ถ้าอยากกัดกันก็ไปกัดที่อื่น ! ” ว่าพลางหันหลังจะเดินหนีไป มือใหญ่หนึ่งคว้าหมับที่ต้นแขน
“ หมอกครับ ผมขอโทษ ” อวัศยาหันมามอง
“ ผมจะไม่ทำมันอีก นี่ผมเอายามาให้กับพวกโจ๊กกระป๋องและซุปแต่อยู่ที่รถ ” เธอพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน ไอ้หนุ่มหน้าเข้มที่เลือดไหลย้อยที่มุมปากเดินตามไป โดยมีร่างสูงใหญ่ของนายไฟยืนเลือดกำเดาย้อยเปรอะเปื้อนเช่นกัน
เธอหันมามองไอ้หนุ่มนั่น
“ เจ็บมากหรือเปล่า นั่นเลือดเลยนะที่มุมปาก ไปเอาน้ำล้างก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวหมอกทำแผลให้ ”
“ ขอบคุณครับหมอก ” นายไฟยืนมองและขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน
ไอ้หมอนั่นมันเดินไปล้างหน้าล้างตาในครัว หล่อนจึงเดินมาที่ประตูเพื่อจะปิดมัน แต่เขายื่นแขนไปขวางไว้
“ หมอกโคตรใจร้าย เห็นคนอื่นสำคัญกว่าเรา ทั้งที่เรายืนเลือดกำเดาไหลจะหมดตัวอยู่แล้ว ”
“ อย่ามาสำออย แค่เลือดกำเดาไหลนิดหน่อยไม่ตายหรอก ทีโดนกระบอกข้าวหลามฟาดคิ้วเลือดอาบหน้ายังไม่เห็นสะทกสะท้าน หรือว่าพอมีเงินมีทองแล้วผิวมันเปราะบางขึ้น ” คำสวนนั้นแทนที่จะทำให้เขาเจ็บใจกลับกลายเป็นยิ้มกว้างแทน นั่นทำให้อวัศยาฉุนหนัก
“ เป็นบ้าไปแล้วหรือไง ยิ้มบ้ายิ้มบออะไร ”
“ ก็หมอกยังจำทุกอย่างเกี่ยวกับเราแม่น มันก็แปลว่าหมอกยังรักเราเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน ”
เธอหน้าแดงก่ำ รู้ตัวว่าพลาดแต่ก็ไม่ยอมแพ้
“ ใช่ ฉันอาจจะยังจดจำมันได้ แต่นั่นเพราะความเกลียดชัง ไม่ใช่ความรัก ฉันแค่ยกตัวอย่างให้คุณฟัง เพราะดูเหมือนคุณจะลืมกำพืดของตัวเองไปหมดแล้วหลังจากที่มีเงินมีทอง มันอาจจะกระตุ้นเตือนให้คุณสำเหนียกอะไรได้บ้าง อ้อ แล้วก็ไม่ต้องมาทีนี่อีกนะคะ เพราะฉันเกลียดคุณเหลือเกิน เกลียดเข้ากระดูกดำ เกลียดจนไม่อยากจะหายใจเอาอากาศบริเวณที่มีคุณยืนอยู่เข้าไป เข้าใจนะคะ ” พูดจบก็หมุนตัวกลับเข้าไปในบ้านพร้อมทั้งปิดประตูลงกลอนทันที ทั้งที่มีไอ้หมอนั่นอยู่ข้างในด้วย
ดวงตาคมกริบแดงก่ำ มันเจ็บปวดรวดร้าวในอกลึก ๆ เวลาที่มีคนเกลียดก็ว่ารู้สึกแย่แล้ว แต่คนที่เรารักมาเกลียดเรามันแย่ยิ่งกว่า
แต่เขาจะไม่ยอมแพ้ แม้จะมีเสี้ยนหนามตำเท้าเป็นไอ้กุ๊ยหน้าเข้มเพิ่มมาอีกก็ตามที
เขาไม่ยอมให้เธอจากไปไหนอีกแล้ว ไม่มีวันยอม